ในสมัยก่อนใครจะไปรู้ว่า มีอวกาศอันกว้างใหญ่ อยู่นอกโลกของเรา เมื่อมนุษย์มีการเรียนรู้มากขึ้นก็คิดค้นวิธีไปสำรวจอวกาศได้ และในปัจจุบันยังไม่มีใครที่สามารถสำรวจอวกาศได้ทั่วทุกมุมจักรวาล แต่ถ้าในอนาคตเรามีการพัฒนาทางด้านความคิดและสมองมากขึ้น จะเกิดอะไรขึ้น
การพิสูจน์โลกหลังความตายที่ถูกต้องตามแนวคิดพระพุทธเจ้า
การค้นพบทฤษฎีจิต
เกริ่นก่อนนะครับ ผมเป็นคนนึงที่ต้องการหาคำตอบเกี่ยวกับโลกหลังความตาย นรกหรือสวรรค์ มีจริงหรือไม่ และการตั้งสมมติฐานนี้ก็ได้พิสูจน์ความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว พระพุทธเจ้านี่แหละ เป็น คนแรกที่เดินทางไปทั่วจักรวาลมาแล้ว ด้วยความเร็วของจิต(ความเร็วของดวงจิตไวกว่าความเร็วแสงมากจนวัดไม่ได้) การนั่งสมาธิเป็นการฝึกพลังในการควบคุมจิต จนถึงจุดๆหนึ่งแล้ว เราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนก็ได้ด้วยจิตของเราเองในจักรวาลนี้ หากทฤษฎีนี้ได้ผลจริงแล้วล่ะก็
นรกและสวรรค์มีจริงหรือไม่
เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง ดวงจิตจะออกจากร่างของเรา ล่องลอยไปไหนมาไหนก็ได้ด้วยความเร็วของจิต นรกที่เราพูดถึงกัน มักจะนึกถึง สถานที่อันกว้างใหญ่ ที่มีแต่ความร้อนระอุ มีแต่ความทรมาน ในแง่วิทยาศาสตร์ นรกก็คือ การที่ดวงจิตของเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมหาศาลผ่านดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ในจักรวาล ภาพที่เราเห็นในดวงจิตอาจจะเป็นเหมือนเราอยู่ในสถานที่ที่ร้อนระอุ กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ก็ได้ (อ้างอิงข้อมูลดาวฤกษ์ VY Canis Majoris ซึ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ประมาณ 2,100 เท่า) ก็อาจเป็นนรกที่เราพูดถึงกันตามความเข้าใจของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าได้ไปพบเจอมาแล้วก็ได้ พยายมราชหรือยมทูต ต้นงิ้ว กระทะทองแดง อาจจะไม่มีจริง แต่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าอยากให้ชาวโลกเห็นถึงกฎแห่งกรรม จึงได้ตรัสสอนไปว่า หากทำชั่วก็จะได้รับความทุกข์ทรมาน ดั่งอยู่ในขุมนรกก็เป็นได้ ในแง่มุมของสวรรค์ก็เช่นกัน การที่จิตเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่อาจวัดได้ ไปที่ใดที่หนึ่งในจักรวาล ก็อาจจะมีที่ๆสวยงามดั่งอยู่ในสรวงสวรรค์ก็เป็นได้ ยกตัวอย่างเช่น ดาวที่เป็นเพชรทั้งดาว ก็เป็นภาพที่สวยงามดั่งอยู่ในสรวงสวรรค์ อ้างอิงจากการค้นพบดาวที่มีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบเป็นส่วนใหญ่ที่อยู่ไกลมากในจักรวาล(อ้างอิงจากhttp://www.neutron.rmutphysics.com/science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=2063)อยู่ห่างจากโลก 4 พันปีแสง ซึ่งในตอนนี้ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ของเรายังไปไม่ถึงข้อมูลของดาวจำพวกนี้ แต่ดวงจิตของพระพุทธเจ้าสามารถไปสำรวจมาหมดแล้วทั่วทั้งจักรวาล และได้นำมาตรัสสอนชาวโลกว่า หากทำความดีจะได้ไปอยู่บนสวรรค์ ก็คือไปพบเจอในสิ่งที่สวยงานในจักรวาล
โลกหลังความตายคืออะไร
วิญญาณก็คือก้อนจิตที่หลุดออกจากร่างกายเมื่อตายลง มีลักษณะคล้ายคลื่นไฟฟ้าชนิดหนึ่ง สามารถสื่อสารกับมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ แต่คลื่นต้องตรงกันด้วยนะ ถึงจะรับรู้ได้ นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไมบางคนมองเห็นวิญญาณหรือผีได้ บางคนทำไมถึงมองไม่เห็น เพราะคลื่นในการรับรู้ของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน การเชื่อมการติดต่อระหว่างวิญญาณกับคนคือการที่ก้อนจิตใส่คลื่นเข้าสู่สมองของคน ทำให้มองเห็นภาพลวงตา หรือ สัมผัสลองตา ได้ จึงมีอาการป่วยที่จิตของเราคิดไปเองเกินขึ้นให้เห็นบ่อยๆ เช่นคิดว่าตัวเองเป็นปอบหรือถูกผีเข้า หากเรามีสติสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย บางทีอาการพวกนี้อาจหายเองได้ เมื่อมีสิ่งที่เรียกว่า หมอผีมาทำพิธีให้ ซึ่งเราคิดไปเองว่ามันได้ผลแล้วก็หายดีขึ้นมาเอง หากพิจารณาถึงหลักความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว มันก็เกิดจากโรคที่เรียกว่า ป่วยเองหายเองนั่นล่ะ
วงจรการเวียนว่ายตายเกิด แท้จริงแล้วก็คือ
การกลับมาเกิดใหม่ ก็คือดวงจิตที่พ้นจากการหลงทางหรือทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า การชดใช้กรรมหมดสิ้นแล้ว ตามหลักวิทยาศาสตร์เรียกว่า การไม่หลงทางของจิต จิตจะกลับเข้าร่างเนื้อของสิ่งมีชีวิต หรือกรณีกลับเข้าร่างเดิมแล้วพื้นขึ้นมา อันนี้ก็อธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์การตายแล้วฟื้น เกิดจากจิตที่ไม่หลงทางสามารถกลับเข้าร่างเดิมได้ ในส่วนของการเวียนว่ายตายเกิดตามปกติของสิ่งมีชีวิต จิตจะเข้าสิงสู่ร่างของสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะกำเนิดขึ้นมา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรม ว่าเราจะสามารถกลับมาเกิดเป็นอะไร อาจจะเกิดเป็น คน ลิง หมา มด หรือแบตทีเรีย อะไรก็ได้ที่เป็นสิ่งมีชีวิต ตามกฎแห่งกรรม
บทสรุป
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ข้อสงสัยเกี่ยวกับโลกหลังความตาย นรก หรือสวรรค์ หรือการกลับมาเกิดใหม่ ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวข้องกับหลักวิทยาศาสตร์ของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ทำให้เกิดการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ และผมก็ยังเชื่อว่า พระพุทธเจ้านี่ล่ะคือบุคคลทุกเดินทางไปทั่วจักรวาลมาแล้วจริงๆ คำสอนตามไตรภูมิพระร่วง จักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุ เป็นศูนย์กลางของจักรวาล หรือชมพูทวีปหรือทวีปต่างๆก็อาจจะมีจริง โดยทวีปต่างๆในไตรภูมิพระร่วงก็อาจเป็นดาวดวงอื่นๆที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่พระพุทธเจ้าไปพบเห็นมาแล้วก็เป็นไปได้ เพราะจักรวาลนั้นกว้างใหญ่มาก แต่มีผู้ที่สำรวจจนครบมาแล้วเป็นผู้ที่หาคำตอบมาให้พวกเรา
การพิสูจน์โลกหลังความตาย ฉบับวิทยาศาสตร์
การพิสูจน์โลกหลังความตายที่ถูกต้องตามแนวคิดพระพุทธเจ้า
การค้นพบทฤษฎีจิต
เกริ่นก่อนนะครับ ผมเป็นคนนึงที่ต้องการหาคำตอบเกี่ยวกับโลกหลังความตาย นรกหรือสวรรค์ มีจริงหรือไม่ และการตั้งสมมติฐานนี้ก็ได้พิสูจน์ความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว พระพุทธเจ้านี่แหละ เป็น คนแรกที่เดินทางไปทั่วจักรวาลมาแล้ว ด้วยความเร็วของจิต(ความเร็วของดวงจิตไวกว่าความเร็วแสงมากจนวัดไม่ได้) การนั่งสมาธิเป็นการฝึกพลังในการควบคุมจิต จนถึงจุดๆหนึ่งแล้ว เราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนก็ได้ด้วยจิตของเราเองในจักรวาลนี้ หากทฤษฎีนี้ได้ผลจริงแล้วล่ะก็
นรกและสวรรค์มีจริงหรือไม่
เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง ดวงจิตจะออกจากร่างของเรา ล่องลอยไปไหนมาไหนก็ได้ด้วยความเร็วของจิต นรกที่เราพูดถึงกัน มักจะนึกถึง สถานที่อันกว้างใหญ่ ที่มีแต่ความร้อนระอุ มีแต่ความทรมาน ในแง่วิทยาศาสตร์ นรกก็คือ การที่ดวงจิตของเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมหาศาลผ่านดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ในจักรวาล ภาพที่เราเห็นในดวงจิตอาจจะเป็นเหมือนเราอยู่ในสถานที่ที่ร้อนระอุ กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ก็ได้ (อ้างอิงข้อมูลดาวฤกษ์ VY Canis Majoris ซึ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ประมาณ 2,100 เท่า) ก็อาจเป็นนรกที่เราพูดถึงกันตามความเข้าใจของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าได้ไปพบเจอมาแล้วก็ได้ พยายมราชหรือยมทูต ต้นงิ้ว กระทะทองแดง อาจจะไม่มีจริง แต่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าอยากให้ชาวโลกเห็นถึงกฎแห่งกรรม จึงได้ตรัสสอนไปว่า หากทำชั่วก็จะได้รับความทุกข์ทรมาน ดั่งอยู่ในขุมนรกก็เป็นได้ ในแง่มุมของสวรรค์ก็เช่นกัน การที่จิตเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่อาจวัดได้ ไปที่ใดที่หนึ่งในจักรวาล ก็อาจจะมีที่ๆสวยงามดั่งอยู่ในสรวงสวรรค์ก็เป็นได้ ยกตัวอย่างเช่น ดาวที่เป็นเพชรทั้งดาว ก็เป็นภาพที่สวยงามดั่งอยู่ในสรวงสวรรค์ อ้างอิงจากการค้นพบดาวที่มีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบเป็นส่วนใหญ่ที่อยู่ไกลมากในจักรวาล(อ้างอิงจากhttp://www.neutron.rmutphysics.com/science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=2063)อยู่ห่างจากโลก 4 พันปีแสง ซึ่งในตอนนี้ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ของเรายังไปไม่ถึงข้อมูลของดาวจำพวกนี้ แต่ดวงจิตของพระพุทธเจ้าสามารถไปสำรวจมาหมดแล้วทั่วทั้งจักรวาล และได้นำมาตรัสสอนชาวโลกว่า หากทำความดีจะได้ไปอยู่บนสวรรค์ ก็คือไปพบเจอในสิ่งที่สวยงานในจักรวาล
โลกหลังความตายคืออะไร
วิญญาณก็คือก้อนจิตที่หลุดออกจากร่างกายเมื่อตายลง มีลักษณะคล้ายคลื่นไฟฟ้าชนิดหนึ่ง สามารถสื่อสารกับมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ แต่คลื่นต้องตรงกันด้วยนะ ถึงจะรับรู้ได้ นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไมบางคนมองเห็นวิญญาณหรือผีได้ บางคนทำไมถึงมองไม่เห็น เพราะคลื่นในการรับรู้ของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน การเชื่อมการติดต่อระหว่างวิญญาณกับคนคือการที่ก้อนจิตใส่คลื่นเข้าสู่สมองของคน ทำให้มองเห็นภาพลวงตา หรือ สัมผัสลองตา ได้ จึงมีอาการป่วยที่จิตของเราคิดไปเองเกินขึ้นให้เห็นบ่อยๆ เช่นคิดว่าตัวเองเป็นปอบหรือถูกผีเข้า หากเรามีสติสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย บางทีอาการพวกนี้อาจหายเองได้ เมื่อมีสิ่งที่เรียกว่า หมอผีมาทำพิธีให้ ซึ่งเราคิดไปเองว่ามันได้ผลแล้วก็หายดีขึ้นมาเอง หากพิจารณาถึงหลักความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว มันก็เกิดจากโรคที่เรียกว่า ป่วยเองหายเองนั่นล่ะ
วงจรการเวียนว่ายตายเกิด แท้จริงแล้วก็คือ
การกลับมาเกิดใหม่ ก็คือดวงจิตที่พ้นจากการหลงทางหรือทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า การชดใช้กรรมหมดสิ้นแล้ว ตามหลักวิทยาศาสตร์เรียกว่า การไม่หลงทางของจิต จิตจะกลับเข้าร่างเนื้อของสิ่งมีชีวิต หรือกรณีกลับเข้าร่างเดิมแล้วพื้นขึ้นมา อันนี้ก็อธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์การตายแล้วฟื้น เกิดจากจิตที่ไม่หลงทางสามารถกลับเข้าร่างเดิมได้ ในส่วนของการเวียนว่ายตายเกิดตามปกติของสิ่งมีชีวิต จิตจะเข้าสิงสู่ร่างของสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะกำเนิดขึ้นมา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรม ว่าเราจะสามารถกลับมาเกิดเป็นอะไร อาจจะเกิดเป็น คน ลิง หมา มด หรือแบตทีเรีย อะไรก็ได้ที่เป็นสิ่งมีชีวิต ตามกฎแห่งกรรม
บทสรุป
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ข้อสงสัยเกี่ยวกับโลกหลังความตาย นรก หรือสวรรค์ หรือการกลับมาเกิดใหม่ ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวข้องกับหลักวิทยาศาสตร์ของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ทำให้เกิดการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ และผมก็ยังเชื่อว่า พระพุทธเจ้านี่ล่ะคือบุคคลทุกเดินทางไปทั่วจักรวาลมาแล้วจริงๆ คำสอนตามไตรภูมิพระร่วง จักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุ เป็นศูนย์กลางของจักรวาล หรือชมพูทวีปหรือทวีปต่างๆก็อาจจะมีจริง โดยทวีปต่างๆในไตรภูมิพระร่วงก็อาจเป็นดาวดวงอื่นๆที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่พระพุทธเจ้าไปพบเห็นมาแล้วก็เป็นไปได้ เพราะจักรวาลนั้นกว้างใหญ่มาก แต่มีผู้ที่สำรวจจนครบมาแล้วเป็นผู้ที่หาคำตอบมาให้พวกเรา