JJNY : ‘ครช.’ดักทางเตะถ่วง│คุมดอกเบี้ยผิดนัดกระทบยี่ปั๊วซาปั๊ว│“สมชัย”ชี้3แนวทาง│หมอธีระวัฒน์ โพสต์เป็นนัย สื่อถึงอะไร

‘ครช.’ ดักทางเตะถ่วง จี้ ‘รัฐสภา’ คำนึงประชาชน โหวตเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ วาระ 3
https://www.matichon.co.th/politics/news_2624287
 
 
‘ครช.’ ดักทางเตะถ่วง จี้ ‘รัฐสภา’ คำนึงประชาชน โหวตเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ วาระ 3
 
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 15 มีนาคม https://www.facebook.com/CCPCThai คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน หรือ ครช. ได้ออกแถลงการณ์ต่อสมาชิกรัฐสภา เรียกร้องให้ออกเสียงลงคะแนนเห็นชอบ ต่อร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม วาระที่ 3 โดยระบุว่า
 
สืบเนื่องจากกรณีรัฐสภามีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาในการเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256 (1) โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก ในวันที่ 11 มีนาคม 2564 วินิจฉัยให้ “รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อน ว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
 
คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) เห็นว่าแม้การยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จะเป็นการแทรกแซงอำนาจนิติบัญญัติแต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการหาทางออกจากความขัดแย้งอันเกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีความลักลั่นหลายประการ จึงขอเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาได้พิจารณาดำเนินการตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญข้างต้น โดยทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนฝ่ายนิติบัญญัติในรัฐสภาอย่างเต็มความสามารถ คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก ด้วยการใช้หน้าที่และอำนาจซึ่งสามารถทำได้ตามกรอบรัฐธรรมนูญ 2560 ออกเสียงลงคะแนนเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมวาระที่สาม ในการประชุมรัฐสภาวันที่ 17 – 18 มีนาคม 2564 ที่จะถึง
 
คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สมาชิกรัฐสภาทั้งหลายจะดำเนินการตามกระบวนการอย่างจริงใจ ไม่อาศัยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญตีความเพื่อสร้างลำดับขั้นตอนที่เป็นอุปสรรคขัดขวาง เตะถ่วงเวลาการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังดำเนินอยู่ให้สะดุดหยุดลงหรือเกิดความล่าช้าออกไปอีก และเพื่อให้กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภายังคงเดินหน้าต่อ ขอจงเปิดทาง เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ทำหน้าที่ผู้ตัดสินใจโดยตรงด้วยการออกเสียงประชามติว่าประสงค์จะให้มีแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเข้ามาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ภายหลังจากการออกเสียงลงคะแนนวาระสามเสร็จสิ้น ตามที่บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) ได้กำหนดไว้ในลำดับต่อไป
 
คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.)
15 มีนาคม 2564
  
https://www.facebook.com/CCPCThai/posts/515184503209719
 

 
คุมดอกเบี้ย ผิดนัด กระทบ ยี่ปั๊วซาปั๊ว
https://www.thansettakij.com/content/money_market/471846
 
กูรูชี้ร่างแก้ไขกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คุมเกมธุรกิจ ดึงดอกเบี้ยไม่เป็นธรรม กระทบสัญญาซื้อขายซัพพลายเออร์ที่ไม่ระบุในสัญญา มากกว่ากระทบดอกเบี้ยค้างรับแบงก์ เหตุทุกสัญญาตกลงอัตราไว้ก่อนแล้ว รับอานิสงส์จ่ายดอกเบี้ยต่ำ
 
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ออกมาระบุว่า การเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยลดอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดสัญญาเงินกู้ และ กรณีผิดนัดชำระหนี้จากเดิม 7.5% เหลือ 5% ซึ่งคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบไปเมื่อวันที่ 9 มีนาคม จะลดภาระของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทำให้ประชาชนมีโอกาสชำระหนี้ได้มากขึ้นและมีโอกาสผิดนัดน้อยลง เป็นการปรับข้อกฎหมายให้ทันสมัยสอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลง และเกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายมากขึ้น
 
นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร TMB Analytics ธนาคาร ทหารไทย หรือ TMB เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ร่างแก้ไขบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับใหม่ เป็นการแก้ไขครั้งแรกในรอบ 95ปี โดยหากย้อนกลับไปสมัยก่อน การคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 7.5% ต่อปีสอดคล้องกับดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่อัตรา 10%ต่อปี แต่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ระดับ 0.50%ต่อปี การปรับอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 7.5% เหลือ 5% นั้น เป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
  
อย่างไรก็ตามร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติ 3 เรื่องคือ
1. การซื้อขาย ถ้าไม่มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในสัญญาไว้เดิม เคยใช้ที่อัตรา 7.5% แต่ฉบับใหม่ จะคิดดอกเบี้ยได้ในอัตรา 3% เรื่องที่ 
2. ต่อเนื่องจากข้อแรกคือ ถ้าเกิดการผิดนัดชำระหนี้ขึ้น กฎหมายใหม่จะให้บวกดอกเบี้ยได้เพียง 2% แต่ไม่เกินเพดาน 5% 
และ 3. ลำดับการตัดชำระหนี้ เพิ่มโอกาสให้ตัดเงินต้นได้มากขึ้น
ซึ่งทั้ง 3ประเด็นจะส่งผลกระทบต่อสัญญาการซื้อขายระหว่าง supplier หรือ คู่ค้าจำนวนมากที่ไม่ได้ผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ โดยหมายรวมถึงบริษัทหรือธุรกิจการซื้อขายค้าปลีกค้าส่ง
 
ร่างแก้ไขพ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้ จะลงไปในระดับของนิติกรรม ตั้งแต่มีการทำสัญญาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นต่อระบบเศรษฐกิจ แต่ไมเป็นประเด็นต่อระบบสถาบันการเงิน โดยผลกระทบจะตกอยู่กับคู่ค้าที่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในสัญญา หรือถ้าเกิดการผิดนัดชำระหนี้ ฉะนั้นจะกระทบผู้ซื้อผู้ขาย  supplier ยี่ปั๊วซาปั๊ว จำนวนมากที่ไม่ใช่ระบบธนาคารพาณิชย์
 
ส่วนผลกระทบต่อดอกเบี้ยค้างรับของธนาคารพาณิชย์นั้น นายนริศระบุว่า น่าจะกระทบกับส่วนของภาคธุรกิจหรือบริษัท โดยส่วนตัวมองว่า ไม่น่าจะกระทบงบดุลของธนาคารพาณิชย์ เพราะอัตราดอกเบี้ยค้างรับของธนาคารพาณิชย์จะรับรู้อยู่แล้วตามสัญญาที่ได้ตกลงไว้ชัดเจนก่อนแล้วยกตัวอย่าง ถ้ามีการซื้อขายกันระหว่าง supplier ยี่ปั๊วซาปั๊ว หรือ ซื้อขายที่ดิน,โรงงานหรือตีโอนทรัพย์หรือขายฝาก หากไม่ได้ตกลงอัตราดอกเบี้ยไว้ในสัญญา จะคิดอัตราดอกเบี้ยแค่ 3% ถ้าเกินจากอัตรานี้ถือว่าโมฆะ และหากผิดนัดชำระก็จะคิดดอกเบี้ยได้แค่ 5%
 
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า หากร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับใหม่ผ่านกระบวนการพิจารณาและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2564นั้น ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ ถ้ามีการปล่อยกู้ในสัญญาที่จะเกิดขึ้นใหม่ โดยไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ย หากลูกหนี้มีการผิดนัดชำระหนี้ ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดที่ลดลง ไม่ใช่จากอัตราดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี 
 
นอกจากนั้น จะมีประกาศของธปท.สำหรับสถาบันการเงิน ถ้าสัญญาปล่อยกู้เดิม กำหนดอัตราดอกเบี้ย 15%ต่อปี ต่อไปถ้าลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ จะบวกดอกเบี้ยผิดนัดชำระได้ไม่เกิน 3% เช่น สัญญาเดิมกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ 6% ต่อปี หากลูกหนี้ผิดนัดชำระ จะบวกดอกเบี้ยได้ 3% รวมเป็น 9% ต่อปี และให้คิดอัตราดอกเบี้ยที่ 9% เฉพาะเงินต้นที่ลูกหนี้ผิดนัดงวดนั้น ส่วนที่เหลืองวดอื่นๆ ที่ไม่ผิดนัดให้ธนาคารคิดดอกเบี้ยตามสัญญาปกติ 
 
ส่วนในแง่ของดอกเบี้ยค้างรับ สำหรับธนาคารพาณิชย์จะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะร่างกฎหมายดังกล่าว ระบุว่า ถ้าไม่กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในสัญญา ให้คิดดอกเบี้ยได้ 7.5% กรณีมีการฟ้องคดีกลับจะเป็นประโยชน์กับธนาคารพาณิชย์ที่ต่อไปจะเสียดอกเบี้ยแค่ 3% สัญญาที่ไม่ได้คิดดอกเบี้ยไว้ให้คิดได้แค่ 5% แต่ทุกสัญญาของธนาคารพาณิชย์ จะคิดอัตราดอกเบี้ยตามประเภทต่างๆไว้ เช่น MOR, MRR, MOR 
 
ถ้าสัญญาทั่วไป บุคคลธรรมดาไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้จะให้คิดได้แค่ 5% เช่น ธนาคารพาณิชย์คิดอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต หรือ สินเชื่อส่วนบุคคลในอัตราดอกเบี้ย 12% ถ้าเกิดลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระได้ไม่เกิน 15% ต่อปี (สัญญาคิดดอกเบี้ยที่ 12% ต่อปีบวกดอกเบี้ยผิดนัด 3% ต่อปี) และทุกปี กระทรวงการคลังจะมีการทบทวนอัตราดอกเบี้ยให้ ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อน ที่เมื่อกฎหมายกำหนดอัตราดอกเบี้ย ก็จะมีการใช้เป็นแนวปฏิบัติมาโดยไม่ได้มีการแก้ไขแต่อย่างใด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่