ทั่วโลกติด #StopAsianHate หลังเกิดเหตุกราดยิงที่แอตแลนตา สถิติเผย มีคนเอเชียถูกคุกคามกว่า 4 พันครั้งในปีที่ผ่านมา


เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ดารานักแสดงต่างชาติหลายคนออกมาติดแฮชแท็ก #StopAsianHate หลังมีรายงานว่าเกิดเหตุกราดยิงที่ร้านสปา 3 แห่งในเมืองแอตแลนตา ประเทศสหรัฐฯ ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 8 คน และผู้เสียชีวิตมากกว่าครึ่งเป็นคนเชื้อสายเอเชีย นำมาสู่การสันนิษฐานว่า เหตุร้ายดังกล่าว อาจมีแรงจูงใจจากการเหยียดเชื้อชาติ

แม้ที่ผ่านมาจะได้ยินข่าวมีเหตุการณ์ทำร้ายร่ายกาย รวมถึงด่าทอชาวเอเชียในประเทศสหรัฐฯ หลายต่อหลายครั้ง แต่เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ควรจะเป็นเรื่องชินชา และปล่อยให้กลายเป็นสิ่งปกติในสังคม องค์กร Stop AAPI Hate เปิดเผยว่าในช่วงปี ค.ศ.2020 ที่ผ่านมา มีรายงานว่าชาวเอเชียถูกคุกคามจากแนวคิดการเหยียดเชื้อชาติราวๆ 3,800 ครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปีอื่นๆ

ในข้อมูลดังกล่าวลงรายละเอียดว่า ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม ค.ศ.2020 - 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2021 มีรายงานชาวเอเชียถูกคุกคามในสหรัฐฯ 3,795 เคส ซึ่ง Stop AAPI Hate ระบุว่าตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่านั้น เนื่องจากยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่ถูกรายงานเข้ามา สำหรับลักษณะการคุกคามที่พบเห็นบ่อย ก็มีตั้งแต่การด่าทอเหยียดชาติพันธ์ุ ไปจนถึงการทำร้ายร่างกาย และมีบางรายที่รุนแรงถึงขนาดเสียชีวิต อย่างเช่น กรณีของ วิชา รัตนภักดี ชายไทยวัย 84 ปี ที่เสียชีวิตจากการถูกผลักอย่างแรง

(อ่านรายละเอียดเหตุการณ์เพิ่มเติมได้ที่ : https://thematter.co/brief/134953/134953 )

Stop AAPI Hate เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในบรรดาเหตุการณ์คุกคามที่เกิดขึ้นกับชาวเอเชีย มีพฤติกรรมการคุกคามทางคำพูด ประมาณ 68% และทำร้ายร่างกาย 11% และอีก 20% ที่เหลือเป็นการแสดงพฤติกรรมรังเกียจ นอกจากนี้ จากสถิติระบุว่า ชาวจีนเป็นเชื้อชาติใหญ่สุดในเอเชีย ที่ต้องรับมือกับการคุกคาม ซึ่งสูงถึงประมาณ 42.2% ถัดมาคือชาวเกาหลี 14.8%, เวียดนาม 8.5% และฟิลิปปินส์ 7.9%

อัตราการทำร้ายร่างกายชาวเอเชียที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น มีผลมาจากการแพร่กระจายของโคโรนาไวรัส ซึ่งเชื่อว่ามีต้นต่อมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ก่อนจะกลายมาเป็นโรคระบาด COVID-19 ที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 2.6 ล้านคนทั่วโลก ทำให้เกิดกระแสเกลียดชังชาวเอเชีย และนำมาสู่การเกิดโศกนาฎกรรมหลายต่อหลายครั้ง

สำหรับเหตุการณ์การกราดยิงล่าสุดที่เกิดขึ้น คามาลา แฮร์ริส (Kamala Harris) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหญิงผิวสี และมีเชื้อชาติเอเชีย กล่าวว่า “เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาความรุนแรงในประเทศสหรัฐฯ และเราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก และต้องคอยต่อต้านมันอยู่เสมอ” แฮร์ริส กล่าวเพิ่มเติมว่า เธอต้องการบอกกับชาวเอเชียที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ว่าเธอจะยืนหยัดกับพวกเขา และเข้าใจว่าเหตุการณ์เหล่านี้สร้างความโกรธแค้น และหวาดกลัวให้กับผู้คนมากแค่ไหน

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งดูแลคดีดังกล่าวระบุว่า แรงจูงใจในการก่อเหตุอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับแนวคิดเหยียดเชื้อชาติ แต่อาจเกิดจากอาการเสพติดเซ็ก (Sexual Addiction) ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจ และพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุ อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการสอบสวนอย่างละเอียดเพิ่มเติมต่อไป 

ขอขอบพระคุณเพจ The MATER
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่