ก่อนที่เราจะได้บรรจุเป็นข้าราชการครูเราทำงานเป็นฟรีแลนซ์มาก่อน ซึ่งเฉลี่ยรายได้ต่อปีจะตกเดือนละราวๆหนึ่งแสน-แสนห้า
เรื่องมันมีอยู่ว่าเราสอบบรรจุได้ และเป็นอาชีพที่แม่และยายอยากให้เราทำ ซึ่งตอนสอบเข้ามหาลัยเราไม่รู้หรอกว่าเราอยากเป็นอะไร เข้าข่ายในรูปแบบเรียนๆไปงั้น จนกระทั่งเราเรียนถึงปี5 เราจึงได้ลู่ทางทำงานฟรีแลนซ์ และก็ค้นพบว่าเป็นงานที่เรารักมาก หลังเรียนจบเราก็ทำงานฟรีแลนซ์ของเราไปเรื่อย เป็นอาชีพที่แบบว่าเรารู้สึกว่าเราเท่ เราอาร์ทมากที่เราทำงานนี้ได้ เราภูมิใจกับมัน เราสามารถซื้อรถ ส่งเงินให้แม่ใช้เดือนละหมื่น ให้เงินแม่และยายในโอกาสพิเศษต่างๆ แต่ก่อนเราเหมือนเด็กเก็บกดจะใช้เงินแต่ละทีก็ต้องประหยัดเพราะแม่หาเงินคนเดียว
ตอนเรียนปลากระป๋องต้องเจียดกินให้ได้สามมื้อ น้ำก็ไปกรอกที่มอ. สมัยเรียนมหาลัยปี1-4ก็ไม่อยู่เฉย วิ่งทำงานพาร์ทไทม์ตลอด เลิกเรียนบ่ายสอง เราต้องไปทำงานพาร์ทไทม์สี่โมง เลิกงานก็เที่ยงคืนได้เงินวันละ180บ.
ตอนนั้นก็คิดว่าแค่ขยัน ขยันมากๆเดี๋ยวก็จะดีขึ้น ซึ่งเรามาค้นพบว่ามันจริงแค่สิบเปอร์เซน ความขยันอย่างเดียวไม่ได้ทำให้คนรวยขึ้น ต้องเคียงคู่กับมันสมองด้วย กระทั่งเราได้ทำงานฟรีแลนซ์เลยทำให้เรามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดูแลแม่และยายได้ดี มีกำลังทรัพย์ในการซับพอร์ททางบ้าน จนเราสอบบรรจุ เราไม่คิดว่าเราจะได้แต่มันก็ดันได้ แม่และยายดีใจมากๆถึงกับเลี้ยงโต๊ะจีน พอเป็นครูมาได้ปีกว่าเรานี่นอนร้องไห้ในบางคืน
เราชอบสอน แต่เราไม่ชอบการแข่งขันในสังคมข้าราชการที่เห็นนายดีกว่าลูกศิษย์ เราอยู่ในสังคมแบบนั้นเราไม่มีความสุข เราเต็มที่กับงานสอนแต่ภาระงานอื่นถ้าไม่สั่งเราก็ไม่กระเตื้อง ความสุขในชีวิตของเราลดลงมาก ซึ่งเราไม่สามารถที่จะทำงานฟรีแลนซ์ไปด้วยได้ เพราะมันเป็นงานที่ต้องจูนอารมณ์ จะทำได้ก็ตอนตี1-3
ทีนี้เราปรึกษาแม่ แม่บอกให้เราทนๆ แม่บอกว่าเราโชคดีกว่าคนอื่น ใครๆก็อยากสอบบรรจุได้ทั้งนั้น แต่เราก็บอกแม่ไปว่าเงินเดือนหมื่นห้ามันไม่พอนะ มันไม่พอที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้น เราคนก่อนเคยผ่านความลำบากมามากมายซึ่งเราก็ไม่อยากจะกลับไปในจุดนั้นอีก ลำพังเงินเดือนหมื่นห้ามันไม่พอใช้จริงๆกับยุคสมัยแบบนี้ แต่แม่กลับบอกว่าเรายึดติดแต่กับเงิน
คนที่ควรเข้าใจเรามากที่สุดกลับไม่เข้าใจ
เราอยากลาออก ตอนแรกแม่และยายไม่ยอมลูกเดียว ยายถึงขั้นบอกว่าถ้าเราลาออกยายจะเอาทุกอย่างที่ยายให้เรา ยายจะเอาคืน ซึ่งเราไม่กังวลเรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่ที่เรากังวลคือเรากลัวพวกเขาจะไม่ยอมรับเรา เพราะเราเป็นลูกที่ดีมาตลอด ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางเลย เราอยากทำให้พวกเขาภูมิใจ แต่ถึงจุดจุดนี้มันสุดแล้วจริงๆ พอเราพูดเรื่องลาออกบ่อยเข้าแม่ก็จะอารมณ์เสีย บอกว่าเราไม่เคยลำบากจะไปเข้าใจอะไร เราเลยสวนกลับ ก็เพราะเราลำบากมาก่อนไงเราเลยไม่อยากกลับไปไม่มีเงินอีก
พอแม่ได้ยิน แม่ก็บอกว่าเชิญเลย อยากทำอะไรก็เรื่องของเธอ โตแล้วถ้าคิดไม่ได้ก็เรื่องของเธอ
ซึ่งเหมือนแม่จะอนุญาตให้ลาออกใช่มั้ย แต่เปล่า ไม่ใช่ เรารู้หรอกว่าแม่ประชด
เราแค่อยากได้ยินคนที่เรารัก คนที่เป็นครอบครัวเคารพการตัดสินใจของเรา บอกเราว่า ถ้ามันไม่มีความสุขนักก็ออกมาเถอะลูก อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นแม่ก็จะไม่โทษลูกเลย ทำไมครอบครัวเราไม่เป็นแบบนี้นะ
เราควรทำยังไงดีคะ
ปัจจุบันเราอายุ26 สอบบรรจุได้ตอนอายุ25 เราพยายามที่จะอยู่กับมันให้ได้เพราะไม่อยากให้แม่กับยายคิดมาก ที่ผ่านมาเราว่าเราเป็นลูกที่ดี ไม่เคยทำให้ทางบ้านเสียใจ แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นเขาทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นลูกที่แย่มากเลย
งานที่โรงเรียนไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร เพียงแต่เราไม่ชอบระบบงานของราชการ นั่นคือทำดีเอาหน้า
อาชีพอิสระเงินเดือนหลักแสน หรือข้าราชการครูกินเงินเดือนหมื่นห้า
เรื่องมันมีอยู่ว่าเราสอบบรรจุได้ และเป็นอาชีพที่แม่และยายอยากให้เราทำ ซึ่งตอนสอบเข้ามหาลัยเราไม่รู้หรอกว่าเราอยากเป็นอะไร เข้าข่ายในรูปแบบเรียนๆไปงั้น จนกระทั่งเราเรียนถึงปี5 เราจึงได้ลู่ทางทำงานฟรีแลนซ์ และก็ค้นพบว่าเป็นงานที่เรารักมาก หลังเรียนจบเราก็ทำงานฟรีแลนซ์ของเราไปเรื่อย เป็นอาชีพที่แบบว่าเรารู้สึกว่าเราเท่ เราอาร์ทมากที่เราทำงานนี้ได้ เราภูมิใจกับมัน เราสามารถซื้อรถ ส่งเงินให้แม่ใช้เดือนละหมื่น ให้เงินแม่และยายในโอกาสพิเศษต่างๆ แต่ก่อนเราเหมือนเด็กเก็บกดจะใช้เงินแต่ละทีก็ต้องประหยัดเพราะแม่หาเงินคนเดียว
ตอนเรียนปลากระป๋องต้องเจียดกินให้ได้สามมื้อ น้ำก็ไปกรอกที่มอ. สมัยเรียนมหาลัยปี1-4ก็ไม่อยู่เฉย วิ่งทำงานพาร์ทไทม์ตลอด เลิกเรียนบ่ายสอง เราต้องไปทำงานพาร์ทไทม์สี่โมง เลิกงานก็เที่ยงคืนได้เงินวันละ180บ.
ตอนนั้นก็คิดว่าแค่ขยัน ขยันมากๆเดี๋ยวก็จะดีขึ้น ซึ่งเรามาค้นพบว่ามันจริงแค่สิบเปอร์เซน ความขยันอย่างเดียวไม่ได้ทำให้คนรวยขึ้น ต้องเคียงคู่กับมันสมองด้วย กระทั่งเราได้ทำงานฟรีแลนซ์เลยทำให้เรามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดูแลแม่และยายได้ดี มีกำลังทรัพย์ในการซับพอร์ททางบ้าน จนเราสอบบรรจุ เราไม่คิดว่าเราจะได้แต่มันก็ดันได้ แม่และยายดีใจมากๆถึงกับเลี้ยงโต๊ะจีน พอเป็นครูมาได้ปีกว่าเรานี่นอนร้องไห้ในบางคืน
เราชอบสอน แต่เราไม่ชอบการแข่งขันในสังคมข้าราชการที่เห็นนายดีกว่าลูกศิษย์ เราอยู่ในสังคมแบบนั้นเราไม่มีความสุข เราเต็มที่กับงานสอนแต่ภาระงานอื่นถ้าไม่สั่งเราก็ไม่กระเตื้อง ความสุขในชีวิตของเราลดลงมาก ซึ่งเราไม่สามารถที่จะทำงานฟรีแลนซ์ไปด้วยได้ เพราะมันเป็นงานที่ต้องจูนอารมณ์ จะทำได้ก็ตอนตี1-3
ทีนี้เราปรึกษาแม่ แม่บอกให้เราทนๆ แม่บอกว่าเราโชคดีกว่าคนอื่น ใครๆก็อยากสอบบรรจุได้ทั้งนั้น แต่เราก็บอกแม่ไปว่าเงินเดือนหมื่นห้ามันไม่พอนะ มันไม่พอที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้น เราคนก่อนเคยผ่านความลำบากมามากมายซึ่งเราก็ไม่อยากจะกลับไปในจุดนั้นอีก ลำพังเงินเดือนหมื่นห้ามันไม่พอใช้จริงๆกับยุคสมัยแบบนี้ แต่แม่กลับบอกว่าเรายึดติดแต่กับเงิน
คนที่ควรเข้าใจเรามากที่สุดกลับไม่เข้าใจ
เราอยากลาออก ตอนแรกแม่และยายไม่ยอมลูกเดียว ยายถึงขั้นบอกว่าถ้าเราลาออกยายจะเอาทุกอย่างที่ยายให้เรา ยายจะเอาคืน ซึ่งเราไม่กังวลเรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่ที่เรากังวลคือเรากลัวพวกเขาจะไม่ยอมรับเรา เพราะเราเป็นลูกที่ดีมาตลอด ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางเลย เราอยากทำให้พวกเขาภูมิใจ แต่ถึงจุดจุดนี้มันสุดแล้วจริงๆ พอเราพูดเรื่องลาออกบ่อยเข้าแม่ก็จะอารมณ์เสีย บอกว่าเราไม่เคยลำบากจะไปเข้าใจอะไร เราเลยสวนกลับ ก็เพราะเราลำบากมาก่อนไงเราเลยไม่อยากกลับไปไม่มีเงินอีก
พอแม่ได้ยิน แม่ก็บอกว่าเชิญเลย อยากทำอะไรก็เรื่องของเธอ โตแล้วถ้าคิดไม่ได้ก็เรื่องของเธอ
ซึ่งเหมือนแม่จะอนุญาตให้ลาออกใช่มั้ย แต่เปล่า ไม่ใช่ เรารู้หรอกว่าแม่ประชด
เราแค่อยากได้ยินคนที่เรารัก คนที่เป็นครอบครัวเคารพการตัดสินใจของเรา บอกเราว่า ถ้ามันไม่มีความสุขนักก็ออกมาเถอะลูก อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นแม่ก็จะไม่โทษลูกเลย ทำไมครอบครัวเราไม่เป็นแบบนี้นะ
เราควรทำยังไงดีคะ
ปัจจุบันเราอายุ26 สอบบรรจุได้ตอนอายุ25 เราพยายามที่จะอยู่กับมันให้ได้เพราะไม่อยากให้แม่กับยายคิดมาก ที่ผ่านมาเราว่าเราเป็นลูกที่ดี ไม่เคยทำให้ทางบ้านเสียใจ แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นเขาทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นลูกที่แย่มากเลย
งานที่โรงเรียนไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร เพียงแต่เราไม่ชอบระบบงานของราชการ นั่นคือทำดีเอาหน้า