[รีวิวฉบับด่วนจากญี่ปุ่น/ NO SPOIL] Thrice Upon a Time – บทอวสานตำนาน Evangelion ที่งดงามและคุ้มค่าการรอคอย

ผมเชื่อว่าแฟนๆ Evangelion ทั่วโลก คงรอคอยและตั้งความหวังกับภาพยนตร์อนิเม Evangelion 3.0+1.0 :Thrice Upon a Time เป็นอย่างมาก เพราะ Thrice Upon a Time ไม่เพียงแต่จะถูกฉายทิ้งช่วงจากภาคก่อนหน้านี้เป็นเวลายาวนานเกือบ 1 ทศวรรษเท่านั้น (ภาค 3.0: You Can (not) Redo ถูกฉายเมื่อปี 2012) หากแต่ยังถูกประกาศไว้ว่าเป็นภาคอวสานของซีรี่ย์ตระกูล Evangelion ทั้งหมดด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น แฟนๆ ทั้งหลายคงมีคำถามอยู่ในใจกันทุกคนว่า เนื้อหาในภาคนี้จะปิดฉากลงอย่างไรกันแน่ เพราะตั้งแต่ช่วงท้าย ภาค 2.0 You Can (not) Advance เป็นต้นมา เนื้อหาก็ฉีกออกจากภาคทีวีออกไปไกลเรื่อยๆ 

ในโอกาสนี้ ผมขอรีวิวความรู้สึกจากการรับชม Evangelion 3.0+1.0 :Thrice Upon a Time ให้แฟนๆ EVA ในไทยได้รับทราบกันในระหว่างที่รอให้หนังเข้าฉายในเมืองไทยครับ 

เนื้อเรื่อง

-   เนื้อเรื่องของ Thrice Upon a Time สามารถแบ่งได้เป็นสี่ส่วน ส่วนที่หนึ่งจะเล่าเกี่ยวกับปฏิบัติการที่ปารีสของมาริและทีมของมิซาโตะ ส่วนที่สองจะเล่าเกี่ยวกับสามตัวเอก (ชินจิ-อาสึกะ-และเรย์คนใหม่) ที่ออกเดินทางหลังจากฉากจบในภาค 3.33 จนมาพบกับนิคมของผู้ที่รอดชีวิตจาก Third
Impact  ส่วนที่สามจะเป็นศึกครั้งตัดสินระหว่างฝ่าย Wille และ Nerv  ส่วนสุดท้ายก็จะเป็นบทสรุป  

-   เนื้อเรื่องของภาคนี้จะเป็นเนื้อหาใหม่สักประมาณ 90% (ผมกะๆ เอาเอง)

ฉากบู๊

-   ฉากต่อสู้ในภาคนี้ดุเดือดและอลังการกว่า Evangelion ภาคก่อนๆ  ฝ่ายตัวเอกจะเข้าต่อสู้หุ่น EVA ที่ขนอาวุธกันแบบเต็มพิกัด ส่วนฝ่ายศัตรูก็จะยกพลกันมาแบบมืดฟ้ามัวดิน ส่วนฝ่ายยานรบ AAA Wunder ที่นำโดยมิซาโตะก็ร่วมสงครามอย่างดุเดือดไม่น้อยหน้ากัน ความดุดันในการต่อสู้ของตัวเอกในฉากบู๊สำคัญๆ นั้น บางฉากนั้นชวนให้คนดูรู้สึกได้ว่า พอจบเรื่อง EVA แล้วก็ไปรับจ๊อบเล่นฉากบู๊ต่อใน Guren Lagann ได้สบาย 

-  หากท่านใดต้องการเพิ่มอรรถรสในการชมฉากบู๊ของ EVA ภาคนี้ให้มากขึ้นไปอีก ผมขอแนะนำให้ไปดูในโรงแบบ 4DX เลยครับ 

ฉากดราม่า

-   เนื้อหาส่วนที่เป็นดราม่านั้นดีงามมาก ทีมงานผู้สร้างสามารถเกลี่ยบทให้กับตัวละครหลักทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ชินจิ เรย์ อาสึกะ มาริ มิซาโตะ ได้อย่างสมดุลและสามารถสร้างความผูกพันให้คนดูได้เป็นอย่างดี  คนบางคน air time อาจจะไม่มาก แต่ก็ไม่ให้ความรู้สึกว่าโดนตัดบททิ้ง

- ที่จริงแล้วตอนสมัยที่ดูเวอร์ชั่นเก่า ผมออกจะไม่ชอบหน้าอาสึกะด้วยซ้ำ พอได้ดูภาค Rebuild 2.0 ก็รู้สึกดีกับเธอขึ้นมาพอสมควร แต่พอมาถึงภาคสุดท้ายนี่ผมเข้าขั้นประทับใจเธอทีเดียว  มาริเองก็เหมือนกัน ใน Rebuild ภาคก่อนๆ  ผมเองว่าเธอก็น่าสนใจดี สู้เก่ง บ๊องๆ แฝงความลึกลับ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นว้าวสักเท่าไร  (แฟนๆ เป็นฝรั่งบางคนเคยด่าเธอด้วยซ้ำว่าเป็น Mary Sue หรือไม่ก็เป็นสาวการ์ตูนโชเน็น ที่ดันหลุดเข้ามาอยู่ใน Evangelion) แต่พอมาเป็นภาคนี้ ผมเข้าขั้นชอบเธอเลยล่ะ สามารถกล่าวได้ว่าเธอสามารถขึ้นมาเคียงคู่กับเรย์และอาสึกะได้อย่างงดงาม

-  หนังยังบอกเล่าเรื่องราวเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวละครที่คนดูคาดไม่ถึงบางคนเช่นกัน หากอยากรู้ว่าตัวละครเหล่านั้นเป็นใคร โปรดติดตามได้ในตัวหนังครับ 

-  แม้ฉากหวานๆ ภายในหนังภาคนี้จะมีไม่มากนักตามประสา Evangelion ก็ตาม แต่ละฉากที่ใส่เข้ามานั้นก็ให้ความรู้สึกทรงพลังแบบ Less is More และชวนให้ฟินได้  ไม่ว่าคุณจะเป็นทีมเรย์ ทีมอาสึกะ ทีมมาริ หรือแม้แต่ทีมคาโอรุ ก็ตาม  เมื่อได้ดู Thrice Upon a Time คุณก็จะรู้สึกดีไปกับตัวละครที่คุณชอบอย่างไม่มากก็น้อย และก็ยังสามารถยิ้มให้กับตัวละครคนอื่นๆ ได้ด้วย

-   ความสุดยอดของอีกอย่างภาค Thrice Upon a Time ที่ผมประทับใจเป็นพิเศษก็คือ เนื้อเรื่องที่ให้ความหวัง อบอุ่น ละมุนละไม อย่างที่ไม่คาดมาก่อนว่าจะสามารถสัมผัสได้จาก Evangelion แต่กลับให้ความรู้สึกลงตัวและกลมกล่อมอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะฉากที่เปิด Insert Song ท้ายเรื่อง (เพื่อให้ได้รับอรรถรถอย่างเต็มที่ ผมขอไม่บอกชื่อเพลงแล้วกัน) นั้น ทรงพลังจนชวนให้นึกถึงฉากเพลง Tsubasa wo Kudasai ที่แฟนๆ ประทับใจในภาค 2.0 แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือความรู้สึกถึงความรัก ความอิ่มเอม และความเหงาที่ต้องโบกมืออำลา ใครที่ใจไม่แข็งพออาจจะน้ำตาไหลออกมาได้ 

-   ผมรู้สึกได้ว่า อารมณ์ของหนังสะท้อนถึง “การเติบโตเป็นผู้ใหญ่” ดังนั้น ผู้ชมที่โตมากับ Evangelion ภาคทีวีในตอนเด็ก และโตเป็นผู้ใหญ่ในตอนนี้แล้ว จะยิ่งรู้สึกอินกับหนังมากกว่าผู้ชมที่เป็นเด็กแล้วมาติดตามอนิเมตระกูล Evangelion เมื่อไม่นานมานี้

-   (นอกเรื่องนิดหน่อย)   แฟน EVA ชาวญี่ปุ่นบางท่าน ตั้งข้อสันนิษฐานว่า Evangelion ฉบับทีวีจนถึง The End of Evangelion อาจเทียบเคียงได้กับคัมภีร์ Old Testament ของศาสนายูดาย ส่วนภาพยนตร์ตระกูล Rebuild จะเทียบเคียงได้กับ New Testament ของศาสนาคริสต์   หากเราพิจารณารายละเอียดของคัมภีร์ทั้งสองโดยคร่าวๆ แล้ว จะพบว่า พระเจ้าของ Old Testament จะโหดและดุดันกว่า พระเจ้า ใน New Testament (พระเจ้า Old Testament ให้น้ำท่วมโลก ปลดปล่อยภัยพิบัติทั้งเจ็ดจนคนอียิปต์เดือดร้อนล้มตายจำนวนมาก เพียงเพราะฟาโรห์ไม่ยอมให้คนยิวตามโมเสสไปสู่ดินแดนพันธะสัญญา มีคำสอนเรื่องตาต่อตา ฟันต่อฟัน  พระเจ้า New Testament ส่งพระเยซูมาเป็นผู้ไถ่บาปให้มนุษย์ มีคำสอนเรื่องยื่นแก้มอีกข้างให้เขาตบด้วย)  นี่จึงน่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เนื้อหาของ Evangelion ในตระกูล Rebuild สดใสและมีความหวังกว่า ภาค Original  
 
ฉาก Troll คนดูในสไตล์ Evangelion/Hideaki Anno

-  แม้จะมีโทนที่สว่างละมุนละไมกว่าภาคอื่นๆ แต่ตัวหนังก็มีฉากที่ทำให้เหวอ + ลูบหลังแล้วตบหัวอยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม EVA ภาคนี้จะไม่สยอง เลือดสาดเท่าภาค End of Evangelion (ผมว่าภาคนั้นให้ความรู้สึกโหดและแหวะสุดแล้ว)

-  หนังจะมีการสับขาหลอก ก่อนปล่อยจุดหักมุมสำคัญ เชื่อว่าเมื่อหนังเข้าไทยเมื่อไร ประเด็นนี้จะกลายเป็น Talk of the Town ในห้องการ์ตูน Pantip (และบน SNS) ได้เลย

-  เนื้อเรื่องภาคนี้จัดว่าย่อยง่ายกว่าตอนจบภาค TV และ The End of Evangelion แต่ก็จะยังคงชั้นเชิงด้วยเล่าเรื่องแบบ Show, don’t tell มีการซ่อนนัยยะเอาไว้ในฉาก ในบทสนทนาให้คนดูเอาไปปะติดปะต่อหาคำตอบเอง  ภายในเรื่องจะมีการตอบปริศนาบางเรื่อง “บางส่วน” เช่น 14 ปี แห่งความหลังงงงงง (อ่านด้วยทำนองสุรพล สมบัติเจริญ) แต่ก็มีปริศนาบางอย่างที่ถูกปล่อยให้เป็นความลับอยู่อย่างนั้น  แถมยังมีปริศนาใหม่บางอย่างเพิ่มเข้ามาอีกด้วย

ฉาก Service

-   สามไพล็อตสาวน่ารัก สามารถปล่อยดาเมจใส่คนดูได้เป็นอย่างดี

-    มี Easter Egg ไว้ให้คนที่ดูภาค TV และภาค The End of Evangelion มาให้แฟนๆ ได้รำลึกความหลังกันด้วย  เพื่อให้ได้รับอรรถรสอย่างเต็มที่ ขอแนะนำให้ไปทบทวนดูภาคทีวีและภาค The End of Evangelion ก่อน

งานภาพ  
-   งานภาพทำออกมาสวยงาม สามารถผสมผสานภาพวาดสองมิติ และ CG สามมิติ ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ผมมีจุดหักคะแนนนิดหน่อยในฉาก Easter Egg ฉากหนึ่ง ที่ทางผู้กำกับเลือกใช้ภาพ 3D แทนภาพ 2D ผลลัพธ์ที่ได้เลยรู้สึกแปลกๆ หน่อย

ดนตรี

-   เพลงเพราะทั้งในส่วนของ BGM  , เพลง One Last Kiss ที่ใช้เป็นเพลงจบ, เพลงญี่ปุ่นที่ใช้เป็น Insert Song  แต่ก็ผมแอบเสียดายอยู่เล็กๆ ว่าทั้งๆที่กำลังจะปิดตำนานอยู่แท้ๆ แต่ทำไมไม่เอาเพลง Cruel Angel’s Thesis กลับมาเปิดด้วย

บทสรุป

-  หนังดีมาก ดูแล้วอิ่มเอม แถมยังชวนให้อยากกลับไปดูซ้ำอีก งานเยี่ยมสมกับการรอคอยเป็นเวลาเกือบนาน นับเป็นการปิดฉากตำนานแห่ง Evangelion ได้อย่างสมศักดิ์ศรี  

- ถ้าให้เรียงลำดับความชอบของผมที่มีต่อภาพยนตร์ตระกูล Rebuild: 4>2>3>1

-  ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้ Thrice Upon a Time สร้างประวัติศาสตร์อีกหน้าใน Box Office ของญี่ปุ่นในปีนี้เช่นกันครับ  ถึงจะเอาชนะ Kimetsu Yaiba ได้ยาก  แต่ก็อยากให้ขึ้นทำเนียบภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาลของญี่ปุ่นระดับ Top Ten เหมือนกัน

- หลังหนังเข้าฉายที่ไทยแล้ว ผมจะมาเขียนวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นสำคัญบางอย่างที่ผมสนใจ (และน่าจะคาใจใครหลายๆ คน) ครับ โปรดรอติดตาม

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่