คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ผมพยายามเขียนให้อ่านง่าย พร้อมอ้างอิง
เขียนจากประสพการณ์เรียนรู้ พร้อมตัวอย่าง3 อัน
ส่วนจะน่าสนใจไหม มันขึ้นกับตอนเอาไปทำ คือที่คุณถามมันทำให้คุณ งง เองเพราะไปมองมันยากๆ
ตำราดีสุด กว่าที่ผมเขียน คือพระไตรปิฎก เพียงแต่ว่าภาษามันจะพา งง แต่ภาษาทั่วๆไปก็ งง ได้ครับเพราะไม่มีมาตราฐาน
เช่นคำว่า
วิปัสสนึก คำนี้ไม่มีในพระไตรปิฎกคำจำกัดความเลยแล้วแต่จะอธิบาย
บางอันคือ วิปัสสนานั้นละครับ แต่คนอธิบายแยกออกมาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ไม่รู้หลายปีหลังมันมายังไง
-------------
หรือสมัยหนึ่ง
วิปัสสนา แปลว่า เห็นโดยวิเศษ มีหลายความหมายถ้าไม่ยึดตามพระไตรปิฎก เช่น
จะมีวิปัสสนาหาของหาย
นั่งทางในวิปัสสนาหาเลขหวย ก็ยังมี
ดังนั้นต้องดูว่าคนพูดจะหมายความว่าอะไร
---------------
ในพระไตรปิฎก คือความหมายหลักที่ควรจะใช้
วิปัสสนา แปลว่า ความเห็นแจ้ง คือเห็นตรงต่อความเป็นจริงของสภาวธรรม;
ปัญญาที่เห็นไตรลักษณ์อันให้ถอนความหลงผิดรู้ผิดในสังขารเสียได้,
https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%C7%D4%BB%D1%CA%CA%B9%D2
จุดประสงค์ของการการเจริญวิปัสสนา ทำเพื่อให้เกิด วิปัสสนาญาณ (ชื่อปัญญา)
คือการมีความคิดความเห็นตาม ความเป็นจริง คือสรรพสิ่ง สุข ทุกข์ นิจจัง อนิจจัง อัตตา อนัตตา
เพื่อให้คลายความยึดมั่น ถอนความหลงผิด ตัดปัจจัยหลักที่จะเกิดทุกข์ คือตัด ความยึดมั่นในตัวผู้ทำวิปัสสนา
คือ ขันธ์ 5 มีอยู่ครบ แต่ ความยึดมั่นในขันธ์5ไม่มี (อุปทานขันธ์5) ก็จะทุกข์น้อยลง
การแยกรูปนาม แยกองค์ประกอบของเจตสิกไม่ใช่สาระ
การแยกรูปนาม แยกองค์ประกอบของเจตสิก ไว้สำหรับฝึกพิจรณา แต่เวลาใช้จริง
ทุกข์มันไม่แยกรูปนาม มันมาพร้อมๆกันใน ขันธ์ 5
เจตสิกไม่ต้อง แยก ปนมาก็ทุกข์ได้ ไม่มีชื่อเรียกไม่ถูกก็ได้แต่รู้สึกทุกข์ได้
ดังนั้นแก้มันไปทั้งกอง(ขันธ์)รวมๆกันถ้าพิจรณาเป็นก็แก้ทุกข์ได้
อ่านรายละเอียดภาษาไตรปิฎกได้จากนี้
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=31&siri=20
-------------------
ในแง่ระดับฐาน สมาธิที่ใช้ ในพระไตรปิฎก ท่านพระอานนท์ สอนไว้แบบนี้ครับ
คือเป็นกิจกรรมในหมวดหนึ่งของสมาธิ ทำไปพร้อมๆหรือทำก่อนการฝึก สมถะสมาธิ คือสมาธิในรูปแบบสงบนิ่งได้เลย
สมาธิ ดูองค์ประกอบของจิต ไม่มีกำหนดเวลาไว้
การทำวิปัสสนามันมีองค์ประกอบโดยทั่วไปใช้ แค่
จิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อ.....
อ่านดูครับไม่ได้กำหนดอะไรมาก
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=7564&Z=7861
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น
เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อม
เกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ
ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นเมื่อภิกษุ
นั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ
ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป เมื่อภิกษุนั้น
เจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำ
ให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อม
ละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ......
-------------------
อธิบายตามพระไตรปิฎก
ถ้าคุณเข้าใจ วิปัสสนา กับสมถะ จะเข้าใจว่ามันเป็นของพื้นฐานคล้ายๆกันแค่ใส่เงื่อนไขวิธีใช้ เงื่อนไขวิธีปฎิบัติต่างกัน
สมถะ ในระดับมี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ถ้าเอาการ พิจรณาเห็นไตรลักษณ์ในสรรพสิ่ง เป็นวิตก วิจาร ก็เป็นวิปัสสนา ได้เลย ตามข้อมูลวิธีวิปัสสนาในพระไตรปิฎก
จึงเป็นสิ่งที่เจริญไป พร้อม หรือ อันใดก่อนหลังก็ได้ ดังนั้นวิปัสสนาไม่ถูกบังคับด้วยสมถะว่าต้องระดับไหน
และถ้าเคยทำแค่ พยายาม พิจรณา เห็น นึก คิด คำนวณ ถึงความไม่เที่ยง ทุกข์ อนัตตา ของเรื่องที่เกิดกิเลสเรื่องในมากพอ
จะได้ประโยขน์มากมากสามารถ ระงับกิเลสนั้นๆ ได้ในระดับหนึ่ง
ผมแน่ใจว่ามีคุณค่าควรเจริญ(ทำให้งอกงาม ทำให้มาก) ตามที่ท่านอานนท์สอนนั้นละครับ
ตัวอย่างง่ายๆไม่ต้องหลับตาทำสมาธิเลย
เห็นด้วยตาเนื้อง่ายกว่าแล้วค่อยไปพิจรณาเห็นด้วยปัญญาอีกรอบ
คือถ้าเห็นด้วยตาเนื้อ ด้วยสัมผัสจริงๆแล้วยังไม่พิจรณา ให้มานั้งหลับตาพิจรณาเองน่าะไม่ทำ
----------
ตัวอย่างที่ 1
ผู้ชาย(A)เจอสาวสวยในร้านเหล้าเลยหลงชอบสาว(ฺB)
แต่ไปสังเกตุว่า เธอเข้าห้องน้ำชายในร้านเหล้านั้น
เลยตามไปดูเห็นเธอยืน ฉี่ ด้วย กล้วยหอม (อาจเป็นเพราะเมาจึงลืมตัวไม่หลบไปฉี่ในห้องน้ำหญิงแบบปรกติที่เธอทำ)
ผู้ชายเลย พิจรณาเห็นว่า เธอไม่ใช่สาว แต่เป็นชายแต่งหญิง
ความหลงชอบก็จางลงทันที จะเริ่มเห็นตามเป็นจริงหรือมีอคติใหม่ก็ขึ้นกับฝึกฝนมา
อาจจะโกรธ สาว(ฺB) ขึ้นมาแทนหลงที่มาหลอกตน แต่ถ้ามีปัญญาอาจจะไม่โกรธคือเข้าใจว่าทำไม่เขาทำแบบนั้น
อาจจะโลภ มาแทนคือกะหลอกเอาเงิน สาว(ฺB) แต่ถ้ามีปัญญาอาจจะไม่โลภใของไม่ควรได้
หรือบางที่หนักสุด
ทั้งโลภ ทั้งโกรธ ทั้งแค้น (เห็นไหมว่ามันปนๆกัน)
นี้ละครับวิธีการมองเห็น การคิด การพิรณา ความไม่เที่ยง ความทุกข์ ความไม่ควรยึดเป็นตัวตน
แบบที่เอาไปใช้ได้เลยในชีวิตจริงๆ ปัญหาคือ ถ้าไม่มีสติกับสมาธิอยู่จะไม่ทำวิปัสสนาในทุกอย่างทุกเวลาได้
เช่น
ถ้าผู้ชาย(A)ตามตัวอย่าง 1 เมา แม้สติปรกติก็มีน้อย
ถึงจะเห็นกล้วยหอมแต่ก็อาจจะคิดว่าไปลองของแปลกก็ได้ เพราะหลงไปกับกิเลส
แล้วตื่นมามีสติก็จะคิดอีกแบบหนึ่งก็ได้ ว่าไม่น่าเลย
หรือ
หลงไปเลยติดใจก็ได้
คือถ้ายังทำวิปัสสนา กับสิ่งใดไม่ถึงระดับจะประมาท วนกลับไปที่ สุขมากไป ยึดเป็นอัตตามากไป ยึดว่าเทียงมากไป
กลับไปเห็นไม่ตามเป็นจริง แต่ถูกกิเลสปิดบัง หรือหลอกให้ หลงไปได้ หรือ ย้ายไปโกรธ ไปโลภ แทน
ถ้าเห็นด้วยปัญญา แต่แรก ผู้ชาย(A) ก็ไม่ไปดื่มเหล้าตั้งแต่แรก
โอกาสเจอสาวกล้วยหอม(ฺB) ก็ไม่มีตั้งแต่แรก
ปัจจัยให้เกิดทุกข์ในประเด็นตามตัวอย่างก็ไม่มีแต่แรก นี้คือ
ศีล (สิกขาที่ วิปัสสนามาดีแล้วว่าควรปฎิบัติ หรือ งดเว้นปฎิบัติ)
--------------
ตัวอย่าง 2
ธนบัตร 500 ไม่ใช่ ธนบัตร500 แต่ ธนบัตร500 บางวาระก็เป็น ธนบัตร 500 ?
วาระปรกติ
ธนบัตร 500 คือธนบัตร ใช้ซื้อความสุขได้
คนทั่วไปมีความรู้เรื่องไตรลักษณ์ วิปัสสนา ตามตำรา อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา ว่าคืออะไร
แต่แทบไม่มีผลอะไรกับ ธนบัตร 500 เลยทั้งในกระเป๋าตังและของคนอื่น
วาระ พิจรณาในทางธรรม
ถ้าบุคคลเริ่ม คิด พิจรณา สังเกตุ เรื่องไตรลักษณ์ เกี่ยวกับธรบัตร 500 ทำวิปัสสนา
ธนบัตร มันทุกข์ขาดได้ นำทุกข์มาได้ เป็นเหตุให้โดนปล้น เป็นเหตุให้ลำบากกายใจมากกว่าที่ควร
++ประเด็นแง่มุมต่างๆไปเรื่อยตามเวลาที่ใช้พิจรณา
ธนบัตร มันไม่เที่ยง (อนิจจัง)หายได้ทอนมาผิดก็ได้ ซื้อของผิดราคาผิดมูลค่าก็ได้ ปลอมได้
ยืมไปไม่คืนก็ได้ ไม่แน่นอนแปรปรวน ++...
ธนบัตร มันเป็น(อนัตตา) ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริงอยู่ในมือใครคนนั้นเจ้าของ เป็นของประกอบๆตามมูลค่าสมมุติเอาแน่นอนไม่ได้+++...
ธนบัติไม่เป็นธนาบัติแล้วมันเป็นไตรลักษณ์ด้วย เป็นเหมือนกับสรรสิ่งต่างๆ
วาระ ภาวนามยปัญญา คือมีปัญญาเห็นตามเป็นจริง มีวิปัสสนาอยู่ตลอด
ธนบัติ 500 คือ ธนบัติ 500 ตามที่มันเป็นจริงๆ
มีทั้งสมมุติว่ามีค่า นำสุขให้ ใช้จ่ายได้
มีทั้งวิมมุติ คือในสภาวะธรรมมีคุณสมบัติของ ไตรลักษณ์ เป็นเหตุเกิดทุกข์ร่วมด้วย
คุณจะไม่ยึดมั่นมัน
เพราะมันมีทั้งสุข และทุกข์ และ อุเบกขา คุณก็จะหลุดพ้น มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ลำบากใจ
เริ่มอิสระ จาก ธนบัตร 500 วาระปรกติ...ที่สุขอย่างเดียวเลยอยากได้มากๆ
คือใช้มันไปตามเหตุปัจจัย มีทั้งสุข ทุกข์ ค่อยๆฝึกฝนตนเพื่อให้เป็นอิสระ
ลดปัจจัย ลดเหตุให้ทุกข์
จนถึงขั้นไม่ต้องใช้มันก็ได้ เพราะมีวิธีอื่นๆในการดำเนินชีวิตที่ไม่ต้องใช้
ดังนั้นทุกข์ที่เกิดจาก ธนบัตร ก็จะไม่มาถึงอีก ทิ้งมันได้ ก็จะหลุดพ้นจากมัน ละได้
ธนบัตร500 ก็เป็น และไม่เป็น ธนบัตร 500 อีกต่อไป เห็นตามเป็นจริง
แต่ถ้าไม่ทำกับสิ่งอื่น ก็ยังติดยึดอาจเป็นที่ดิน เมีย ลูก เลยทุกข์ได้
ดังนั้น สติ และสมาธิ จึงสำคัณพระจะกำหนดให้สามารถพิจรณา ทำวิปัสสนาได้ตลอด
ปัจจัยให้เกิดทุกข์ก็จะน้อย
-------------
ตัวอย่างที่ 3 วิปัสสนาญาณ ที่พิจรณา กาย มี5ส่วนประกอบกัน(ขันธ์5)
แยกพิจรณาก็ได้ พิจรณารวมๆก็ได้ มันขึ้นกับ พิจรณาเห็นอะไร
ตัวอย่าง 3 คู่แบบดู กาย ในองค์ร่วมเรียกว่าไม่กำหนดประเด้นพิจรณา
1.1 พิจรณาเห็น สุข ใช้กายนี้กิน ทำกิจกรรมต่างๆได้เป็นปรกติมีสุข++
1.2 พิจรณาเห็น ทุกข์ ป่วยไข้ เจ็บก็ไม่อยากให้เป็นทรมาณ ลองตีตัวเองดู++
2.1 นิจจัง เที่ยงแท้ของกายคือมันมีปรกติตื่นนอน ไม่สามารถหลับไปได้ตลอด กินก็ต้องอึ มีวาระที่ปรกติไม่เจ็บป่วยไข้ แน่นอนสักวันต้องตาย++
2.2 อนิจจัง แปรปรวน คุณไม่สามารถกำหนดเวลาอึ เวลานอนได้ตรงตลอดชีวิต กำหนดให้ไม่ป่วยไปตลอดได้มันต้องมีไม่ปรกติ ไม่แน่ว่าจะตายเมื่อไหร่++
3.1 อัตตา ความเป็นตัวตนคุณยกแขนดู แขนยกมันอยู่ในบังคับของคุณ คุณเซ็นเอกสารกู้เงิน ลายเซ็นนั้นคือคุณ ++
3.2 อนัตตา คุณกำหนดไม่ได้ให้ผมไม่ขาวหน้าไม่เหียว ไม่มีเหงื่อ ตดไม่เหม็น อึหอม ทั้งๆที่มันก็ตัวคุณ ++
แล้วพิจรณาองค์รวม 1+2+3 ในหลายๆแง่มุมเพื่อเห็นตามเป็นจริงว่ากายนี้
บางทีก็ทนง่ายสนุก (สุข) บางทีก็ทนยากร้องไห้(ทุกข์)
บางที่ก็แน่นอนลงไปอย่างหนึ่ง จำได้แม่นเลย (นิจจัง) แต่ก็แปรปรวนไม่แน่นอนด้วยไปในตัว แต่พอทำขอสอบดันจำไม่ได้ (อนิจจัง)
บางที่ก็เป็นเรา (อัตตา) บางที่ทั้งๆทีคิดว่าเป็นเรากลายเป็นของยืมมาคือมันไม่เป็นของเราสักทีเดียว(อนัตตา)
เน้นพิจรณาเห็นเป็น ทุกข์ อนิจจัง อนัตตา
เพราะปรกติเราพิจรณากายเป็น สุข นิจจัง อัตตา โดยปรุงแต่งในด้านนี้เป็นหลัก
ต้องเน้นไปอีกทางเพื่อให้เห็นชัดลงไปครบทุกแง่มุม จึงเห็นตามเป็นจริง
พิจรณาไปเรื่อยๆจนสามารถเห็นและใช้ กาย ไปตามที่ควรจะเป็น
ไม่ต้องหวงมันแต่ก็ต้องดูแลมัน ไปตามเหตุปัจจัย ตามที่เป็นจริงพอดีๆ
เห็นครบ6ข้อ จึงเลือกใช้ได้ โดยใช้ให้ไม่เกิดทุกข์
-------------------
โดยในศาสนาพุทธพอดี ฆาราวาสคือศีล สงฆ์คือวินัย
ต้องเจตนางดเว้นเอง บังคับตัวเอง
เพื่อให้มีปรกติไม่ต้องบังคับตัวเองในเรื่องใดๆก็ตาม ให้อยู่ในกรอบ ศีล วินัย
แล้วจึงยกระดับขึ้นไปเรื่อยๆตาม ธรรม ในหมวดอื่นๆโดยการำเนินชีวิตต้ิง พิจรณาเห็นสรรพสิ่งตามเป็นจริงมีองค์ประกอบครบ 6 ข้อตามองค์ความรู้ที่มีในวาระนั้นๆพอทำบ่อยๆจนเกินความชำนาณความรู้จะเพิ่มมาเอง
หรือ
มีเหตุให้มาเองเช่น อ่านพบข้อมูลฃ มีคนสอน ก็จะยกระดับการพิจรณาไปได้ละเอียดขึ้นรอบครอบขึ้น
ความจริงที่ปรากฎก็จะมีแง่มุมต่างออกไปให้ใช้ประโยชน์ได้เหมาะสมขึ้นทุกข์น้อยลง
แนะนำว่า วินัยอย่างหนึ่งที่ควรฝึกให้มีจนเป็นปรกติ คือ
พิจรณาเห็นสรรพสิ่งตามเป็นจริงมีองค์ประกอบครบ 6 ข้อ
-----------
สรุป
1 อ่านหนังสือก็ฝึกอ่านพระไตรปิฎก จนอ่านง่าย
2 ต้องสนใจอ่านจากตัวเอง จึงเป็นการศึกษา(สิกขา)จริงๆ
3 ความสามารถพิจรณาเห็นตามเป็นจริง คือ วิปัสสนาญาณ
โดยปรกติเห็น สุข นิจจัง อัตตา แล้วก็ทำวิปัสสนาให้พิจรณาเห็นเป็น ทุกข์ อนิจจัง อนัตตา เพื่อให้ครบ6 แง่มุม
จึงเรียกว่าเห็นตามเป็นจริง หรือ เห็นที่ถูกต้อง หรือ เห็นพื่อหลุดพ้นจากความยึดมั่น
หรือ ญาณในความเห็นแจ้ง คือไม่มีกิเลสมาบังให้เห็นแต่ สุข นิจจัง อัตตา
เขียนจากประสพการณ์เรียนรู้ พร้อมตัวอย่าง3 อัน
ส่วนจะน่าสนใจไหม มันขึ้นกับตอนเอาไปทำ คือที่คุณถามมันทำให้คุณ งง เองเพราะไปมองมันยากๆ
ตำราดีสุด กว่าที่ผมเขียน คือพระไตรปิฎก เพียงแต่ว่าภาษามันจะพา งง แต่ภาษาทั่วๆไปก็ งง ได้ครับเพราะไม่มีมาตราฐาน
เช่นคำว่า
วิปัสสนึก คำนี้ไม่มีในพระไตรปิฎกคำจำกัดความเลยแล้วแต่จะอธิบาย
บางอันคือ วิปัสสนานั้นละครับ แต่คนอธิบายแยกออกมาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ไม่รู้หลายปีหลังมันมายังไง
-------------
หรือสมัยหนึ่ง
วิปัสสนา แปลว่า เห็นโดยวิเศษ มีหลายความหมายถ้าไม่ยึดตามพระไตรปิฎก เช่น
จะมีวิปัสสนาหาของหาย
นั่งทางในวิปัสสนาหาเลขหวย ก็ยังมี
ดังนั้นต้องดูว่าคนพูดจะหมายความว่าอะไร
---------------
ในพระไตรปิฎก คือความหมายหลักที่ควรจะใช้
วิปัสสนา แปลว่า ความเห็นแจ้ง คือเห็นตรงต่อความเป็นจริงของสภาวธรรม;
ปัญญาที่เห็นไตรลักษณ์อันให้ถอนความหลงผิดรู้ผิดในสังขารเสียได้,
https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%C7%D4%BB%D1%CA%CA%B9%D2
จุดประสงค์ของการการเจริญวิปัสสนา ทำเพื่อให้เกิด วิปัสสนาญาณ (ชื่อปัญญา)
คือการมีความคิดความเห็นตาม ความเป็นจริง คือสรรพสิ่ง สุข ทุกข์ นิจจัง อนิจจัง อัตตา อนัตตา
เพื่อให้คลายความยึดมั่น ถอนความหลงผิด ตัดปัจจัยหลักที่จะเกิดทุกข์ คือตัด ความยึดมั่นในตัวผู้ทำวิปัสสนา
คือ ขันธ์ 5 มีอยู่ครบ แต่ ความยึดมั่นในขันธ์5ไม่มี (อุปทานขันธ์5) ก็จะทุกข์น้อยลง
การแยกรูปนาม แยกองค์ประกอบของเจตสิกไม่ใช่สาระ
การแยกรูปนาม แยกองค์ประกอบของเจตสิก ไว้สำหรับฝึกพิจรณา แต่เวลาใช้จริง
ทุกข์มันไม่แยกรูปนาม มันมาพร้อมๆกันใน ขันธ์ 5
เจตสิกไม่ต้อง แยก ปนมาก็ทุกข์ได้ ไม่มีชื่อเรียกไม่ถูกก็ได้แต่รู้สึกทุกข์ได้
ดังนั้นแก้มันไปทั้งกอง(ขันธ์)รวมๆกันถ้าพิจรณาเป็นก็แก้ทุกข์ได้
อ่านรายละเอียดภาษาไตรปิฎกได้จากนี้
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=31&siri=20
-------------------
ในแง่ระดับฐาน สมาธิที่ใช้ ในพระไตรปิฎก ท่านพระอานนท์ สอนไว้แบบนี้ครับ
คือเป็นกิจกรรมในหมวดหนึ่งของสมาธิ ทำไปพร้อมๆหรือทำก่อนการฝึก สมถะสมาธิ คือสมาธิในรูปแบบสงบนิ่งได้เลย
สมาธิ ดูองค์ประกอบของจิต ไม่มีกำหนดเวลาไว้
การทำวิปัสสนามันมีองค์ประกอบโดยทั่วไปใช้ แค่
จิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อ.....
อ่านดูครับไม่ได้กำหนดอะไรมาก
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=7564&Z=7861
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น
เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อม
เกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ
ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นเมื่อภิกษุ
นั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ
ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป เมื่อภิกษุนั้น
เจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำ
ให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อม
ละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ......
-------------------
อธิบายตามพระไตรปิฎก
ถ้าคุณเข้าใจ วิปัสสนา กับสมถะ จะเข้าใจว่ามันเป็นของพื้นฐานคล้ายๆกันแค่ใส่เงื่อนไขวิธีใช้ เงื่อนไขวิธีปฎิบัติต่างกัน
สมถะ ในระดับมี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ถ้าเอาการ พิจรณาเห็นไตรลักษณ์ในสรรพสิ่ง เป็นวิตก วิจาร ก็เป็นวิปัสสนา ได้เลย ตามข้อมูลวิธีวิปัสสนาในพระไตรปิฎก
จึงเป็นสิ่งที่เจริญไป พร้อม หรือ อันใดก่อนหลังก็ได้ ดังนั้นวิปัสสนาไม่ถูกบังคับด้วยสมถะว่าต้องระดับไหน
และถ้าเคยทำแค่ พยายาม พิจรณา เห็น นึก คิด คำนวณ ถึงความไม่เที่ยง ทุกข์ อนัตตา ของเรื่องที่เกิดกิเลสเรื่องในมากพอ
จะได้ประโยขน์มากมากสามารถ ระงับกิเลสนั้นๆ ได้ในระดับหนึ่ง
ผมแน่ใจว่ามีคุณค่าควรเจริญ(ทำให้งอกงาม ทำให้มาก) ตามที่ท่านอานนท์สอนนั้นละครับ
ตัวอย่างง่ายๆไม่ต้องหลับตาทำสมาธิเลย
เห็นด้วยตาเนื้อง่ายกว่าแล้วค่อยไปพิจรณาเห็นด้วยปัญญาอีกรอบ
คือถ้าเห็นด้วยตาเนื้อ ด้วยสัมผัสจริงๆแล้วยังไม่พิจรณา ให้มานั้งหลับตาพิจรณาเองน่าะไม่ทำ
----------
ตัวอย่างที่ 1
ผู้ชาย(A)เจอสาวสวยในร้านเหล้าเลยหลงชอบสาว(ฺB)
แต่ไปสังเกตุว่า เธอเข้าห้องน้ำชายในร้านเหล้านั้น
เลยตามไปดูเห็นเธอยืน ฉี่ ด้วย กล้วยหอม (อาจเป็นเพราะเมาจึงลืมตัวไม่หลบไปฉี่ในห้องน้ำหญิงแบบปรกติที่เธอทำ)
ผู้ชายเลย พิจรณาเห็นว่า เธอไม่ใช่สาว แต่เป็นชายแต่งหญิง
ความหลงชอบก็จางลงทันที จะเริ่มเห็นตามเป็นจริงหรือมีอคติใหม่ก็ขึ้นกับฝึกฝนมา
อาจจะโกรธ สาว(ฺB) ขึ้นมาแทนหลงที่มาหลอกตน แต่ถ้ามีปัญญาอาจจะไม่โกรธคือเข้าใจว่าทำไม่เขาทำแบบนั้น
อาจจะโลภ มาแทนคือกะหลอกเอาเงิน สาว(ฺB) แต่ถ้ามีปัญญาอาจจะไม่โลภใของไม่ควรได้
หรือบางที่หนักสุด
ทั้งโลภ ทั้งโกรธ ทั้งแค้น (เห็นไหมว่ามันปนๆกัน)
นี้ละครับวิธีการมองเห็น การคิด การพิรณา ความไม่เที่ยง ความทุกข์ ความไม่ควรยึดเป็นตัวตน
แบบที่เอาไปใช้ได้เลยในชีวิตจริงๆ ปัญหาคือ ถ้าไม่มีสติกับสมาธิอยู่จะไม่ทำวิปัสสนาในทุกอย่างทุกเวลาได้
เช่น
ถ้าผู้ชาย(A)ตามตัวอย่าง 1 เมา แม้สติปรกติก็มีน้อย
ถึงจะเห็นกล้วยหอมแต่ก็อาจจะคิดว่าไปลองของแปลกก็ได้ เพราะหลงไปกับกิเลส
แล้วตื่นมามีสติก็จะคิดอีกแบบหนึ่งก็ได้ ว่าไม่น่าเลย
หรือ
หลงไปเลยติดใจก็ได้
คือถ้ายังทำวิปัสสนา กับสิ่งใดไม่ถึงระดับจะประมาท วนกลับไปที่ สุขมากไป ยึดเป็นอัตตามากไป ยึดว่าเทียงมากไป
กลับไปเห็นไม่ตามเป็นจริง แต่ถูกกิเลสปิดบัง หรือหลอกให้ หลงไปได้ หรือ ย้ายไปโกรธ ไปโลภ แทน
ถ้าเห็นด้วยปัญญา แต่แรก ผู้ชาย(A) ก็ไม่ไปดื่มเหล้าตั้งแต่แรก
โอกาสเจอสาวกล้วยหอม(ฺB) ก็ไม่มีตั้งแต่แรก
ปัจจัยให้เกิดทุกข์ในประเด็นตามตัวอย่างก็ไม่มีแต่แรก นี้คือ
ศีล (สิกขาที่ วิปัสสนามาดีแล้วว่าควรปฎิบัติ หรือ งดเว้นปฎิบัติ)
--------------
ตัวอย่าง 2
ธนบัตร 500 ไม่ใช่ ธนบัตร500 แต่ ธนบัตร500 บางวาระก็เป็น ธนบัตร 500 ?
วาระปรกติ
ธนบัตร 500 คือธนบัตร ใช้ซื้อความสุขได้
คนทั่วไปมีความรู้เรื่องไตรลักษณ์ วิปัสสนา ตามตำรา อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา ว่าคืออะไร
แต่แทบไม่มีผลอะไรกับ ธนบัตร 500 เลยทั้งในกระเป๋าตังและของคนอื่น
วาระ พิจรณาในทางธรรม
ถ้าบุคคลเริ่ม คิด พิจรณา สังเกตุ เรื่องไตรลักษณ์ เกี่ยวกับธรบัตร 500 ทำวิปัสสนา
ธนบัตร มันทุกข์ขาดได้ นำทุกข์มาได้ เป็นเหตุให้โดนปล้น เป็นเหตุให้ลำบากกายใจมากกว่าที่ควร
++ประเด็นแง่มุมต่างๆไปเรื่อยตามเวลาที่ใช้พิจรณา
ธนบัตร มันไม่เที่ยง (อนิจจัง)หายได้ทอนมาผิดก็ได้ ซื้อของผิดราคาผิดมูลค่าก็ได้ ปลอมได้
ยืมไปไม่คืนก็ได้ ไม่แน่นอนแปรปรวน ++...
ธนบัตร มันเป็น(อนัตตา) ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริงอยู่ในมือใครคนนั้นเจ้าของ เป็นของประกอบๆตามมูลค่าสมมุติเอาแน่นอนไม่ได้+++...
ธนบัติไม่เป็นธนาบัติแล้วมันเป็นไตรลักษณ์ด้วย เป็นเหมือนกับสรรสิ่งต่างๆ
วาระ ภาวนามยปัญญา คือมีปัญญาเห็นตามเป็นจริง มีวิปัสสนาอยู่ตลอด
ธนบัติ 500 คือ ธนบัติ 500 ตามที่มันเป็นจริงๆ
มีทั้งสมมุติว่ามีค่า นำสุขให้ ใช้จ่ายได้
มีทั้งวิมมุติ คือในสภาวะธรรมมีคุณสมบัติของ ไตรลักษณ์ เป็นเหตุเกิดทุกข์ร่วมด้วย
คุณจะไม่ยึดมั่นมัน
เพราะมันมีทั้งสุข และทุกข์ และ อุเบกขา คุณก็จะหลุดพ้น มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ลำบากใจ
เริ่มอิสระ จาก ธนบัตร 500 วาระปรกติ...ที่สุขอย่างเดียวเลยอยากได้มากๆ
คือใช้มันไปตามเหตุปัจจัย มีทั้งสุข ทุกข์ ค่อยๆฝึกฝนตนเพื่อให้เป็นอิสระ
ลดปัจจัย ลดเหตุให้ทุกข์
จนถึงขั้นไม่ต้องใช้มันก็ได้ เพราะมีวิธีอื่นๆในการดำเนินชีวิตที่ไม่ต้องใช้
ดังนั้นทุกข์ที่เกิดจาก ธนบัตร ก็จะไม่มาถึงอีก ทิ้งมันได้ ก็จะหลุดพ้นจากมัน ละได้
ธนบัตร500 ก็เป็น และไม่เป็น ธนบัตร 500 อีกต่อไป เห็นตามเป็นจริง
แต่ถ้าไม่ทำกับสิ่งอื่น ก็ยังติดยึดอาจเป็นที่ดิน เมีย ลูก เลยทุกข์ได้
ดังนั้น สติ และสมาธิ จึงสำคัณพระจะกำหนดให้สามารถพิจรณา ทำวิปัสสนาได้ตลอด
ปัจจัยให้เกิดทุกข์ก็จะน้อย
-------------
ตัวอย่างที่ 3 วิปัสสนาญาณ ที่พิจรณา กาย มี5ส่วนประกอบกัน(ขันธ์5)
แยกพิจรณาก็ได้ พิจรณารวมๆก็ได้ มันขึ้นกับ พิจรณาเห็นอะไร
ตัวอย่าง 3 คู่แบบดู กาย ในองค์ร่วมเรียกว่าไม่กำหนดประเด้นพิจรณา
1.1 พิจรณาเห็น สุข ใช้กายนี้กิน ทำกิจกรรมต่างๆได้เป็นปรกติมีสุข++
1.2 พิจรณาเห็น ทุกข์ ป่วยไข้ เจ็บก็ไม่อยากให้เป็นทรมาณ ลองตีตัวเองดู++
2.1 นิจจัง เที่ยงแท้ของกายคือมันมีปรกติตื่นนอน ไม่สามารถหลับไปได้ตลอด กินก็ต้องอึ มีวาระที่ปรกติไม่เจ็บป่วยไข้ แน่นอนสักวันต้องตาย++
2.2 อนิจจัง แปรปรวน คุณไม่สามารถกำหนดเวลาอึ เวลานอนได้ตรงตลอดชีวิต กำหนดให้ไม่ป่วยไปตลอดได้มันต้องมีไม่ปรกติ ไม่แน่ว่าจะตายเมื่อไหร่++
3.1 อัตตา ความเป็นตัวตนคุณยกแขนดู แขนยกมันอยู่ในบังคับของคุณ คุณเซ็นเอกสารกู้เงิน ลายเซ็นนั้นคือคุณ ++
3.2 อนัตตา คุณกำหนดไม่ได้ให้ผมไม่ขาวหน้าไม่เหียว ไม่มีเหงื่อ ตดไม่เหม็น อึหอม ทั้งๆที่มันก็ตัวคุณ ++
แล้วพิจรณาองค์รวม 1+2+3 ในหลายๆแง่มุมเพื่อเห็นตามเป็นจริงว่ากายนี้
บางทีก็ทนง่ายสนุก (สุข) บางทีก็ทนยากร้องไห้(ทุกข์)
บางที่ก็แน่นอนลงไปอย่างหนึ่ง จำได้แม่นเลย (นิจจัง) แต่ก็แปรปรวนไม่แน่นอนด้วยไปในตัว แต่พอทำขอสอบดันจำไม่ได้ (อนิจจัง)
บางที่ก็เป็นเรา (อัตตา) บางที่ทั้งๆทีคิดว่าเป็นเรากลายเป็นของยืมมาคือมันไม่เป็นของเราสักทีเดียว(อนัตตา)
เน้นพิจรณาเห็นเป็น ทุกข์ อนิจจัง อนัตตา
เพราะปรกติเราพิจรณากายเป็น สุข นิจจัง อัตตา โดยปรุงแต่งในด้านนี้เป็นหลัก
ต้องเน้นไปอีกทางเพื่อให้เห็นชัดลงไปครบทุกแง่มุม จึงเห็นตามเป็นจริง
พิจรณาไปเรื่อยๆจนสามารถเห็นและใช้ กาย ไปตามที่ควรจะเป็น
ไม่ต้องหวงมันแต่ก็ต้องดูแลมัน ไปตามเหตุปัจจัย ตามที่เป็นจริงพอดีๆ
เห็นครบ6ข้อ จึงเลือกใช้ได้ โดยใช้ให้ไม่เกิดทุกข์
-------------------
โดยในศาสนาพุทธพอดี ฆาราวาสคือศีล สงฆ์คือวินัย
ต้องเจตนางดเว้นเอง บังคับตัวเอง
เพื่อให้มีปรกติไม่ต้องบังคับตัวเองในเรื่องใดๆก็ตาม ให้อยู่ในกรอบ ศีล วินัย
แล้วจึงยกระดับขึ้นไปเรื่อยๆตาม ธรรม ในหมวดอื่นๆโดยการำเนินชีวิตต้ิง พิจรณาเห็นสรรพสิ่งตามเป็นจริงมีองค์ประกอบครบ 6 ข้อตามองค์ความรู้ที่มีในวาระนั้นๆพอทำบ่อยๆจนเกินความชำนาณความรู้จะเพิ่มมาเอง
หรือ
มีเหตุให้มาเองเช่น อ่านพบข้อมูลฃ มีคนสอน ก็จะยกระดับการพิจรณาไปได้ละเอียดขึ้นรอบครอบขึ้น
ความจริงที่ปรากฎก็จะมีแง่มุมต่างออกไปให้ใช้ประโยชน์ได้เหมาะสมขึ้นทุกข์น้อยลง
แนะนำว่า วินัยอย่างหนึ่งที่ควรฝึกให้มีจนเป็นปรกติ คือ
พิจรณาเห็นสรรพสิ่งตามเป็นจริงมีองค์ประกอบครบ 6 ข้อ
-----------
สรุป
1 อ่านหนังสือก็ฝึกอ่านพระไตรปิฎก จนอ่านง่าย
2 ต้องสนใจอ่านจากตัวเอง จึงเป็นการศึกษา(สิกขา)จริงๆ
3 ความสามารถพิจรณาเห็นตามเป็นจริง คือ วิปัสสนาญาณ
โดยปรกติเห็น สุข นิจจัง อัตตา แล้วก็ทำวิปัสสนาให้พิจรณาเห็นเป็น ทุกข์ อนิจจัง อนัตตา เพื่อให้ครบ6 แง่มุม
จึงเรียกว่าเห็นตามเป็นจริง หรือ เห็นที่ถูกต้อง หรือ เห็นพื่อหลุดพ้นจากความยึดมั่น
หรือ ญาณในความเห็นแจ้ง คือไม่มีกิเลสมาบังให้เห็นแต่ สุข นิจจัง อัตตา
แสดงความคิดเห็น
วิปัสนา คืออะไรครับ?