ฉันมาไกลลลลลล มาไกลเหลือเกิน
.
เชื่อว่าคุณแม่หลายคน เข้าใจในเนื้อเพลงท่อนนี้ ว่าไม่ได้หมายถึงการเดินทาง แต่หมายถึงการแปลงร่างจากสาวน้อยวัยขบเผาะ มาเป็นอาจุ่มม่าในช่วงเวลาไม่กี่ปี
.
.
แต่........เวลาทำหน้าที่ของมันได้ดีมาก ดีเกินไป ดีจนอยากร้องไห้ 55555
.
เราก็เป็นคนนึง ที่อยู่ในสถานการณ์นี้ค่ะ อันที่จริง เมื่อก่อนเป็นสาวฮอตพอตัว แม้หน้าตาจะไม่ได้พิมพ์นิยม แต่มีไม้ตายเป็นคารมและความตลก ทำให้ตกผู้มาได้ไม่ยาก แต่หลังจากถอดเขี้ยวเล็บ เข้าพิธีแต่งงาน เราก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัว เพราะถือว่าไม่ต้องใช้รูปทรัพย์ไปหลอกล่อใคร แถมสามีก็ดี๊ ดีย์ จะอ้วน จะบวมยังไง ฮีก็ยังคอยพร่ำบอกว่าเราน่ารักยังงู๊นยังงี๊ ทำให้เรายิ่งได้ใจ
.
จนกระทั่งตั้งท้องลูกคนแรก ระดับการแปลงร่างของเรายิ่งอัพเลเวลไปอีกขั้น การบำรุง(น้ำหนัก)ขั้นสุด บวกกับอาการกลัวสารเคมีจากโลชั่นและครีมทั้งหลาย กลัวว่าจะซึมเข้าไปทำอันตรายกับลูก เราเลยยิ่งไม่แตะผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเลย
.
พอคลอดก็กลายเป็นความเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบนั้น ไปทำงานหน้าสด ทานอาหาร(ที่อ้างว่า) บำรุงน้ำนมเต็มที่ เป็นแบบนั้นอยู่ประมาณ 4 ปี ก็คิดว่าน่าจะสมควรแก่เวลาที่จะหันกลับมาดูแลตัวเอง ก็ลดความอ้วน เริ่มแต่งตัว เริ่มบำรุงผิว แลดูสวยขึ้น สามีก็เลยหวง
.
ฮีเลยเสกเด็กเข้าท้องให้อีก 1 คน 555555555 ก็วนเข้าลูปเดิม เพิ่มเติมคือสภาพผิวหน้าที่ยับเยิน กับน้ำหนักที่พุ่งทะยานไปอีก
.
2 ปีแรก หลังคลอดคนที่สอง เราก็พยายามออกกำลังกายและคุมอาหาร โดยการทานอาหารแบบ Low Carb บวกกับการทำ IF หรือ Intermittent Fasting ทำให้น้ำหนักกลับมาเท่าก่อนแต่งงานได้ (ใช้เวลาลองผิดลองถูกประมาณ 2 ปี)
.
อ้อ เราลืมบอกไปว่าเราออกกำลังกายโดยการวิ่งเทรล คือเหมือนวิ่งเข้าป่า ฝ่าไอแดด เพราะเป็นพวกชอบความท้าทาย ท้าไปท้ามา ทั้งกระ ทั้งฝ้าเต็มหน้า

ถ้าใครนึกไม่ออกว่าวิ่งเทรลยังไง ก็ตามรูปเลยจ้า
.
ใส่แขนยาวขายาวนะ แต่หน้าคือปะทะแดดสุดๆ
เดิมเราเป็นคนมีกระอยู่แล้ว แต่พอหลังจากคลอดลูก รวมกับการเอาหน้าไปสู้แดด กระเลยยิ่งชัดมาก แถมเมื่อช่วงวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เราสังเกตว่าหน้าเริ่มมีฟิล์มฝ้าขึ้นบางๆ
.
ทีนี้เลยเริ่มตื่น ชั้นจะปล่อยให้หน้าชั้นพังไม่ได้ รูปร่างยังปั้นได้ง่าย แต่ผิวหน้าเสียแล้วปั้นคืนยาก คิดได้แบบนี้ก็โผเข้าไปที่โต๊ะเครื่องสำอาง
.
พระเจ้า หมดอายุไปค่อนครึ่ง บางอันคือซื้อมา 4 ปี (ก่อนท้องคนที่ 2) แล้วใช้บ้างไม่ใช้บ้าง มิน่าล่ะ หน้าถึงพังยับขนาดนี้

นี่คือรูปของส่วนหนึ่งที่หมดอายุบนโต๊ะ มีโละไปก่อนหน้านี้บ้างแล้ว บางตัวใช้ดีนะ แต่เราเองนี่แหละที่ไม่มีวินัย
.
.
เสียดายก็เสียดาย บางอันก็มีราคา แต่ต้องจำใจโละทิ้ง แล้วซื้อใหม่ แต่จะซื้อใหม่แบบเซทเดิม ก็ไม่ไหวแล้ว เลยเริ่มคิดว่า มันน่าจะมีพวกสกินแคร์ที่ราคาไม่แรง แต่เห็นผล เลยเริ่มหาข้อมูลพวกรีวิว และใช้ความรู้เกี่ยวกับพวกสารสำคัญที่เราพอมี (เราจบวิทยาศาสตร์ แต่ไปทางสายอาหาร สารเคมีต่างๆมีผ่านตามาบ้าง ก็อาศัยเอาความรู้บวกกับข้อมูลที่หาเพิ่ม ก็ทำให้ช่วยตัดสินใจได้บ้าง)
.
.
ตัวสกินแคร์ที่เราใช้ หาได้ตามท้องตลาดทั่วไป ไม่ต้องถามนะจ๊ะว่าได้มาจากไหน ซื้อเองทั้งหมด มีบางตัวที่ได้มาจากเพื่อน บางตัวก็แอบอ้างเอามาเป็นของตัวเอง ว่าซั่นนนนน
.
อ้อ ลืมบอก เราเป็นคนผิวแห้ง มีกระบนใบหน้าบ้างอยู่แล้ว การใช้สกินแคร์ของเราเลยพุ่งเป้าไปที่ตัวให้ความชุ่มชื้นเพื่อปรับสภาพผิว และตัวที่ให้ประสิทธิภาพเรื่องลดกระและฝ้าก่อน แต่ถ้าบางตัวมีสารปรับผิวให้ขาวใส อันนั้นอยากให้รู้ว่าเป็นประเด็นรองๆที่เราสนใจนะคะ
.

.
.
อันนี้คือหน้าเรา เคยถ่ายไว้ให้เพื่อนดูว่า กระมันเยอะขึ้นมาก และของเราเป็นกระแบบนูนๆอ่ะ ไม่รู้คนอื่นเป็นไหม แถวมีฟิล์มฝ้าจางๆแล้วววววว
.
.
อันดับแรก ด้วยอาชีพเรา เราต้องแต่งหน้า มีการใช้รองพื้น เราเลยคิดเอาเองว่าต้องใช้ตัว เมคอัพรีมูฟเวอร์ ซึ่งเดิมเราใช้อีกยี่ห้อหนึ่ง แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนมาใช้โฟม Rojukiss Hydra Poreless Serum Foam สีฟ้าอันนี้ค่ะ
.
เป็นสูตรสำหรับผิวอ่อนแอ บอบบาง ขาดน้ำ แพ้ง่าย ที่เปลี่ยน ตอนแรกเพราะมันมีกลิ่นหอม แต่พอใช้แล้วสังเกตว่า หน้าไม่ได้สะอาดแบบตึงๆเหมือนเดิม คือ ปกติที่เราใช้โฟม หลังล้างหน้า ผิวหน้าเราเวลาลูบจะดังเอี๊ยดเลย แต่ตัวนี้ ล้างแล้วหน้านุ่ม ไม่ตึง (อันนี้รู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ คือ รู้สึกว้าวเลย) แถมยังรู้สึกว่าสิวน้อยลงด้วย เรียกได้ว่าเป็นการค้นพบโดยบังเอิญนะคะ เราจำราคาไม่ได้ น่าจะร้อยนิดๆ เราซื้อตามร้านทั่วไปเลยค่ะ
.
.
ส่วน สกินแคร์บำรุงผิวหน้า เราจะแยกออกระหว่างตัวที่ใช้กลางคืน กับกลางวันนะคะ กลางคืนเราจะเน้นฟื้นฟู บำรุง ลดเลือน ส่วนกลางวัน เราจะเน้นป้องกัน (ที่อ่านมาเค้าแนะนำว่าแบบนี้)
.
.
ว่าด้วยเรื่อง “ครีม” ช่วงกลางคืน ตอนแรกเราใช้ Return หลอดสีชมพูตัวเดียว ตัวนี้ใช้มาก่อนหน้าแล้ว แต่ใช้ไม่ต่อเนื่อง แค่รู้ว่าไม่แพ้ เลยใช้มาเรื่อยๆ พอใช้ต่อเนื่องผิวจะฟูๆเด้งๆ บอกไม่ถูก ตอนเช้าคือหน้าฉ่ำเลยอ่ะ ตัวนี้ลองหาดูรีวิวในกระทู้อื่นดูนะคะ เราก็อาศัยอ่านๆเอาจากในนี้ด้วย เริ่มจากหลอดเล็กๆ พอหมดเราเลยจัดหลอดใหญ่
.

.
.
ส่วนอีกตัวตือ นิสิต วิบวับ เซรั่ม (น่าจะอ่านว่าแบบนี้แหละ) ตัวนี้เรามาเจอทีหลัง เรื่องของเรื่องคือเราไปค้างบ้านเพื่อนแล้วลืมเอา Return ไปเพื่อนก็หยิบเซรั่มตัวนี้ให้หลังจากที่เราล้างหน้าเสร็จ ตอนแรกเราไม่ใช้เพราะกลัวแพ้ แต่พออ่านส่วนประกอบ ดูไม่มีตัวกระตุ้นให้แพ้ (ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีน้ำหอม ไม่ใส่สี ไม่มีสารประกอบจำพวกน้ำมันหรือออยล์ และไม่มีพาราเบนด้วย) แถมกลัวเพื่อนเสียน้ำใจ เลยทาบางๆแล้วมาลุ้นเอาตอนเช้า สรุปไม่มีผดขึ้น โอเค คุณได้ไปต่อ
.
.

.
ตอนเช้าเราเลยทาอีกรอบก่อนกลับ แล้วเผลอหยิบติดมือมา (เผลอแหละ เผลอจริงๆ) หลังๆมาเราเลยใช้เช้า-เย็น ทาก่อนลงครีม Return ระหว่างนี้เพื่อนก็ทวงจนขี้เกียจทวง เราก็ทาเหมือนเป็นของตัวเองประมาณอาทิตย์กว่าๆ แฟนก็ทักว่าหน้าขาวขึ้น เราเลยเพิ่งสังเกตว่า ความจริงหน้าเราไม่ได้ขาวขึ้น แต่รอยกระและฟิล์มฝ้ามันจางลง จนทำให้เหมือนหน้าเราใสขึ้นอ่ะ งานดี ไม่เสียทีที่ยึดมาเป็นของตัวเอง เพื่อนซื้อจากไหนเราไม่รู้นะ รู้แต่ว่าหมดขวดนี้อาจต้องไปหามาตำเพิ่ม แต่ ตัวนี้จะแปลกหน่อย คือมันมีหัวดูดเซรั่มขึ้นมา ไม่ต้องเท หรือบีบเหมือนอันอื่น ใช้ครั้งแรกเราไม่ค่อยชิน แต่นานไปก็โอเค
.
ภาคกลางวัน
.
.
ตอนเช้าเราก็ล้างหน้าแล้วลงตัว นิสิต วิบวับ เซรั่มก่อน แป๊บเดียวก็ซึมแว้บไป ล้วก็ลง OLAY All Day Hydration ต่อ ตัวนี้สารภาพว่าเราใช้มาตั้งแต่มันเปิดตัวใหม่ๆ (น่าจะเป็นสิบปีละมั้ง) ใช้มาเรื่อยๆ เพราะเราไม่แพ้ กลิ่นหอมหน่อยๆ ครีมบางเบาซึมง่าย ไม่หนักหน้า
.

OLAY ตัวนี้เน้นความชุ่มชื้นนะ เพราะไม่มีส่วนประกอบของสารกันแดด หรือสารปรับผิวสว่างใสใดๆ เอาจริงๆนางควรไปเป็นไนท์ครีม แต่ด้วยความที่นางเป็นครีมเนื้อเบา เราเลยอนุญาตให้มาอยู่กลางวันได้ เพราะกลางวันบวกพวกรองพื้น เครื่องสำอาง หน้าก็จะหนาๆนิดนึง
.
.
ต่อมา สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับช่วงกลางวันคือกันแดด เราใช้กันแดดเนื้อน้ำนมของ Biore UV Face milk ขวดสีขาว
.
.

ตัวนี้กันแดดดี เนื้อเบา เป็นเบสปรับสีผิวได้ไปในตัว กันน้ำด้วยนะ ขอบอก ..... แต่เนื้อเหลวเป็นน้ำ ระวังตอนเท เราทำเลอะเทอะบ่อยมากเพราะเป็นคนมือหนัก Biore มีหลายสูตร แต่เราชอบสูตรนี้สุด ทาแล้วหน้าจะลื่นๆ ไม่มัน ความจริงออกวาวๆมุกๆนิดนึงด้วยซ้ำ
.
.
จากนั้นก็จะเป็นเรื่องการแต่งหน้าปกปิดความชั่วร้าย ก่อนแต่งเราลงไพรม์เมอร์ ของ อ.ปิงปองตัวนี้
(ได้มาหลอดแรกเพราะลงเรียนแต่งหน้ากับอาจารย์ ตั้งแต่ช่วง 1 ปีก่อนโควิดระบาด ใช้ดีเลยซื้อใช้เรื่อยๆ) ตัวนี้ปรับสีผิวได้ดีมาก สีเหมาะกับคนเอเชีย พวกรอยฝ้ารอยสิวที่ไม่หนักหนาเกินไปเอาอยู่
.
.
พอช่วงเย็นก็กลับเข้าวงจรเดิม คือล้างหน้าด้วย Rejukiss บำรุงด้วยนิสิตเซรั่ม และปิดด้วย Return ครีม
และนี่คือผลงานหลังผ่านไป ประมาณ 2 สัปดาห์ ทาแดมมมมมมมมมม

อันนี้คือถ่ายหลังจากอาบน้ำ ล้างหน้า ใช้เวลาหลังจากเริ่มดูแลตัวเองประมาณ 2 อาทิตย์ค่ะ
.
.
เราหน้าแห้งเลยไม่ค่อยมีรอยสิว แต่กระกับฝ้า ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะฟิล์มฝ้า แต่งหน้าเบาๆก็กลบได้แล้ว ไม่ต้องถึงกับโบก เพราะมันจางลง แถมผิวหน้ายังเด้งๆเหมือนอิ่มน้ำ แต่งหน้าติดทนกว่าเดิม (ปกติใกล้เที่ยงจะเยิ้มๆละ แต่พอเริ่มดูแลตัวเอง สี่โมงหน้ายังเป๊ะ)
.
.
สรุป เราว่าเรามาถูกทางแล้ว เพราะผลิตภัณฑ์แต่ละตัวเหมาะกับสภาพผิวหน้าเรา ทั้งเป้าหมายเรื่องการบำรุง ก็ทำได้ดี เป้าหมายเรื่องป้องกันและลดเลือน ก็ทำได้ดี หลายคนทักว่าเราหน้าใสขึ้น (ทักตอนหน้าสด) ซึ่งอย่างที่บอกว่าน่าจะเพราะกระ ฝ้า เริ่มหายไป
เพื่อนเราบอกว่า ที่ฝ้ากับกระจาง พระเอกน่าจะเป็นนิสิตครีมกับตัวกันแดดของ Biore
.
นิสิตครีมเพื่อนก็ใช้แล้วได้ผลเหมือนกัน (ในส่วนประกอบมีเกลือหิมาลายัน ซึ่งเค้าเคลมว่าช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายด้วย เลยทำให้หน้าขาวใสขึ้น) เราก็คิดว่าน่าจะใช่เพราะบรรดาทั้งหมดที่เราใช้ ไม่มีตัวไหนที่มีสรรพคุณเรื่องลดกระลดฝ้า
.
ส่วนกันแดดของ Biore ก็เข้าข่ายช่วยด้วยเหมือนกัน แต่เอาจริงๆ Biore คุณสมบัติคือป้องกันสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า นั่นก็คือแสงแดด พอทั้งบำรุง ลดรอย ปกป้องไปพร้อมๆกัน ผลเลยอาจเห็นชัดขึ้น
ผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ราคาชิ้นละไม่เกิน 350 บาท หาซื้อได้ตามร้านคอสเมติกส์ทั่วไป บางอันเราสั่งจากแอพออนไลน์ (ยกเว้นนิสิตครีมที่เราไม่รู้ราคา เพราะตกมาจากเพื่อน)
.
.
สำหรับเรา ถ้าให้แนะนำ อยากให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวเรา และเลือกตัวที่มีสารตกค้างน้อยที่สุด เพราะถ้าเกิดอาการแพ้ หน้าก็จะพังไปพักใหญ่ๆ กว่าจะแก้ให้กลับคืนมาได้อาจหมดความมั่นใจไปก่อน เอาจริงๆมันต้องลอง แต่เวลาลองก็อย่าเล่นใหญ่โบกไปก่อน ให้เทสทีละหน่อย ยิ่งอายุเยอะ กว่าจะกู้คืนมาได้ หืดแทบขึ้นคอ ของเราจางลงบ้าง ทำให้แต่งหน้าง่ายขึ้น ไม่ต้องโบกรองพื้นหนาเหมือนเดิม
.
.
ในกระทู้หน้าเราจะมาเขียนเรื่องการทานแบบ Low carb และการทำ IF นะคะ ว่าลองผิดลองถูกมาขนาดไหน เอาเป็นว่า เจ็บมาเยอะละกันค่ะ
.
.
ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ ตอนนี้ขอยาดไปทำตัวสวยให้แฟนหวงต่อละค่า
[CR] How to กู้หน้าขุ่นแม่ภายใน 2 อาทิตย์
.
เชื่อว่าคุณแม่หลายคน เข้าใจในเนื้อเพลงท่อนนี้ ว่าไม่ได้หมายถึงการเดินทาง แต่หมายถึงการแปลงร่างจากสาวน้อยวัยขบเผาะ มาเป็นอาจุ่มม่าในช่วงเวลาไม่กี่ปี
.
.
แต่........เวลาทำหน้าที่ของมันได้ดีมาก ดีเกินไป ดีจนอยากร้องไห้ 55555
.
เราก็เป็นคนนึง ที่อยู่ในสถานการณ์นี้ค่ะ อันที่จริง เมื่อก่อนเป็นสาวฮอตพอตัว แม้หน้าตาจะไม่ได้พิมพ์นิยม แต่มีไม้ตายเป็นคารมและความตลก ทำให้ตกผู้มาได้ไม่ยาก แต่หลังจากถอดเขี้ยวเล็บ เข้าพิธีแต่งงาน เราก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัว เพราะถือว่าไม่ต้องใช้รูปทรัพย์ไปหลอกล่อใคร แถมสามีก็ดี๊ ดีย์ จะอ้วน จะบวมยังไง ฮีก็ยังคอยพร่ำบอกว่าเราน่ารักยังงู๊นยังงี๊ ทำให้เรายิ่งได้ใจ
.
จนกระทั่งตั้งท้องลูกคนแรก ระดับการแปลงร่างของเรายิ่งอัพเลเวลไปอีกขั้น การบำรุง(น้ำหนัก)ขั้นสุด บวกกับอาการกลัวสารเคมีจากโลชั่นและครีมทั้งหลาย กลัวว่าจะซึมเข้าไปทำอันตรายกับลูก เราเลยยิ่งไม่แตะผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเลย
.
พอคลอดก็กลายเป็นความเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบนั้น ไปทำงานหน้าสด ทานอาหาร(ที่อ้างว่า) บำรุงน้ำนมเต็มที่ เป็นแบบนั้นอยู่ประมาณ 4 ปี ก็คิดว่าน่าจะสมควรแก่เวลาที่จะหันกลับมาดูแลตัวเอง ก็ลดความอ้วน เริ่มแต่งตัว เริ่มบำรุงผิว แลดูสวยขึ้น สามีก็เลยหวง
.
ฮีเลยเสกเด็กเข้าท้องให้อีก 1 คน 555555555 ก็วนเข้าลูปเดิม เพิ่มเติมคือสภาพผิวหน้าที่ยับเยิน กับน้ำหนักที่พุ่งทะยานไปอีก
.
2 ปีแรก หลังคลอดคนที่สอง เราก็พยายามออกกำลังกายและคุมอาหาร โดยการทานอาหารแบบ Low Carb บวกกับการทำ IF หรือ Intermittent Fasting ทำให้น้ำหนักกลับมาเท่าก่อนแต่งงานได้ (ใช้เวลาลองผิดลองถูกประมาณ 2 ปี)
.
อ้อ เราลืมบอกไปว่าเราออกกำลังกายโดยการวิ่งเทรล คือเหมือนวิ่งเข้าป่า ฝ่าไอแดด เพราะเป็นพวกชอบความท้าทาย ท้าไปท้ามา ทั้งกระ ทั้งฝ้าเต็มหน้า
ถ้าใครนึกไม่ออกว่าวิ่งเทรลยังไง ก็ตามรูปเลยจ้า
.
ใส่แขนยาวขายาวนะ แต่หน้าคือปะทะแดดสุดๆ
เดิมเราเป็นคนมีกระอยู่แล้ว แต่พอหลังจากคลอดลูก รวมกับการเอาหน้าไปสู้แดด กระเลยยิ่งชัดมาก แถมเมื่อช่วงวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เราสังเกตว่าหน้าเริ่มมีฟิล์มฝ้าขึ้นบางๆ
.
ทีนี้เลยเริ่มตื่น ชั้นจะปล่อยให้หน้าชั้นพังไม่ได้ รูปร่างยังปั้นได้ง่าย แต่ผิวหน้าเสียแล้วปั้นคืนยาก คิดได้แบบนี้ก็โผเข้าไปที่โต๊ะเครื่องสำอาง
.
พระเจ้า หมดอายุไปค่อนครึ่ง บางอันคือซื้อมา 4 ปี (ก่อนท้องคนที่ 2) แล้วใช้บ้างไม่ใช้บ้าง มิน่าล่ะ หน้าถึงพังยับขนาดนี้
นี่คือรูปของส่วนหนึ่งที่หมดอายุบนโต๊ะ มีโละไปก่อนหน้านี้บ้างแล้ว บางตัวใช้ดีนะ แต่เราเองนี่แหละที่ไม่มีวินัย
.
.
เสียดายก็เสียดาย บางอันก็มีราคา แต่ต้องจำใจโละทิ้ง แล้วซื้อใหม่ แต่จะซื้อใหม่แบบเซทเดิม ก็ไม่ไหวแล้ว เลยเริ่มคิดว่า มันน่าจะมีพวกสกินแคร์ที่ราคาไม่แรง แต่เห็นผล เลยเริ่มหาข้อมูลพวกรีวิว และใช้ความรู้เกี่ยวกับพวกสารสำคัญที่เราพอมี (เราจบวิทยาศาสตร์ แต่ไปทางสายอาหาร สารเคมีต่างๆมีผ่านตามาบ้าง ก็อาศัยเอาความรู้บวกกับข้อมูลที่หาเพิ่ม ก็ทำให้ช่วยตัดสินใจได้บ้าง)
.
.
ตัวสกินแคร์ที่เราใช้ หาได้ตามท้องตลาดทั่วไป ไม่ต้องถามนะจ๊ะว่าได้มาจากไหน ซื้อเองทั้งหมด มีบางตัวที่ได้มาจากเพื่อน บางตัวก็แอบอ้างเอามาเป็นของตัวเอง ว่าซั่นนนนน
.
อ้อ ลืมบอก เราเป็นคนผิวแห้ง มีกระบนใบหน้าบ้างอยู่แล้ว การใช้สกินแคร์ของเราเลยพุ่งเป้าไปที่ตัวให้ความชุ่มชื้นเพื่อปรับสภาพผิว และตัวที่ให้ประสิทธิภาพเรื่องลดกระและฝ้าก่อน แต่ถ้าบางตัวมีสารปรับผิวให้ขาวใส อันนั้นอยากให้รู้ว่าเป็นประเด็นรองๆที่เราสนใจนะคะ
.
.
.
อันนี้คือหน้าเรา เคยถ่ายไว้ให้เพื่อนดูว่า กระมันเยอะขึ้นมาก และของเราเป็นกระแบบนูนๆอ่ะ ไม่รู้คนอื่นเป็นไหม แถวมีฟิล์มฝ้าจางๆแล้วววววว
.
.
อันดับแรก ด้วยอาชีพเรา เราต้องแต่งหน้า มีการใช้รองพื้น เราเลยคิดเอาเองว่าต้องใช้ตัว เมคอัพรีมูฟเวอร์ ซึ่งเดิมเราใช้อีกยี่ห้อหนึ่ง แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนมาใช้โฟม Rojukiss Hydra Poreless Serum Foam สีฟ้าอันนี้ค่ะ
.
เป็นสูตรสำหรับผิวอ่อนแอ บอบบาง ขาดน้ำ แพ้ง่าย ที่เปลี่ยน ตอนแรกเพราะมันมีกลิ่นหอม แต่พอใช้แล้วสังเกตว่า หน้าไม่ได้สะอาดแบบตึงๆเหมือนเดิม คือ ปกติที่เราใช้โฟม หลังล้างหน้า ผิวหน้าเราเวลาลูบจะดังเอี๊ยดเลย แต่ตัวนี้ ล้างแล้วหน้านุ่ม ไม่ตึง (อันนี้รู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ คือ รู้สึกว้าวเลย) แถมยังรู้สึกว่าสิวน้อยลงด้วย เรียกได้ว่าเป็นการค้นพบโดยบังเอิญนะคะ เราจำราคาไม่ได้ น่าจะร้อยนิดๆ เราซื้อตามร้านทั่วไปเลยค่ะ
.
.
ส่วน สกินแคร์บำรุงผิวหน้า เราจะแยกออกระหว่างตัวที่ใช้กลางคืน กับกลางวันนะคะ กลางคืนเราจะเน้นฟื้นฟู บำรุง ลดเลือน ส่วนกลางวัน เราจะเน้นป้องกัน (ที่อ่านมาเค้าแนะนำว่าแบบนี้)
.
.
ว่าด้วยเรื่อง “ครีม” ช่วงกลางคืน ตอนแรกเราใช้ Return หลอดสีชมพูตัวเดียว ตัวนี้ใช้มาก่อนหน้าแล้ว แต่ใช้ไม่ต่อเนื่อง แค่รู้ว่าไม่แพ้ เลยใช้มาเรื่อยๆ พอใช้ต่อเนื่องผิวจะฟูๆเด้งๆ บอกไม่ถูก ตอนเช้าคือหน้าฉ่ำเลยอ่ะ ตัวนี้ลองหาดูรีวิวในกระทู้อื่นดูนะคะ เราก็อาศัยอ่านๆเอาจากในนี้ด้วย เริ่มจากหลอดเล็กๆ พอหมดเราเลยจัดหลอดใหญ่
.
.
.
ส่วนอีกตัวตือ นิสิต วิบวับ เซรั่ม (น่าจะอ่านว่าแบบนี้แหละ) ตัวนี้เรามาเจอทีหลัง เรื่องของเรื่องคือเราไปค้างบ้านเพื่อนแล้วลืมเอา Return ไปเพื่อนก็หยิบเซรั่มตัวนี้ให้หลังจากที่เราล้างหน้าเสร็จ ตอนแรกเราไม่ใช้เพราะกลัวแพ้ แต่พออ่านส่วนประกอบ ดูไม่มีตัวกระตุ้นให้แพ้ (ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีน้ำหอม ไม่ใส่สี ไม่มีสารประกอบจำพวกน้ำมันหรือออยล์ และไม่มีพาราเบนด้วย) แถมกลัวเพื่อนเสียน้ำใจ เลยทาบางๆแล้วมาลุ้นเอาตอนเช้า สรุปไม่มีผดขึ้น โอเค คุณได้ไปต่อ
.
.
.
ตอนเช้าเราเลยทาอีกรอบก่อนกลับ แล้วเผลอหยิบติดมือมา (เผลอแหละ เผลอจริงๆ) หลังๆมาเราเลยใช้เช้า-เย็น ทาก่อนลงครีม Return ระหว่างนี้เพื่อนก็ทวงจนขี้เกียจทวง เราก็ทาเหมือนเป็นของตัวเองประมาณอาทิตย์กว่าๆ แฟนก็ทักว่าหน้าขาวขึ้น เราเลยเพิ่งสังเกตว่า ความจริงหน้าเราไม่ได้ขาวขึ้น แต่รอยกระและฟิล์มฝ้ามันจางลง จนทำให้เหมือนหน้าเราใสขึ้นอ่ะ งานดี ไม่เสียทีที่ยึดมาเป็นของตัวเอง เพื่อนซื้อจากไหนเราไม่รู้นะ รู้แต่ว่าหมดขวดนี้อาจต้องไปหามาตำเพิ่ม แต่ ตัวนี้จะแปลกหน่อย คือมันมีหัวดูดเซรั่มขึ้นมา ไม่ต้องเท หรือบีบเหมือนอันอื่น ใช้ครั้งแรกเราไม่ค่อยชิน แต่นานไปก็โอเค
.
ภาคกลางวัน
.
.
ตอนเช้าเราก็ล้างหน้าแล้วลงตัว นิสิต วิบวับ เซรั่มก่อน แป๊บเดียวก็ซึมแว้บไป ล้วก็ลง OLAY All Day Hydration ต่อ ตัวนี้สารภาพว่าเราใช้มาตั้งแต่มันเปิดตัวใหม่ๆ (น่าจะเป็นสิบปีละมั้ง) ใช้มาเรื่อยๆ เพราะเราไม่แพ้ กลิ่นหอมหน่อยๆ ครีมบางเบาซึมง่าย ไม่หนักหน้า
.
OLAY ตัวนี้เน้นความชุ่มชื้นนะ เพราะไม่มีส่วนประกอบของสารกันแดด หรือสารปรับผิวสว่างใสใดๆ เอาจริงๆนางควรไปเป็นไนท์ครีม แต่ด้วยความที่นางเป็นครีมเนื้อเบา เราเลยอนุญาตให้มาอยู่กลางวันได้ เพราะกลางวันบวกพวกรองพื้น เครื่องสำอาง หน้าก็จะหนาๆนิดนึง
.
.
ต่อมา สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับช่วงกลางวันคือกันแดด เราใช้กันแดดเนื้อน้ำนมของ Biore UV Face milk ขวดสีขาว
.
.
ตัวนี้กันแดดดี เนื้อเบา เป็นเบสปรับสีผิวได้ไปในตัว กันน้ำด้วยนะ ขอบอก ..... แต่เนื้อเหลวเป็นน้ำ ระวังตอนเท เราทำเลอะเทอะบ่อยมากเพราะเป็นคนมือหนัก Biore มีหลายสูตร แต่เราชอบสูตรนี้สุด ทาแล้วหน้าจะลื่นๆ ไม่มัน ความจริงออกวาวๆมุกๆนิดนึงด้วยซ้ำ
.
.
จากนั้นก็จะเป็นเรื่องการแต่งหน้าปกปิดความชั่วร้าย ก่อนแต่งเราลงไพรม์เมอร์ ของ อ.ปิงปองตัวนี้
(ได้มาหลอดแรกเพราะลงเรียนแต่งหน้ากับอาจารย์ ตั้งแต่ช่วง 1 ปีก่อนโควิดระบาด ใช้ดีเลยซื้อใช้เรื่อยๆ) ตัวนี้ปรับสีผิวได้ดีมาก สีเหมาะกับคนเอเชีย พวกรอยฝ้ารอยสิวที่ไม่หนักหนาเกินไปเอาอยู่
.
.
พอช่วงเย็นก็กลับเข้าวงจรเดิม คือล้างหน้าด้วย Rejukiss บำรุงด้วยนิสิตเซรั่ม และปิดด้วย Return ครีม
และนี่คือผลงานหลังผ่านไป ประมาณ 2 สัปดาห์ ทาแดมมมมมมมมมม
อันนี้คือถ่ายหลังจากอาบน้ำ ล้างหน้า ใช้เวลาหลังจากเริ่มดูแลตัวเองประมาณ 2 อาทิตย์ค่ะ
.
.
เราหน้าแห้งเลยไม่ค่อยมีรอยสิว แต่กระกับฝ้า ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะฟิล์มฝ้า แต่งหน้าเบาๆก็กลบได้แล้ว ไม่ต้องถึงกับโบก เพราะมันจางลง แถมผิวหน้ายังเด้งๆเหมือนอิ่มน้ำ แต่งหน้าติดทนกว่าเดิม (ปกติใกล้เที่ยงจะเยิ้มๆละ แต่พอเริ่มดูแลตัวเอง สี่โมงหน้ายังเป๊ะ)
.
.
สรุป เราว่าเรามาถูกทางแล้ว เพราะผลิตภัณฑ์แต่ละตัวเหมาะกับสภาพผิวหน้าเรา ทั้งเป้าหมายเรื่องการบำรุง ก็ทำได้ดี เป้าหมายเรื่องป้องกันและลดเลือน ก็ทำได้ดี หลายคนทักว่าเราหน้าใสขึ้น (ทักตอนหน้าสด) ซึ่งอย่างที่บอกว่าน่าจะเพราะกระ ฝ้า เริ่มหายไป
เพื่อนเราบอกว่า ที่ฝ้ากับกระจาง พระเอกน่าจะเป็นนิสิตครีมกับตัวกันแดดของ Biore
.
นิสิตครีมเพื่อนก็ใช้แล้วได้ผลเหมือนกัน (ในส่วนประกอบมีเกลือหิมาลายัน ซึ่งเค้าเคลมว่าช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายด้วย เลยทำให้หน้าขาวใสขึ้น) เราก็คิดว่าน่าจะใช่เพราะบรรดาทั้งหมดที่เราใช้ ไม่มีตัวไหนที่มีสรรพคุณเรื่องลดกระลดฝ้า
.
ส่วนกันแดดของ Biore ก็เข้าข่ายช่วยด้วยเหมือนกัน แต่เอาจริงๆ Biore คุณสมบัติคือป้องกันสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า นั่นก็คือแสงแดด พอทั้งบำรุง ลดรอย ปกป้องไปพร้อมๆกัน ผลเลยอาจเห็นชัดขึ้น
ผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ราคาชิ้นละไม่เกิน 350 บาท หาซื้อได้ตามร้านคอสเมติกส์ทั่วไป บางอันเราสั่งจากแอพออนไลน์ (ยกเว้นนิสิตครีมที่เราไม่รู้ราคา เพราะตกมาจากเพื่อน)
.
.
สำหรับเรา ถ้าให้แนะนำ อยากให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวเรา และเลือกตัวที่มีสารตกค้างน้อยที่สุด เพราะถ้าเกิดอาการแพ้ หน้าก็จะพังไปพักใหญ่ๆ กว่าจะแก้ให้กลับคืนมาได้อาจหมดความมั่นใจไปก่อน เอาจริงๆมันต้องลอง แต่เวลาลองก็อย่าเล่นใหญ่โบกไปก่อน ให้เทสทีละหน่อย ยิ่งอายุเยอะ กว่าจะกู้คืนมาได้ หืดแทบขึ้นคอ ของเราจางลงบ้าง ทำให้แต่งหน้าง่ายขึ้น ไม่ต้องโบกรองพื้นหนาเหมือนเดิม
.
.
ในกระทู้หน้าเราจะมาเขียนเรื่องการทานแบบ Low carb และการทำ IF นะคะ ว่าลองผิดลองถูกมาขนาดไหน เอาเป็นว่า เจ็บมาเยอะละกันค่ะ
.
.
ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ ตอนนี้ขอยาดไปทำตัวสวยให้แฟนหวงต่อละค่า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้