ครั้งเมื่อผมบวช ตอน ผีป้าเปียกแยกพระกระจาย

กระทู้สนทนา
"กาเมสุมิ ฉาจารา เวรมณี"
เราควรเว้นจากการประพฤติผิดในกาม 

       สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน พบกับผม "ตรัยโศก" กันอีกเช่นเคย 

        เหตุที่ผมยกเอาหนึ่งในศีล 5 มาเอ่ยนั้น เนื่องด้วยสังคมในปัจจุบัน ศีลข้อนี้ถูกละเมิดเมินเฉย มองข้าม จนเป็นเหตุให้เกิดปัญหามากมาย ทั้งการทะเลาะวิวาท ครอบครัวแตกแยกร้าวฉานไปจนถึงขั้นฆ่าแกงกันก็มี

       และทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้น ก็มักจะมีคนที้ต้องเสียใจ ต้องศูนย์เสียปัญหาโลกแตกเหล่านี้มักเกิดจากข้ออ้างสั้นๆ ว่า
"ก็กูรักเขา" 

       สำหรับผม ผมว่าความรักนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านั้นขึ้นไม่ว่าจะเป็น ชายรักชาย ชายรักหญิงหรือหญิงรักหญิงด้วยกัน ผมมองว่าไม่ผิดนะครับเพราะความรักเป็นสิ่งสวยงามความรักจรรโลงโลกที่แสนเน่าเฟะใบนี้ให้น่าอยู่ความรักเป็นแรงขับเคลื่อนให้คนสองคนต่อสู้ ฟันฝ่าอุปสรรคที่เข้ามาบ่อนทำลายความสุขในชีวิต 

       แต่ความรักนั้นจะเป็นความรักที่ผิดทันทีถ้าหากคุณ รักผิดที่ผิดทาง รักผิดคนไม่ว่าจะเป็นรักผัวเขา รักเมียชาวบ้านส่วนนี้ผมมองว่ามันไม่ใช่ความรัก "มันคือความไคร่"สุดท้ายถ้าทั้งคนที่รักและคนที่ถูกรักไม่มีความรู้สึกละอาย ใช้ความไคร่เป็นตัวจุดชนวนเรื่องราวบัดสีก็จะเกิดขึ้นทันทีและแน่นอนผลที่ตามมานั้นย่อมร้ายแรงเสมอ 

       และก็ด้วยความไคร่นี่แหละครับ ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องสยองขวัญที่ผมจะนำมาเขียนในครั้งนี้ เรื่องนี้ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เพราะมันเกิดขึ้นก่อนที่ผมจะเข้ามาสู่ร่มกาสาวพัตร์เกือบ 10 ปี 
ผมได้ฟังมาอีกต่อหนึ่ง เห็นว่าเรื่องนี้มันน่ากลัวใช้ได้อยู่(สำหรับผมนะครับ)
จึงได้หยิบมาเขียนซะเลย และแน่นอนครับเพื่ออรรถรสในการอ่าน จึงต้องมีการใส่สีตีไข่ใส่ลูกชิ้นลงไปแต่ผมก็จะคงเรื่องราวที่เป็นความจริงไว้อยู่

       เอาล่ะครับ เพื่อไม่ให้ทุกท่านเสียเวลาเดี๋ยวมาม่าเส้นอืดหมดขอเชิญท่านไปท่องยุทธภพกับผม ในท้องเรื่อง 
"ผีป้าเปียกแยกพระกระจาย จาย จาย จาย" 

       -----------------

        ก่อนอื่น ผมต้องเท้าความกลับไปไม่นานนัก ตอนที่ผมเพิ่งบวชได้ 2 3 วัน ผมได้รับบัญชาจากผู้นำสูงสุด(ก็เจ้าอาวาสนั่นแหละครับ) ว่าให้ผมไปช่วยบรรดาสามสหายธรรมบันดาลสร้างห้องน้ำ
เพื่อรอรับญาติโยมที่จะมาทำบุญในช่วงเข้าพรรษา 

       วันนั้น ผมต้องไปซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างกับหลวงพี่บอลและหลวงพี่หน่อง 
พาหนะที่ใช้ในการไปซื้อของครั้งนี้ คือซาเล้งพระธรรม ที่สามารถมุ่งไปข้างหน้า
ด้วยแรงขับเคลื่อนของ ดรีมคุรุสภา 

       ร้านที่เราจะไปซื้อของกันนั้น
เป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์ก่อสร้าง แห่งเดียวของหมู่บ้าน ร้านนี้มีทุกอย่างตั้งแต่หนังยางรัดถุงกับข้าว ไปจนถึงวงกบประตู คืออยากได้อะไรจัดให้ได้หมด ซึ่งร้านที่ว่านี้ ตั้งอยู่ห่างจากวัดประมาณ 10 กิโล 
ถ้าออกจากวัดต้องเลี้ยวซ้ายทันที ขี่ตรงไปประมาณ300 เมตรจะเจอ 3 แยกขนาดใหญ่ แยกนี้ ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า แยกป้าเปียก

       จุดหมายที่เราต้องเดินทางไปนั้น ต้องเลี้ยวขวาที่แยกนี้ จากนั้นก็ตรงไปตามใจปราถนา เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยรถพร้อม เงินพร้อม คนพร้อม
เราก็ออกเดินทางกัน  

       นึกภาพตามนะครับ หลวงพี่หน่องเป็นคนขี่ผมนั่งซ้อนท้ายโดยหันหน้าเข้าตัวซาเล้ง หลวงพี่บอลนั่งบนขอบซาเล้ง หันหน้าเข้ามาหาผม ตอนที่ออกจากวัด ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างปกติดีแต่พอมาถึงแยกป้าเปียก  “หลังว่างงงง” ผมตะโกนบอกหลวงพี่หน่องเพราะรถเราไม่มีกระจกมองหลัง มีแต่ก้านมัน  

        หลวงพี่หน่อง ไดรเวอร์ผู้แบกรับภาระทั้งหมดไว้เมื่อได้ยินดังนั้น นึกว่าตนเองเป็น วาเลนติโน่ รอสซี่ หรือย่างไรก็ไม่ทราบ แกหักแฮนรถเลี้ยวขวาทันที
ด้วยถนนที่เต็มไปด้วยกรวดหินดินทราย 
ซาเล้งพระธรรมของเรา แฉลบเข้าข้างทางแล้วพลิกคว่ำ 

       ผมลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
ประดุจดั่งวิหกที่กำลังโผบินสู่อิสระภาพ 
(ด้วยสีของจีวร และท่าทาง ผมว่าตอนนั้นผมใกล้เคียงกับนกฟีนิกซ์เลยล่ะ)
สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น…. อุ๊บ!! 

       ครับ คนไม่ใช่นกจะไปบินได้เยี่ยงไรผมร่วงลงพื้นด้วยท่าซุปเปอร์แมน 
โดยเอา กึ่งคางกึ่งหน้าอกกระแทกพื้น
นอนหมอบกระแตอยู่ตรงนั้นเพราะความจุก ศรีษะผมอยู่ห่างจากฐานของหลักกิโลแค่ศอกเดียว

       ส่วนหลวงพี่บอล ด้วยความที่มี ดัชนีมวลกายมากกว่าผม แกจึงลงพื้นด้วยท่างลังกาหลังรอบครึ่งลงมานอนอยู่ไม่ไกลจากผมเท่าใดนัก แกนอนหงายมองพระอาทิตย์ด้วยอาการจุกไม่แพ้กัน 

       ชาวบ้านที่อยู่แถนนั้น เห็นเหตุการณ์ก็พากันวิ่งเข้ามาเพื่อให้ความช่วยเหลือ ปากก็ตะโกนดังลั่น 
“ เฮ้ย !! คราวนี้แยกอี่เปียกกินพระเลยว่ะ” 

       เสียงชุลมุนชุลเกที่ดังโหวกเหวกจากผู้คนที่รายล้อม ดึงสติผมให้กลับมา จากที่กำลังนอนหลับตาแล้วมองเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ มีคนสองสามคนช่วยกันพยุงผมกับหลวงพี่บอลขึ้น

        เมื่อสำรวจร่างกาย พบว่าเราสองคนไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่นิดเดียว
มีเพียงอาการจุกเสียดกับเคล็ดขัดยอกเล็กน้อยเท่านั้น 

       เปล่าครับ ไม่ใช่ด้วยอิทธิฤทธิ์ผ้าเหลืองหรือผมสองคนคงกระพันแต่อย่างใดผมทั้งคู่ร่วงลงบนพื้นหญ้าครับ สภาพของเราสองคนนั้นแตกต่างจากหลวงพี่หน่องโดยสิ้นเชิง 

       ผมหันไปมองหาแกว่าปลอดภัยดีมั๊ยก็เห็นแกนั่งเลือดย้อยติ๋งๆ อยู่ข้างซาเล้งที่หงายท้องล้อชี้ฟ้าอยู่ แกคางแตกครับ กับมีแผลถลอกที่โหนกแก้มข้างขวานิดหน่อย ส่วนร่างกายก็เคล็ดขัดยอกแค่นั้น จีวงจีวรไม่ต้องสืบ ขาดวิ่นราวกับโดนคนนับร้อยมาทึ้ง แกมองสบตาผมเหมือนจะกล่าวเป็นนัยๆว่า “ผมไม่ผิดนะรถมันแรง” 

       คนเราหกล้มเรื่องธรรมดา ไม่แปลกเลยแต่คนที่มันเอาหน้าถูปูน อย่างนี้สิแปลกคน 
(ลองใส่ดนตรีเพลง ปลุกใจเสือป่าของวงบิ๊กแอสสิเข้ากั๊นเข้ากัน)

       ขงของไม่ต้องซื้อกันล่ะครับเราสามคนไปชุมนุมกันที่สถานีอนามัยหมู่บ้าน
หมอตรวจร่างกายพวกเราแล้วก็จ่ายยามาให้คนละชุดสองชุด ส่วนใหญ่เป็นยาแก้ปวด หลวงพี่หน่องนี่หนักหน่อย เย็บคางไป 4 เข็มหายห้าวกันเลยงานนี้ นับแต่วันนั้นแยกนั้นก็ได้ชื่อใหม่ว่า แยกพระกระจาย 

        ผมถามลุงภาภายหลังจากนั้นถึงคนชื่อเปียก “โยมพ่อ ทำไมคนที่นี่เค้าเรียกสามแยกใหญ่ว่าแยกอี่เปียกล่ะ แล้วอี่เปียกที่ว่านี่ใครแกสร้างถนนเหรอ หรือแกเป็นคนใหญ่คนโต” ผมสวมบทบาทเป็น เจ้าหนูจำไม อีกครั้ง

       ลุงภาแกก็ยอมเล่าให้ฟังอย่างว่าง่ายป้าเปียกแกเคยมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วแกเป็นหญิงวัยกลางคน อายุประมาณ 40 ต้นๆด้วยความที่ถึงแม้จนเป็นคนมีอายุแต่แกดูแลตัวเองดี จึงดูไม่แก่เท่าใดนัก

       ด้วยความสวยที่เข้าตากรรมการ แกจึงเป็นที่หมายปองของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มากมายมีคนเข้ามาแซว มาจีบแกแทบทุกวันชนิดหัวกระไดไม่แห้ง แกก็ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษก็อย่างว่าแหละครับ คนมันสวยช่วยไม่ได้ 

       แต่คนที่แกยอมตกล่องปล่องชิ้น
พลีกายถวายชีวิตให้ ดันเป็นผู้ใหญ่อำพล 
ที่แค่แซวแกบ้างบางครั้งเวลาเจอกันตามงานต่างๆ ถ้าเขาจะรักมีเมียแล้วเขาก็รัก
ใช่ครับ ทุกอย่างจะลงตัวถ้าไม่ติดที่ผู้ใหญ่แกมีเมียอยู่ก่อนแล้ว แถมยังมีลูกด้วยกันถึง 2 คนเป็นลูกสาวทั้งคู่

       ทั้งคู่ก็แซวกันไปแซวกันมา จนในที่สุดก็ตกลงปลงใจได้เสียเป็นเมียผัวกันอย่างลับๆ  เรื่องราวคาวโลกีย์ของทั้งคู่ ถูกเก็บเป็นความลับอยู่นาน จนกระทั่งเรื่องมันแดง เพราะป้าเปียกแกเกิดตั้งท้องขึ้นฝ่ายผู้ใหญ่แกก็แบ่งรับแบ่งสู้
บอกว่าจะให้ป้าเปียกแกย้ายไปอยู่ที่อื่น
แล้วผู้ใหญ่จะคอยส่งเงินเลี้ยงดูอย่างลับๆ
อย่าให้ใครจับได้ ถ้าไม่ตกลงผู้ใหญ่พลก็จะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น

       แต่ก็นะ จิตใจผู้หญิง มืงได้กูแล้วกูไม่ว่าแต่มืงจะทิ้งกูแบบนี้ไม่ได้ ศักดิ์ศรีมันค้ำคอ อีกอย่าง ขึ้นชื่อว่าของหลวง
ลองได้กินเข้าไปแล้ว คายยาก

        รุ่งขึ้นป้าเปียกแกก็ไปโพนทะนากลางตลาดเลยครับว่าแกกับผู้ใหญ่อำพลได้เสียกันยังไงที่ไหน เมื่อไหร่ แถมตอนนี้แกท้องด้วย แต่ผู้ใหญ่บ้านคนดีมีเมตตาของทุกคนกลับไล่ให้แกไปอยู่ที่อื่นเสีย
แกไม่ยอมเพราะแกเสียหายใครผ่านไปผ่านมาแกก็เรียกเค้าเข้ามาคุย สุดท้ายเรื่องถึงหูเมียผู้ใหญ่

       วันนั้นผู้ใหญ่กำลังประชุมกับเหล่ากรรมการหมู่บ้านที่หอประชุมโรงเรียนถึง
เรื่องที่จะทำบุญกลางบ้านในอีกไม่กี่สัปดาห์ เมียผู้ใหญ่แกเดินพรวดพราดเข้ามาพร้อมสากกะเบืออันเป้ง มาถึงก็ไม่มีการกล่าวทักทายใดๆ หวดป๊าบเข้าที่ผู้ใหญ่กลางกบาลเลยครับ

       เรื่องนี้ถึงจะฟ้องครูอังคณาก็ไม่มีความหมายครูอังคณาคงจะไม่ยุ่ง
 เมื่อแพ่นกบาลผัวเสร็จ เมียผู้ใหญ่ก็หันมาตวาดใส่เหล่าขุนนางอำมาตย์ทั้งหลาย
“อย่าเข้ามายุ่ง เรื่องของผัวเมีย” 

       แน่ล่ะ ไม่มีใครเข้าไปยุ่งแน่นอน
เพราะผู้ใหญ่พลนั้นเปรียบเสมือนผู้นำหมู่บ้านแต่เมียผู้ใหญ่นี่ คือผู้นำของผู้ใหญ่บ้านอีกทีใหญ่กว่าด้วยประการทั้งปวง 

       จากนั้นแกก็ลากคอผู้ใหญ่บ้านที่ตอนนี้เลือดโชกออกไปจากหอประชุม 

       “มืงจะเอายังไง มักมากนัก ไม่รู้จักพอ”เมียผู้ใหญ่ตวาดถาม 

       “อืม…เออน่า เดี๋ยวจะจัดการเอง เรื่องเล็กนิดเดียว”ผู้ใหญ่ตอบเสียงอ่อย 

       “อ้อ เรื่องเล็กนิดเดียว เอาซะอีกทีดีมั๊ยอี่เปียกมันเที่ยวโพนทะนาไปทั่วตลาดแล้ว ว่ามันท้องกับมืงยังมาบอกว่าเรื่องเล็กอีกฮึ่ม!! กูพูดแล้วขึ้น” 
เมียผู้ใหญ่ตวาดเสร็จ ก็ส่งบาทาไร้เงาเข้าท้องน้อยผู้ใหญ่อย่างแรง จนต้องทรุดตัวลงไปคำนับฟ้าดิน 

       ในณะที่ทั้งคู่กำลังถกเถียงกันอยู่นั้นป้าเปียกผู้ซึ่งอัพเกรดสถานะจากลูกบ้านธรรมดามาเป็นเมียน้อยผู้ใหญ่ได้อย่างสวยงามก็เดินตรงรี่เข้ามาหาคนทั้งสอง 

       “นั่นไง มันมาละ มืงจัดการให้จบนะวันนี้”เมียผู้ใหญ่ฝากฝังบัญชาสวรรค์ไว้ที่ผู้ใหญ่อำพลแล้วหันหลังทำท่าจะเดินออกไป 

       “อ้าว จะไปไหนละพี่ ไม่อยู่คุยกันก่อนล่ะ เดี๋ยวก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” ป้าเปียกเอ่ยขึ้นอย่างยิ้มเยาะ

       ถ้าตามละครหลัวข่าวเมียหลวงต้องหันกลับมาประเคน กระบวนท่าแม่ไม้
มวยไทยใส่เมียน้อยใช่มั๊ยครับ แต่นี่เปล่าเลยเมียผู้ใหญ่แกหันกลับมามองหน้าป้าเปียกนิดนึงแล้วก็ก้าวเดินออกไป แสดงให้เห็นถึงความห่างชั้นกันโดยสิ้นเชิง 

       “ โธ่ นึกว่าจะแน่ ถ้ากูไม่เก่งจริง กูแย่งผัวมืงไม่ได้หรอก” ยังครับ ป้าเปียกแกยังไม่หยุดแกพูดลอยๆเหมือนเปรยกับตนเอง แต่เสียงนี่ดังขนาดอยู่ห่างถึงภูเก็ตก็ได้ยิน(หยอกครับหยอก) 

       นั่นแหละครับคือการทำลายตะบะที่ได้ผลชะงัดนักเมียผู้ใหญ่หยุกกึกทันที หันกลับมายิ้มแล้วเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ ฝ่ายป้าเปียกเห็นดังนั้นก็มิทันได้ระวังตัว ด้วยคิดว่าคนอยู่เยอะแยะ เมียหลวงคงไม่กล้าทำอะไรแต่ถึงจะทำแกก็ไม่กลัวเพราะอย่างน้อยแกก็เคยมีฉายา เปียกส.ทำลาย
ล้างจะมาแบบไหนรับได้หมด 

        แต่ผิดคาดครับเพราะโดยทั่วไปต้องจิกผมก่อนแล้วค่อยตบ(เห็นในละครนี่ชอบจังบทแบบนี้)

        เมียผู้ใหญ่บ้าน พอเดินมาได้ระยะก็ถีบเข้าอย่างจังที่ท้องน้อย พอเห็นศัตรูคู่อาฆาต ลงไปกองกับพื้นแกก็จิกผมให้เงยหน้าขึ้นมาป้าเปียกก็พยายามแกะมือเมียหลวงออกจากผมของตน แต่ก็ไม่สำเร็จ เมียผู้ใหญ่ตบลงไปไม่ยั้ง ตบอยู่แบบนั้น จนกระทั่งป้าเปียกปล่อยมือให้ตกลงข้างลำตัวแน่นิ่งแกจึงปล่อยมือ ร่างของป้าเปียกนอนสิ้นสภาพอยู่ตรงนั้น

       ฝ่ายเมียผู้ใหญ่เหมือนจะยังไม่สุด
เตะเข้าที่บริเวณท้องน้อยซ้ำๆอยู่หลายครั้ง
เมื่อเหนื่อยจึงหยุด ยืนมองป้าเปียกอย่างเคียดแค้น “คิดจะแย่งผัวกู ก็ต้องโดนแบบนี้แหละ ไป!! กลับบ้าน มืงกับกูต้องคุยกัน” 

        เมื่อเมียสั่ง ผู้ใหญ่ก็รีบลุกขึ้นเดินตามไปอย่างว่าง่ายทิ้งป้าเปียกนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ เมื่อเห็นว่าทั้งคู่จากไปแล้วก็รีบเข้ามาดูอาการป้าเปียก พยุงให้ค่อยๆลุกขึ้นนั่ง 

        ใบหน้าของป้าเปียก บวมแดงจนม่วงไปแถบนึงผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เลือดออกจากปากและจมูกดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความอัปยศ เมื่อลุกขึ้นยืนได้ป้าเปียกแกก็เดินเอามือกุมท้องจากไป หลายคนเห็นว่าที่ผ้าถุงกับน่องทั้งสองข้างมีเลือดไหลออกมาจนแดงเปรอะไปทั่ว

(มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่