วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ถือโอกาสนัดครอบครัวพร้อมหน้าออกมาหาทานร้านเนื้อคุณภาพดีรสชาติอร่อยๆด้วยกัน โดยเราได้พิกัดมาจากกลุ่ม "ชมรมคนรักเนื้อ" มีสมาชิกท่านหนึ่งได้โพสต์ภาพเนื้อย่างส่วนโทมาฮอว์กชิ้นใหญ่โตน่ากัดให้จมเขี้ยวของร้าน "Medium Rare Steak & Wine" อยู่ภายในซอยประดิพัทธ์ 10 ไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติมร้านนี้ถือว่ามีดีกรีไม่ธรรมดาเพราะได้รับเลือกเป็น Wongnai Users' Choice ต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2017-2021 คะแนนรีวิวจากทุกสำนักอยู่ที่ 4.2-4.3 เต็ม 5 ดาว จุดเด่นก็ตามชื่อที่ตั้งเลยคือเน้นเนื้อวัวคุณภาพดีกับไวน์หลากหลายยี่ห้อมาจากแหล่งผลิตชั้นนำทั่วโลกรวมเอาไว้ครบจบในที่เดียว ส่วนราคานั้นถือว่าค่อนข้างสมเหตุสมผลกับวัตถุดิบและเมนูที่ทางร้านนำเสนอ ในวันธรรมดาจะเปิดแค่ช่วงเย็นคือ 17.00-22.30 น. ส่วนวันหยุดส.-อา.นั้นเปิดยาวตั้งแต่ 11.00-22.30 น. (ปิดร้านทุกวันจันทร์) ส่วนวิธีการเดินทางหากมาด้วยรถยนต์ส่วนตัวร้านอยู่กลางซอยประดิพัทธ์ 10 มีลานจอดรถขนาดใหญ่ให้บริการ หากมาด้วยบริการขนส่งสาธารณะลง BTS สถานีอารีย์ หรือ BTS สถานีสะพานควาย แล้วเรียกรถให้ขับมาตาม Google Maps อีกแค่ประมาณ 1.3-1.5 กิโลเมตรก็จะถึงหน้าร้านที่มีรูปวาดน้องวัวตัวอ้วนขนาดใหญ่พิเศษขาสั้นยืนอยู่บนหญ้าสีขาวดำแบบนี้แสดงว่ามาถูกร้านแล้วแน่นอนครับ

ตัวร้านเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของตึกที่แบ่งห้องให้เช่าอยู่ชั้นล่างสุดด้านขวามือพร้อมมีป้ายไฟ Wongnai Users' Choice ตั้งแต่ปี 2017-2019 แสดงความอร่อยและได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องของทางร้าน ทางเข้าเป็นประตูกระจกสีดำขนาดใหญ่คุมโทนเข้มแสดงความเป็น Steak House สไตล์ยุโรปที่ดุดันได้เป็นอย่างดี ตอนนี้สมาชิกร่วมโต๊ะของผมยังมากันไม่ครบเลยถือโอกาสขอทางร้านถ่ายรูป-เก็บบรรยากาศโดยรอบไปล่วงหน้าก่อนแล้วกันครับผม

เปิดเข้าประตูมาในร้านชั้น 1 ก็จะพบกับมุมโซฟาและป้ายร้านขนาดใหญ่ชวนให้นั่งถ่ายรูป ข้างๆกันเป็นครัวหลักของทางร้านที่กั้นด้วยกระจกใสทำให้มองเห็นบรรยากาศการปรุงอาหารในครัวได้อย่างชัดเจนและตู้ Dry Aged เนื้อวัว Australian Wagyu Prime Ribs พร้อมมีป้าย Tag บ่งบอกว่าถูกบ่มเอาไว้ตั้งแต่วันไหนและขนาดกี่กิโลกรัม (เพราะน้ำในเนื้อจะหายไปจากการบ่มและต้องตัดเนื้อด้านนอกทิ้งไปบางส่วน) ตอนนี้ชิ้นที่ถูกบ่มมานานสุดคือตั้งแต่วันที่ 07/05/2019 ขนาด 14.8 กิโลกรัม ไม่แน่ใจว่าเนื้อในตู้นี้ตัดแบ่งขายหรือมีคนจองเอาไว้มั้ยหากสนใจพร้อมมีเงินถึงก็ลองสอบถามทางร้านดูครับ ข้างๆตู้ก็เป็นป้าย Wongnai Users' Choice ตั้งแต่ปี 2017-2020 และยังได้รับเลือกปี 2021 ด้วย (อ้างอิงหน้าเว็บไซต์ของ Wongnai ) แต่เหมือนว่าใบประกาศน่าจะยังไม่ถูกส่งมาให้ที่ร้าน

ขึ้นบันไดมาที่ชั้น 2 ก็จะพบกับพื้นที่นั่งรับประทานอาหารโดยตอนแรกนั้นถ้าสังเกตดีๆจุดนี้จะมีม่านสีดำปกคลุมเอาไว้อยู่ก่อนเปิดร้านแต่ตอนนี้เปิดออกรับแสงสว่างจากธรรมชาติเข้ามาภายในร้านอย่างทั่วถึง เต็มไปด้วยโต๊ะเรียงกันมากมายรองรับลูกค้าได้ตั้งแต่ 2-4 คน ไปจนถึงห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับลูกค้าได้มากถึง 50 คน ทุกโต๊ะเป็นไม้เนื้อแข็งสีเข้มเสริมความมั่นคงด้วยโครงเหล็กสีดำพร้อมโต๊ะจิ๋วสีขาวเล็กๆสำหรับทำเป็นโต๊ะเสริมเอาไว้วางเครื่องดื่ม เก้าอี้เป็นเหล็กสีดำแข็งแรงขาทั้ง 4 ข้างเสริมจุกยางเพื่อให้นั่งได้อย่างมั่นคงไม่มีเสียงดังเวลาเลื่อนเข้าหรือออก ทุกโต๊ะวางแก้วน้ำ/ที่รองแก้ว/จาน/มีด+ส้อมและผ้ากันเปื้อนสีดำปักชื่อร้านเอาไว้เรียงอย่างสวยงาม การตกแต่งร้านเน้นไปทาง Loft พื้นปูนขัดผนังอิฐก่อตัดกับสีดำและไฟหลอดไส้สีส้มให้ความอบอุ่นแต่ดุดันช่วยบ่งบอกสไตล์ของร้านได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีบาร์เครื่องดื่มขนาดใหญ่เอาไว้รองรับสายดื่มโดยเฉพาะอีกด้วยครับผม

เมนูของที่ร้านนี้เป็นแบบรายการใบพิมพ์ขาวดำไม่มีรูปประกอบทำให้คาดเดาปริมาณที่จะมาเสิร์ฟแต่ละจานนั้นทำได้ค่อนข้างยาก (แต่ส่วนตัวอาศัยดูรูปจากรีวิวเก่าๆบอกเลยว่าปริมาณไม่ธรรมดา) หน้าแรกรวมเมนูเนื้อนำเข้ากับวัตถุดิบพิเศษที่เป็น Signature ของทางร้าน แพงสุดก็คือเนื้อ Dry Aged Prime Ribs Special บ่มด้วย Jack-Daniel's Honey 400 วัน ราคา 1,300 บาท ต่อ 100 กรัม (คาดว่าน่าจะเป็นเนื้อในตู้ด้านล่างเมื่อกี้) นอกนั้นเป็นเนื้อ Tomahawk Cut ของยี่ห้อ Rangers Valley / WX จากออสเตรเลียเลี้ยงด้วยธัญพืชตั้งแต่ 150-270 และ 400 วัน ราคากิโลกรัมละ 2,415 ขีดละ 279 และขีดละ 359 บาทตามลำดับ Black Angus จาก USA ราคาขีดละ 454 บาท เนื้อแกะมาจากออสเตรเลียยี่ห้อ Wammco กิโลกรัมละ 2,945 บาท ฟัวกราส์และ Scottish King Scallop จานละ 1,234 กับ 1,845 บาทตามลำดับ หน้าต่อไปเป็นเมนูข้าวผัดเนื้อวากิวพร้อมท๊อบปิ้งราคาเริ่มต้นที่ 300-750 บาท พาสต้าราคาเริ่มต้นที่ 358-1,960 บาท เมนูซุปราคาเริ่มต้นที่ 289-399 บาท หอยนางรมสดนำเข้าจากฝรั่งเศสสายพันธุ์ Gillardeau ตัวละ 240 บาท สลัดผัดสดกับผักเคียงสเต็กราคาจานละ 129-567 บาท ของว่างและเครื่องเคียงจากมันหวาน/มันฝรั่งและขนมปังราคาจานละ 80-178 บาท ตามมาด้วย Main Couse ที่มีส่วนของเนื้อและราคาหลากหลายกว่าหน้าแรกเช่นเนื้อวัวญี่ปุ่นไซตามะระดับ A4 และเนื้อหมูส่วนพอร์คชอป หากต้องการเพิ่มเครื่องเคียงก็รายการละ 80 บาท ยกเว้นผักโขมอบชีสราคา 278 บาท โดยแต่ละจานนั้นจะถูกหรือแพงนั้นก็ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาปรุงและมีแบรนด์สินค้ากำกับไว้ช่วยการันตีว่าของที่ใช้นั้นคุณภาพสูงได้เป็นอย่างดีครับ

หน้าต่อมาเป็นซีฟู๊ดย่างกับพาสต้าทั้งบอสตันล๊อบสเตอร์เป็นๆนำเข้าจาก USA ตัวละ 1,960 บาทและตัวขนาดใหญ่พิเศษ 1-3 กิโลกรัมขีดละ 250 บาท ปูอลาสก้านำเข้าจากนอร์เวย์และรัสเซียขีดละ 338.80 บาท หอย King Scallop จากสกอตแลนด์ราคา 1,345-1,845 บาท แซลมอนจากน่านน้ำยุโรปย่างจานละ 767 บาท พาสต้าแบบอิตาลีจานละ 358-459 บาท หน้าต่อไปเอาใจสายเครื่องดื่มเริ่มจาก Champagne และ Sparkling ราคาเริ่มต้นที่ขวดละ 1,300 ไปจนถึง 14,500 บาท ไวน์ขาวมีทั้งเสิร์ฟเป็นแก้วและยกทั้งขวดราคาเริ่มต้นที่ 350-3,000 บาท ไวน์แดงแบบ House Wines และ California มีหลายระดับ Body จากหลากหลายประเทศทั่วโลก เสิร์ฟทั้งแบบแก้วและยกทั้งขวดราคาเริ่มต้นที่ 450-9,900 บาทเรียกได้ว่าเลือกดื่มไวน์ชนิดต่างๆได้ตามกำลังทรัพย์ที่มีเลยครับ

หน้าต่อไปเป็นไวน์จากโลกเก่าทั้งหลายเริ่มจากฝรั่งเศสมีให้เลือกทั้ง Medium และ Full Body ส่วนราคานั้นก็แตกต่างชามชนิดและปีที่เริ่มหมักราคาเริ่มต้นที่ขวลละ 2,200 บาท ไปจนถึงราคาขวดละ 15,000 บาท ถือว่าเป็นสวรรค์ของสายไวน์ที่แท้จริง นอกจากนี้ก็ยังมีไวน์จากสเปนให้เลือกสั่งอีกมากมายราคาเริ่มต้นที่ขวดละ 2,000 บาท ไปจนถึงขวดละ 6,300 บาท และไวน์แดงจากประเทศอิตาลีเริ่มต้นที่ขวดละ 2,000 บาท ไปจนถึงราคาแพงที่สุดก็ขวดละ 4,200 บาท เห็นเมนูแล้วถึงกับต้องสอบถามน้องพนักงานเลยว่าร้านเล็กๆแค่นี้เอาไวน์จากทั่วโลกที่มีจำนวนมากมายขนาดนี้ไปเก็บตรงไหนก็ได้คำตอบมาว่าด้านหลังครัวตรงที่เป็นกำแพงอิฐส้มเป็นห้องเย็นสำหรับเก็บไวน์โดยเฉพาะนั่นเอง ถ้าหากใครนำไวน์จากด้านนอกมาทานเองที่ร้านเขาคิดค่าเปิดขวดเพิ่ม 1,000 บาทต่อขวดด้วยนะครับ

หน้าต่อไปก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่เอาใจสายอื่นๆนอกจากไวน์บ้างเช่น Cocktails/Beer/Single Malt /Spirits /Whiskies (มีให้เลือกทั้งฝั่งยุโรปและญี่ปุ่น) ถ้าหากใครไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็มี Mocktails /กาแฟร้อน-เย็น/ชา/น้ำอัดลมและน้ำแร่บรรจุขวดราคาเริ่มต้นที่ 35-190 บาท ไปจนถึงขนมหวานสไตล์ยุโรปราคาจานละ 139-189 บาท ราคาที่เห็นในเล่มเมนูนี้ไม่รวม Vat. 7% กับ Service Charge อีก 10% ถือว่าราคาค่อนข้างสูงแต่ลูกค้าให้การยอมรับต่อเนื่องขนาดนี้แปลว่าต้องมีข้อดีที่ทำให้คนจำนวนมากยอมจ่ายเพื่อจะได้ทานอย่างแน่นอนครับ

เมนูจานแรกแฟนผมสั่งมาเพราะอยากลองทานมากนั่นคือหอยนางรมสายพันธุ์พิเศษจากฝรั่งเศส Gillardeau Oyster เราสั่งมา 2 ตัวราคาตัวละ 240 บาท ส่วนตัวเคยทานแค่ Fin De Clare ตัวเล็กแต่รสหวานมีกลิ่นน้ำทะเล ส่วนหอยนางรมชนิดนี้เหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่างหอยนางรมฝรั่งเศสกับหอยนางรมสุราษฎร์ธานีตรงที่เนื้อเยอะแต่ก็ไม่ใหญ่-แน่นนักและได้รสหวานฉ่ำมากกว่า จะทานคู่กับซอสน้ำส้มสายชูผสมหอมแดงสับหรือบีบน้ำเลมอนสดลงไปก่อนทานก็อร่อยสุดๆ ส่วนวิธีการดูว่าหอยนางรมชนิดนี้เป็นสายพันธุ์ Gillardeau จริงหรือไม่ ให้ดูที่เปลือกฝาหอยจะมีลายสลักรูปตัว G แบบนี้ทำโดยเกษตรกรผู้เลี้ยงหอยชนิดนี้แสดงว่าเป็นของแท้ เพราะความอร่อยของมันทำให้มีของเลียนแบบแอบอ้างขายอยู่ตามตลาดเยอะมากๆ ถ้าหากมาทานที่ร้านนี้มั่นใจเลยว่าได้ทานของแท้แน่นอนครับผม
******* เกิน 10,000 ตัวอักษร ขอรีวิวต่อในช่อง Comment นะครับ *******
[CR] รีวิว Medium Rare Steak & Wine ร้านสเต็กเฮ้าส์คุณภาพระดับพรีเมี่ยมและคลังไวน์ อยู่ในซอยประดิพัทธ์ 10
ตัวร้านเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของตึกที่แบ่งห้องให้เช่าอยู่ชั้นล่างสุดด้านขวามือพร้อมมีป้ายไฟ Wongnai Users' Choice ตั้งแต่ปี 2017-2019 แสดงความอร่อยและได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องของทางร้าน ทางเข้าเป็นประตูกระจกสีดำขนาดใหญ่คุมโทนเข้มแสดงความเป็น Steak House สไตล์ยุโรปที่ดุดันได้เป็นอย่างดี ตอนนี้สมาชิกร่วมโต๊ะของผมยังมากันไม่ครบเลยถือโอกาสขอทางร้านถ่ายรูป-เก็บบรรยากาศโดยรอบไปล่วงหน้าก่อนแล้วกันครับผม
เปิดเข้าประตูมาในร้านชั้น 1 ก็จะพบกับมุมโซฟาและป้ายร้านขนาดใหญ่ชวนให้นั่งถ่ายรูป ข้างๆกันเป็นครัวหลักของทางร้านที่กั้นด้วยกระจกใสทำให้มองเห็นบรรยากาศการปรุงอาหารในครัวได้อย่างชัดเจนและตู้ Dry Aged เนื้อวัว Australian Wagyu Prime Ribs พร้อมมีป้าย Tag บ่งบอกว่าถูกบ่มเอาไว้ตั้งแต่วันไหนและขนาดกี่กิโลกรัม (เพราะน้ำในเนื้อจะหายไปจากการบ่มและต้องตัดเนื้อด้านนอกทิ้งไปบางส่วน) ตอนนี้ชิ้นที่ถูกบ่มมานานสุดคือตั้งแต่วันที่ 07/05/2019 ขนาด 14.8 กิโลกรัม ไม่แน่ใจว่าเนื้อในตู้นี้ตัดแบ่งขายหรือมีคนจองเอาไว้มั้ยหากสนใจพร้อมมีเงินถึงก็ลองสอบถามทางร้านดูครับ ข้างๆตู้ก็เป็นป้าย Wongnai Users' Choice ตั้งแต่ปี 2017-2020 และยังได้รับเลือกปี 2021 ด้วย (อ้างอิงหน้าเว็บไซต์ของ Wongnai ) แต่เหมือนว่าใบประกาศน่าจะยังไม่ถูกส่งมาให้ที่ร้าน
ขึ้นบันไดมาที่ชั้น 2 ก็จะพบกับพื้นที่นั่งรับประทานอาหารโดยตอนแรกนั้นถ้าสังเกตดีๆจุดนี้จะมีม่านสีดำปกคลุมเอาไว้อยู่ก่อนเปิดร้านแต่ตอนนี้เปิดออกรับแสงสว่างจากธรรมชาติเข้ามาภายในร้านอย่างทั่วถึง เต็มไปด้วยโต๊ะเรียงกันมากมายรองรับลูกค้าได้ตั้งแต่ 2-4 คน ไปจนถึงห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับลูกค้าได้มากถึง 50 คน ทุกโต๊ะเป็นไม้เนื้อแข็งสีเข้มเสริมความมั่นคงด้วยโครงเหล็กสีดำพร้อมโต๊ะจิ๋วสีขาวเล็กๆสำหรับทำเป็นโต๊ะเสริมเอาไว้วางเครื่องดื่ม เก้าอี้เป็นเหล็กสีดำแข็งแรงขาทั้ง 4 ข้างเสริมจุกยางเพื่อให้นั่งได้อย่างมั่นคงไม่มีเสียงดังเวลาเลื่อนเข้าหรือออก ทุกโต๊ะวางแก้วน้ำ/ที่รองแก้ว/จาน/มีด+ส้อมและผ้ากันเปื้อนสีดำปักชื่อร้านเอาไว้เรียงอย่างสวยงาม การตกแต่งร้านเน้นไปทาง Loft พื้นปูนขัดผนังอิฐก่อตัดกับสีดำและไฟหลอดไส้สีส้มให้ความอบอุ่นแต่ดุดันช่วยบ่งบอกสไตล์ของร้านได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีบาร์เครื่องดื่มขนาดใหญ่เอาไว้รองรับสายดื่มโดยเฉพาะอีกด้วยครับผม
เมนูของที่ร้านนี้เป็นแบบรายการใบพิมพ์ขาวดำไม่มีรูปประกอบทำให้คาดเดาปริมาณที่จะมาเสิร์ฟแต่ละจานนั้นทำได้ค่อนข้างยาก (แต่ส่วนตัวอาศัยดูรูปจากรีวิวเก่าๆบอกเลยว่าปริมาณไม่ธรรมดา) หน้าแรกรวมเมนูเนื้อนำเข้ากับวัตถุดิบพิเศษที่เป็น Signature ของทางร้าน แพงสุดก็คือเนื้อ Dry Aged Prime Ribs Special บ่มด้วย Jack-Daniel's Honey 400 วัน ราคา 1,300 บาท ต่อ 100 กรัม (คาดว่าน่าจะเป็นเนื้อในตู้ด้านล่างเมื่อกี้) นอกนั้นเป็นเนื้อ Tomahawk Cut ของยี่ห้อ Rangers Valley / WX จากออสเตรเลียเลี้ยงด้วยธัญพืชตั้งแต่ 150-270 และ 400 วัน ราคากิโลกรัมละ 2,415 ขีดละ 279 และขีดละ 359 บาทตามลำดับ Black Angus จาก USA ราคาขีดละ 454 บาท เนื้อแกะมาจากออสเตรเลียยี่ห้อ Wammco กิโลกรัมละ 2,945 บาท ฟัวกราส์และ Scottish King Scallop จานละ 1,234 กับ 1,845 บาทตามลำดับ หน้าต่อไปเป็นเมนูข้าวผัดเนื้อวากิวพร้อมท๊อบปิ้งราคาเริ่มต้นที่ 300-750 บาท พาสต้าราคาเริ่มต้นที่ 358-1,960 บาท เมนูซุปราคาเริ่มต้นที่ 289-399 บาท หอยนางรมสดนำเข้าจากฝรั่งเศสสายพันธุ์ Gillardeau ตัวละ 240 บาท สลัดผัดสดกับผักเคียงสเต็กราคาจานละ 129-567 บาท ของว่างและเครื่องเคียงจากมันหวาน/มันฝรั่งและขนมปังราคาจานละ 80-178 บาท ตามมาด้วย Main Couse ที่มีส่วนของเนื้อและราคาหลากหลายกว่าหน้าแรกเช่นเนื้อวัวญี่ปุ่นไซตามะระดับ A4 และเนื้อหมูส่วนพอร์คชอป หากต้องการเพิ่มเครื่องเคียงก็รายการละ 80 บาท ยกเว้นผักโขมอบชีสราคา 278 บาท โดยแต่ละจานนั้นจะถูกหรือแพงนั้นก็ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาปรุงและมีแบรนด์สินค้ากำกับไว้ช่วยการันตีว่าของที่ใช้นั้นคุณภาพสูงได้เป็นอย่างดีครับ
หน้าต่อมาเป็นซีฟู๊ดย่างกับพาสต้าทั้งบอสตันล๊อบสเตอร์เป็นๆนำเข้าจาก USA ตัวละ 1,960 บาทและตัวขนาดใหญ่พิเศษ 1-3 กิโลกรัมขีดละ 250 บาท ปูอลาสก้านำเข้าจากนอร์เวย์และรัสเซียขีดละ 338.80 บาท หอย King Scallop จากสกอตแลนด์ราคา 1,345-1,845 บาท แซลมอนจากน่านน้ำยุโรปย่างจานละ 767 บาท พาสต้าแบบอิตาลีจานละ 358-459 บาท หน้าต่อไปเอาใจสายเครื่องดื่มเริ่มจาก Champagne และ Sparkling ราคาเริ่มต้นที่ขวดละ 1,300 ไปจนถึง 14,500 บาท ไวน์ขาวมีทั้งเสิร์ฟเป็นแก้วและยกทั้งขวดราคาเริ่มต้นที่ 350-3,000 บาท ไวน์แดงแบบ House Wines และ California มีหลายระดับ Body จากหลากหลายประเทศทั่วโลก เสิร์ฟทั้งแบบแก้วและยกทั้งขวดราคาเริ่มต้นที่ 450-9,900 บาทเรียกได้ว่าเลือกดื่มไวน์ชนิดต่างๆได้ตามกำลังทรัพย์ที่มีเลยครับ
หน้าต่อไปเป็นไวน์จากโลกเก่าทั้งหลายเริ่มจากฝรั่งเศสมีให้เลือกทั้ง Medium และ Full Body ส่วนราคานั้นก็แตกต่างชามชนิดและปีที่เริ่มหมักราคาเริ่มต้นที่ขวลละ 2,200 บาท ไปจนถึงราคาขวดละ 15,000 บาท ถือว่าเป็นสวรรค์ของสายไวน์ที่แท้จริง นอกจากนี้ก็ยังมีไวน์จากสเปนให้เลือกสั่งอีกมากมายราคาเริ่มต้นที่ขวดละ 2,000 บาท ไปจนถึงขวดละ 6,300 บาท และไวน์แดงจากประเทศอิตาลีเริ่มต้นที่ขวดละ 2,000 บาท ไปจนถึงราคาแพงที่สุดก็ขวดละ 4,200 บาท เห็นเมนูแล้วถึงกับต้องสอบถามน้องพนักงานเลยว่าร้านเล็กๆแค่นี้เอาไวน์จากทั่วโลกที่มีจำนวนมากมายขนาดนี้ไปเก็บตรงไหนก็ได้คำตอบมาว่าด้านหลังครัวตรงที่เป็นกำแพงอิฐส้มเป็นห้องเย็นสำหรับเก็บไวน์โดยเฉพาะนั่นเอง ถ้าหากใครนำไวน์จากด้านนอกมาทานเองที่ร้านเขาคิดค่าเปิดขวดเพิ่ม 1,000 บาทต่อขวดด้วยนะครับ
หน้าต่อไปก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่เอาใจสายอื่นๆนอกจากไวน์บ้างเช่น Cocktails/Beer/Single Malt /Spirits /Whiskies (มีให้เลือกทั้งฝั่งยุโรปและญี่ปุ่น) ถ้าหากใครไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็มี Mocktails /กาแฟร้อน-เย็น/ชา/น้ำอัดลมและน้ำแร่บรรจุขวดราคาเริ่มต้นที่ 35-190 บาท ไปจนถึงขนมหวานสไตล์ยุโรปราคาจานละ 139-189 บาท ราคาที่เห็นในเล่มเมนูนี้ไม่รวม Vat. 7% กับ Service Charge อีก 10% ถือว่าราคาค่อนข้างสูงแต่ลูกค้าให้การยอมรับต่อเนื่องขนาดนี้แปลว่าต้องมีข้อดีที่ทำให้คนจำนวนมากยอมจ่ายเพื่อจะได้ทานอย่างแน่นอนครับ
เมนูจานแรกแฟนผมสั่งมาเพราะอยากลองทานมากนั่นคือหอยนางรมสายพันธุ์พิเศษจากฝรั่งเศส Gillardeau Oyster เราสั่งมา 2 ตัวราคาตัวละ 240 บาท ส่วนตัวเคยทานแค่ Fin De Clare ตัวเล็กแต่รสหวานมีกลิ่นน้ำทะเล ส่วนหอยนางรมชนิดนี้เหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่างหอยนางรมฝรั่งเศสกับหอยนางรมสุราษฎร์ธานีตรงที่เนื้อเยอะแต่ก็ไม่ใหญ่-แน่นนักและได้รสหวานฉ่ำมากกว่า จะทานคู่กับซอสน้ำส้มสายชูผสมหอมแดงสับหรือบีบน้ำเลมอนสดลงไปก่อนทานก็อร่อยสุดๆ ส่วนวิธีการดูว่าหอยนางรมชนิดนี้เป็นสายพันธุ์ Gillardeau จริงหรือไม่ ให้ดูที่เปลือกฝาหอยจะมีลายสลักรูปตัว G แบบนี้ทำโดยเกษตรกรผู้เลี้ยงหอยชนิดนี้แสดงว่าเป็นของแท้ เพราะความอร่อยของมันทำให้มีของเลียนแบบแอบอ้างขายอยู่ตามตลาดเยอะมากๆ ถ้าหากมาทานที่ร้านนี้มั่นใจเลยว่าได้ทานของแท้แน่นอนครับผม
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น