เปิดเหตุผล สถิติพุ่ง คนไทยทำอัตวิบากกรรมทุก 10 นาที - ติดอันดับ 1 ในอาเซียน
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_6174696
เปิดเหตุผล สถิติพุ่ง คนไทยทำอัตวินิบาตกรรมทุก 10 นาที – ติดอันดับ 1 ในอาเซียน
การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นสาเหตุให้คนไทยหลายล้านคนต้องสูญเสียอาชีพและรายได้จำนวนมหาศาล ถึงแม้ว่าทางรัฐบาลจะมอบเงินเยียวยาและจัดการปัญหาดังกล่าวสักเท่าไหร่ ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงประชาชนได้ทั่วถึงอยู่ดี
ยังไม่นับพนักงานบริการทางเพศและแรงงานอพยพซึ่งสองกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมจึงไม่สามารถเข้าถึงสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากโครงการของรัฐได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขากลับทำรายได้ให้กับประเทศถึง 12 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ก็ตาม สถิติการฆ่าตัวตายในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตไปกว่า 2,551 คน ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 63 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 62 ถึง 22 เปอร์เซ็นต์
คนไทยพยายามฆ่าตัวตายทุกๆ 10 นาที
Antonio L Rappa รองศาสตราจารย์สังคมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ เขาศึกษาประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี ทั้งด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการเมืองไทย ซึ่งเขาระบุว่าอัตราการฆ่าตัวตายในไทยสัมพันธ์กับเหตุผลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมซึ่งถ้าเราแยกเรื่องเศรษฐกิจออกไปแล้ว คนไทยมีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการต่อสู้ทางจิตใจมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับแนวคิดว่าด้วยเรื่องความตาย
“
ประเทศที่มีวัฒนธรรมการประท้วงอาจหมายความว่าประชาชนอาจจะเต็มใจที่จะตาย”
แม้ว่าจะมีหน่วยงานที่ช่วยเหลือให้คำปรึกษากับผู้ที่พยายามจะฆ่าตัวตายทางโทรศัพท์อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ผู้โทรเข้ามาจะต้องรอสายยาวนาน 10-12 นาทีก่อนที่จะได้รับคำปรึกษาเป็นสาเหตุให้อัตราการใช้บริการลดลงถึง 40-45 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตามภาครัฐได้เลือกใช้โซเชียลมีเดียแพตฟอร์มต่างๆเช่น Facebook, TikTok และ Line ผ่านโปรเจคที่ชื่อว่า
Hope Task Force เป็นหน่วยงานที่จะคอยพูดคุยกับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านจิตใจ รวมไปถึงแอปพลิเคชั่น Mental Health Check Up ที่ผู้ใช้งานสามารถตอบคำถามเช็คสุขภาพจิตทั้งเรื่องหมดไฟในการทำงาน ความเครียด รวมถึงอาการซึมเศร้าด้วย นอกเหนือจากนี้ยังสามารถโทรสายด่วนที่กรมสุขภาพจิตเบอร์ 1323 หรือเบอร์สมาคมสมาริตันส์เบอร์ 02-713-6793 ทุกวัน เวลา 12.00-22.00 น.
ที่มา
channelnewsasia.com
เอกชนห่วงมาตรการกระตุ้นศก.สหรัฐฯทำบาทแข็ง
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_66644/
เอกชน ห่วง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำบาทแข็ง จับตาเงินล้นระบบ, อัตราเงินเฟ้อสูง เชื่อส่งออกปีนี้ยัง4%
นาย
วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือ สรท. เปิดเผยสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า สถานการณ์การส่งออกของประเทศไทยเวลานี้มีแนวโน้มค่อนข้างดี เนื่องจากเศรษฐกิจของทั่วโลกเริ่มกลับมาฟื้นตัว จากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยในช่วงครึ่งปีหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 จะเป็นปัจจัยบวกทำให้กิจกรรมทางด้านการส่งออกฟื้นตัวเร็วขึ้น โดยทางผู้ส่งออกเชื่อว่าการส่งออกในปีนี้ทั้งปีจะยังสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4
แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบกับการส่งออกคือการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐด้วย การอัดฉีดเม็ดเงินลง สู่ระบบ 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลทำให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่า รวมถึงอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร ที่ยังอยู่ในระดับสูงส่งผลกับความต้องการของนักลงทุนทำให้เม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐล้นระบบ มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศ ซึ่งทางรัฐบาลกำลังมีความเป็นห่วง และอาจมีการออกมาตรการดูแลที่อาจมีผลกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
JJNY : คนไทยอัตวิบากกรรมอันดับ1ในอาเซียน│ห่วงมาตรการศก.สหรัฐฯทำบาทแข็ง│'สมชัย'เปิดกม.ฉะตร.รุมตีม็อบ│วันชัยอัด"ปชป.-ภท."
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_6174696
การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นสาเหตุให้คนไทยหลายล้านคนต้องสูญเสียอาชีพและรายได้จำนวนมหาศาล ถึงแม้ว่าทางรัฐบาลจะมอบเงินเยียวยาและจัดการปัญหาดังกล่าวสักเท่าไหร่ ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงประชาชนได้ทั่วถึงอยู่ดี
ยังไม่นับพนักงานบริการทางเพศและแรงงานอพยพซึ่งสองกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมจึงไม่สามารถเข้าถึงสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากโครงการของรัฐได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขากลับทำรายได้ให้กับประเทศถึง 12 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ก็ตาม สถิติการฆ่าตัวตายในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตไปกว่า 2,551 คน ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 63 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 62 ถึง 22 เปอร์เซ็นต์
คนไทยพยายามฆ่าตัวตายทุกๆ 10 นาที Antonio L Rappa รองศาสตราจารย์สังคมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ เขาศึกษาประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี ทั้งด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการเมืองไทย ซึ่งเขาระบุว่าอัตราการฆ่าตัวตายในไทยสัมพันธ์กับเหตุผลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมซึ่งถ้าเราแยกเรื่องเศรษฐกิจออกไปแล้ว คนไทยมีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการต่อสู้ทางจิตใจมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับแนวคิดว่าด้วยเรื่องความตาย
“ประเทศที่มีวัฒนธรรมการประท้วงอาจหมายความว่าประชาชนอาจจะเต็มใจที่จะตาย”
แม้ว่าจะมีหน่วยงานที่ช่วยเหลือให้คำปรึกษากับผู้ที่พยายามจะฆ่าตัวตายทางโทรศัพท์อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ผู้โทรเข้ามาจะต้องรอสายยาวนาน 10-12 นาทีก่อนที่จะได้รับคำปรึกษาเป็นสาเหตุให้อัตราการใช้บริการลดลงถึง 40-45 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตามภาครัฐได้เลือกใช้โซเชียลมีเดียแพตฟอร์มต่างๆเช่น Facebook, TikTok และ Line ผ่านโปรเจคที่ชื่อว่า Hope Task Force เป็นหน่วยงานที่จะคอยพูดคุยกับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านจิตใจ รวมไปถึงแอปพลิเคชั่น Mental Health Check Up ที่ผู้ใช้งานสามารถตอบคำถามเช็คสุขภาพจิตทั้งเรื่องหมดไฟในการทำงาน ความเครียด รวมถึงอาการซึมเศร้าด้วย นอกเหนือจากนี้ยังสามารถโทรสายด่วนที่กรมสุขภาพจิตเบอร์ 1323 หรือเบอร์สมาคมสมาริตันส์เบอร์ 02-713-6793 ทุกวัน เวลา 12.00-22.00 น.
ที่มา channelnewsasia.com
เอกชนห่วงมาตรการกระตุ้นศก.สหรัฐฯทำบาทแข็ง
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_66644/
เอกชน ห่วง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำบาทแข็ง จับตาเงินล้นระบบ, อัตราเงินเฟ้อสูง เชื่อส่งออกปีนี้ยัง4%
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือ สรท. เปิดเผยสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า สถานการณ์การส่งออกของประเทศไทยเวลานี้มีแนวโน้มค่อนข้างดี เนื่องจากเศรษฐกิจของทั่วโลกเริ่มกลับมาฟื้นตัว จากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยในช่วงครึ่งปีหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 จะเป็นปัจจัยบวกทำให้กิจกรรมทางด้านการส่งออกฟื้นตัวเร็วขึ้น โดยทางผู้ส่งออกเชื่อว่าการส่งออกในปีนี้ทั้งปีจะยังสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 4
แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบกับการส่งออกคือการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐด้วย การอัดฉีดเม็ดเงินลง สู่ระบบ 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลทำให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่า รวมถึงอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร ที่ยังอยู่ในระดับสูงส่งผลกับความต้องการของนักลงทุนทำให้เม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐล้นระบบ มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศ ซึ่งทางรัฐบาลกำลังมีความเป็นห่วง และอาจมีการออกมาตรการดูแลที่อาจมีผลกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม