ลาก่อน ฮัลโหล ๆ 1 2 3 4 5 1 2 3 4 5

เช้าแรกวา(วันก่อน) เดินออกจากบ้าน
ว่าจะไปหาอาหารเช้ากินสักหน่อย
เหลือบมองไปที่บ้านหลังหนึ่ง
ที่เคยเป็นร้านค้าขายเครื่องเสียง เครื่องซักผ้า
พัดลม ทีวี ติดตั้งดาวเทียม ติดตั้งระบบเสียง
เห็นลูกชายเจ้าของร้านกำลังทำความสะอาด
ป้ายหน้าร้านหลังจากที่รื้อตัวอักษรชื่อร้านออก
หลังจากตรุษจีนเพียงไม่กี่วัน

ภาพความทรงจำเก่า ๆ เลยพรั่งพรูออกมา
ปกติป้ายร้านค้าคนจีนจะไม่ยอมรื้อออกเด็ดขาด
ถือว่าเป็นเรื่องเสียเหลี่ยมเสียศักดิ์ศรีในอดีต
แบบแพ้หรือหมดทางต่อสู้อีกต่อไปแล้ว
ดังนั้น  บางร้านจะไม่ยอมยกป้ายลง
แม้ว่าจะไม่ได้ทำกิจการดังกล่าวอีกแล้ว
เว้นแต่จะย้ายบ้านหรือย้ายถิ่นฐานไปที่อื่น

คล้าย ๆ กับหนังจีนหมัดมวยต่าง ๆ
มักจะเตะป้ายชื่อสำนักหมัดมวยที่แพ้ทางมวยทิ้ง
ถ้าเกิดชกต่อยแพ้ขึ้นมา หลังการประลองยุทธ์
เป็นการหยามศักดิ์ศรีและทำลายเกียรติประวัติ
รวมทั้งจีนในอดีต มักทุบป้ายร้านค้าทิ้ง
ถ้าไม่ยอมส่งส่วยหรือยอมเป็นเมืองขึ้นเจ้าพ่อ
.



.
มีข้อสังเกตว่า
การทำป้ายชื่อร้านในไทย
จะต้องให้อักษรไทยนำหน้า
และมีขนาดใหญ่กว่าภาษาต่างด้าว
จึงจะเสียภาษีป้ายถูกกว่ามาก
เพราะรัฐนิยม มาลาไทย สู่มหาอำนาจ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ได้วางหลักเกณฑ์ไว้
ทำให้ถือปฏิบัติกันสืบต่อกันมา
ไม่เคยคิดจะแก้ไขหรือพัฒนา
ให้เข้ากับวาทกรรม/วาระแห่งชาติ
คนไทยต้องรู้ภาษาต่างชาติอย่างน้อย 1 ภาษา
แม้ว่าจะเข้าสู่ยุค Digital 
ก็ยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างเหนียวแน่น
แบบการทำงานในยุค Analog
.


.
จขกท. ยังจำได้ดีว่า
ในสมัยไปเรียนที่ กทม.
เพื่อนมีวิทยุ Transitor ไว้ฟังเล่น
เครื่อง Made in Thailand ราคา 800 บาท
ยุคที่ทองคำบาทละไม่เกิน 2,500 บาท
ยังสามารถนำไปจำนำได้
โรงรับจำนำรับครั้งละไม่เกิน 200 บาท
ก่อนที่จะไม่มีโรงรับจำนำ
แห่งไหนรับจำนำวิทยุพวกนี้อีก
หลังจากนั้นอีกราวไม่กี่ปีต่อมา

ยุคนั้น เรียกว่า ใครซ่อมวิทยุ โทรทัศน์ เป็น
จัดว่า เมพ (เทพ) มากเลยทีเดียว
พอ ๆ กับช่างซ่อม Computer ในยุคก่อน
ที่แก้ไข Autoexec.bat
ให้เครื่องระบบ Dos ทำงานได้
หรือติดตั้งโปรแกรมที่ใช้แผ่น Floppy Disk ได้
หรือให้เครื่องสั่งพิมพ​ได้ในยุคอดีต
หรือประกอบคอมพิวเตอร์ได้

ส่วนที่เรียนที่สอนการซ่อมวิทยุ โทรทัศน์
ในยุคนั้นมีโรงเรียนสอนซ่อมวิทยุ โทรทัศน์
จะมีแต่ที่กรุงเทพมหานครเป็นแหล่งใหญ่
และโรงเรียนเทคนิคในบ้านนอกเพียงไม่กี่แห่ง
ส่วนบ้านนอก ถ้ายังไม่มีโรงเรียนสอน
ก็ตัองเป็นลูกมือเจ้าของร้านไปก่อน
หรือเรียนแบบครูพัก ลักจำเอา
เรียกว่า/จัดว่า เป็นวิชาชีพขาดแคลน/หายาก

จขกท. ก็เคยไปเรียนวิชาซ่อมวิทยุที่ กทม.
ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย และว่างตอนเย็น
ก็ต้องหัดเรียนจากวิทยุหลอดก่อน
แล้วจึงไปหัดเรียนการซ่อมวิทยุทรานซิสเตอร์
จบจากนี้ จึงไปเรียนต่อซ่อมโทรทัศน์
แต่เพราะเริ่มทำกิจกรรมมหาวิทยาลัย
เลยจัดสรรเวลาไม่ได้ จึงเลิกเรียนไป
พร้อมกับความรู้คืนครูไปหมดแล้ว

ทุกวันนี้ ธุรกิจวิทยุ TV นี้ถูก Disrupt ไปแล้ว
แบบเสียไม่ซ่อม ซื้อใหม่ ถูกกว่า ดีกว่า
ยกเว้นแต่บางรุ่น ที่บางร้าน ยังรับซ่อมอยู่
สำหรับรุ่นที่จัดว่าแพง หรือมีคุณค่าทางจิตใจ

เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายอย่าง
ถ้าเสียแล้วมักจะไม่ซ่อมกัน
เพราะราคาของใหม่น่าจะคุ้มกว่าซ่อม
เซนเซญี่ปุ่น บอกมาตรฐานญี่ปุ่นว่า
ถ้าราคาค่าซ่อมไม่เกินกว่า 30-40% ของใหม่
พอยอมรับเรื่องค่าซ่อมได้

ที่ทราบจากช่างพัดลม คือ
มีพัดลมรุ่นเก่ามากของมัศยิศแห่งหนึ่ง
ขอให้ซ่อมขึ้นมาใหม่
แกบอกเองว่า แพงกว่าซื้อใหม่มากนา
ทางนั้นบอกยอม ซ่อม ๆ ไปเถอะ
เพราะถ้าซื้อของใหม่ดูไม่เข้ากัน
กับไปกันกับของเก่าที่มีอยู่แล้ว
.



.
ที่กรุงเทพฯ
จขกท. มีเพื่อนที่มาจากหาดใหญ่
หลังจากจบการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 3
จากโรงเรียนเดียวกันที่เรียนร่วมกันมา 10 ปี
เพราะที่บ้านแกเลิกกิจการขายเครื่องเสียงแล้ว
แบบขายแข่งกับสินค้าชายแดนไม่ไหวแล้ว

พ่อแกให้มาเปิดธุรกิจ SMEs
เป็นโรงงานขนาดเล็ก
ใช้อาคาร 4 ชั้น แถวเสาชิงช้า
โดยมักจะทำงานกันในตอนกลางวัน
Screen หน้าปัดวิทยุ ส่งแถวบ้านหม้อ
หรือโรงงานที่ซื้ออะหลั่ยจากฮ่องกง ไต้หวัน
มาผลิตเครื่องเสียง Brand ต่าง ๆ ขายกัน
แรก ๆ ผลงานก็ไม่ค่อยดีเท่าใด
แต่จากปริมาณสู่คุณภาพ
คือ การทำหลาย ๆ ครั้ง
ก็เกิดความชำนาญ/เก่งขึ้นมา
แบบกฏ Dialectique ของ Communist

เพื่อนพ่อแกคนหนึ่งดีมากได้แนะนำว่า
ให้ทำตัวหนังสือใหญ่ ๆ ใหญ่มาก ๆ
ใหญ่แบบ Jumbo ไปเลยเท่าหน้าหนังสือพิมพ์
เวลาไปถ่ายย่อส่วนลงขนาดหน้าปัดวิทยุ
เพื่อทำ Silk Screen หรือแผ่น Master
เพื่อพิมพ์ตัวอักษร จะคมชัดมาก

ทุกวันนี้ แกย้ายโรงงานไปที่ชลบุรีแล้ว
แต่รายรับลดลงตามธุรกิจที่ Sunset
โดยรับ Screen หน้าปัดเครื่องจักร
เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อีเลคโทรนิค

ก่อนที่ จขกท. จะกลับมาที่บ้านเกิด
ยังทันเจอน้องชายของแกที่เครียดมาก
เพราะไปทำผู้หญิงท้อง/กังวลมาก
อยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะ เอาลูกออกหรือไม่
เพราะแกกลัวบาป/กลัวพ่อแม่รู้
เพราะเพิ่งจะจบ มศ.3
ทั้งผมกับเพื่อนพี่ชายแก
ต้องคอยพูดคุยและปลอบใจแก

หลายปีก่อน
เพื่อนพี่ชายแกคนนั้น
ได้พบเจอแกกับลูกสาววัยกลางคนแล้ว
กำลังนั่งเล่นที่ศูนย์การค้าแถวรังสิต
ก็ยังจำได้/ทักทาย/พูดคุยเพราะรู้จักกันมาก่อน
ก็รู้ว่าแกแต่งงานแล้ว และมีลูกคนนี้ทันใช้แล้ว
.


.
เรื่องมีลูกทันใช้
ทำให้นึกถึงตอนเรียนต่อที่บ้านนอก
พวกผมกลุ่มเพื่อนสนิทกัน 5 คน
แต่งงานและมีลูกกันก็ตอนอายุ 30 กว่าแล้ว
ลูก ๆ ทุกคนก็เพิ่งจะเรียนชั้นอนุบาล/ประถม

รุ่นพี่คนหนึ่งเป็นนายอำเภอแห่งหนึ่ง
บอกว่าลูกสาวแกจบ ปวช. แล้ว
ตอนนี้กำลังจะเลือกเรียนต่อหรือหางานทำ
เพราะแกแต่งงานตอนอายุ 18 ปี

จ่าจังหวัด(เลขาผู้ว่าราชการจังหวัด)
คงฉุนขึ้นมาเหมือนกัน เพราะลูกก็ยังเล็กอยู่
เลยสวนไปว่า เบร่อมันคึก เอากันตั้งแต่เด็ก ๆ
จบข่าว แยกย้ายกันไป ไม่พูดกันอีกแล้ว
.



.
ในช่วงปี 2527
จขกท. ไปทำงานที่ทิดพาไน สาขาปาดังเบซาร์
เงินเดือนตอนทดลองงานแค่ 2,700 บาท
แต่สินค้าที่ฝั่งมาเลย์ถูกกว่าของไทย
ที่เสียภาษีถูกต้องไม่น้อยกว่า 3-5 เท่า
วันหยุดถ้าไม่กลับบ้านที่หาดใหญ่
หรือช่วงพักกลางวันราว 1 ชั่วโมง
จขกท. จะไปเที่ยวเมืองนอกที่อยู่ติดกับไทย
ระยะทางไปกลับจากที่ทำงานราว 3 กิโลเมตร

ขับรถเครื่อง (จักรยานยนต์) ไปดู/ซื้อสินค้า
ของชิ้นสองชิ้นด่านศุลกากรมักอนุโลมให้
เพราะดูหน้าตาก็ไม่ใช่พวกขาประจำ
ที่มาซื้อเพื่อไปขายต่อให้กับคนอื่น

บางทีก็กินข้าวที่มาเลย์ (ไม่อร่อยเลย)
แต่ถูกมากเพราะแค่ 1 ริงกิต ราว 10 บาท

การเข้าออกชายแดนไทย-มาเลย์
ในยุคนั้นง่ายมาก ไม่เข้มงวดทั้งสองฝั่ง
แต่ต้องกลับออกมาก่อนด่านปิด
ถ้าปิดแล้วต้องเดินออกมาตามรางรถไฟ
บางทีเจอตำรวจไทย หรือ Combat มาเลย์
ส่วนมากบอกมางานศพ งานแต่งงาน งานวัด
ที่มักจะมีบ่อยทั้ง 2 ฝั่ง ก็มักจะหยวน ๆ
ไม่เคร่งครัดแบบเอาเป็นเอาตาย

แต่หลังปี 2547
ที่มีการปล้นปืนเกิดขึ้นในค่ายทหาร
กลัวโจรแขกแบ่งแยกดินแดนชายแดนใต้
นุ่งโสร่ง/นุ่งกางเกง เดินเข้าเดินออก
เลยมีมาตรการเข้มข้นขึ้นกว่าเดิมมาก
กลัวพวกโจร 2 สัญชาติหลบไปหลบมา
.



.
ในยุคนั้นจะมีกองทัพมด
แรงงานรายย่อยเยอะไปหมด
ที่ขนสินค้าจากมาเลย์มาขายในหาดใหญ่
มีชุดใหญ่ชุดหนึ่ง มีคนไม่ต่ำกว่า 200 คน
เจ๊ยิน ลูกสาวเหล้าขาว เจ้ามือหวยมาเลย์
เพื่อนซี้ต่างวัยมักตามตัวจขกท.ไปกินเหล้าด้วย
ขนาด จขกท. นั่งคุยอยู่กับ หลวงวัลลภ
เจ้าอาวาสวัดปาเบซาร์ น้าชายเพื่อนรุ่นน้อง
แกยังออกปากและดึงตัวให้ไปกินเหล้าด้วย
แบบไม่เกรงใจพระภิกษุเลย
(มีใน Bloggang Ravio
ชีวิตชายแดนปาดังเบซาร์)

เจ๊ยิน แกเป็นเจ๊ใหญ่คุมลูกน้องพวกนี้
เรียกว่า ขนของกันมันหยดติ๋ง ๆ เลย

มีการจัดขบวนขนของเป็นระบบ
มีหน่วยสอดแนม หน่วยแจ้งเตือนภัย
หน่วยขนส่ง ที่ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน
มีการกะเวลาถึงที่หมายแต่ละจุด
ไม่ต่างกับระบบ Logistic ในทุกวันนี้

หน่วยสอดแนม
ถ้าเห็นนายด่านศุลกากร หรือตำรวจ
จะใช้วิทยุตำรวจ (เวลาใช้ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ
เพราะจับได้โทษหนัก พอ ๆ กับพกอาวุธปืน)
หรือใช้เสียงนกหวีดเป่าแจ้งเตือน
จะมีพวกทำตัวเป็นชาวบ้าน
ขับรถเครื่องออกไปจากที่นั่น
เวลาเจ้าหน้าที่สอบถาม
ก็บอกเพิ่งมา/จะไปทำธุระที่อื่น
เพื่อขับไปบอกว่า ทางไม่สะดวก
จะได้หยุดรอก่อนจนกว่าเจ้าหน้าที่จะกลับไป

ถ้าทางปลอดโปร่ง จะมึรถกะบะคลุมผ้าใบสีดำคนพื้นที่รู้เลยว่า หยบ(หลบ)หน่อยของจริงมา
รถนี้มักจะตีรวดเดียวเข้าหาดใหญ่
กระจายสินค้าตามสันติสุข/เฉลิมไทย/แผงทอง

ถ้ามีข่าวว่า จะมีการดักจับรายทาง
ก็จะมี Hub ฝากของไว้ก่อนค่อยขนวันหลัง
หลังจากเลิกด่านหรือลดความเข้มงวดลง

พวกนี้ขับรถกะบะได้เร็วมากและฝีมือดีมาก
มีครั้งหนึ่ง รถกะบะกองทัพมดคันหนึ่ง
ชนรุ่นน้องที่ทำงานที่เดียวกันที่หาดใหญ่
ตอนหัวค่ำขณะที่แกขับรถเครื่องอยู่
แถวโรงเรียนแสงทองวิทยา
ใกล้ถนนเลียบคลองเตย
ซึ่งเป็นทางลัดไปได้หลายทางมาก
พอชนเสร็จ คนในรถกะบะยังมีน้ำใจ
อุ้มแกขึ้นรถ ส่งโรงพยาบาลสงขลานครินทร์
ก่อนหายไปในสายลม ไม่รู้ว่าเป็นใคร

ผลคือ เพื่อนรุ่นน้อง
หัวกะโหลกด้านขวายุบตัวลง
เพราะต้องควักเนื้อเยิ่อสมองออกมา
แล้วรออีก 6 เดือน
ค่อนผ่าตัดใส่แผ่นเหล็กลงไปปิดกระโหลกเดิม
ให้เหมือนหัวกระโหลกคนทั่วไป

หลังจากผ่าตัดเสร็จไม่นานนัก
แกคำนวณ/ดูภาพในห้องเล่นหุ้นได้เร็วมาก
แบบมองปราดเดียวรู้เลยว่า
วันนี้ ตลาดจะไปทิศทางใด
น่าจะมีการปั่นหุ้นตัวใดบ้าง
จะได้เข้าไปร่วมวงไพบูลย์ทำกำไร
แกเลยลาออกจากบริษัท Broker ที่ทำงานอยู่
มาเป็นนักลงทุน/นักปั่นหุ้นรายใหญ่
ถามคนในวงการร้อง อ๋อ ทุกคน
เลยมีคนแซวกันว่า
อยากเก่งก็ไปควักสมองออกมาแบบคน ๆ นี้
.



.
ที่ปาดังเบซาร์
คนพื้นที่จะโกรธมาก 
ถ้าเรียกของหนีภาษีว่า ของเถื่อน
เจ๊ปราณี คนรู้จักมักคุ้นกันมาก
บอกถ้าเรียกกันแบบนี้
แสดงว่าคนที่นี่เป็นคนเถื่อนหมดเลยหรือไง
เรียก  ของหนีภาษี  ยังพอทนรับฟัง

เพราะสินค้าปาดังเบซาร์
มีทั้งถูกกฎหมายผ่านพิธีการศุลกากร
ที่นี่มี Shipping ทำงานหลายคนเลยทีเดียว
เพราะมีการส่งออกยางพาราจากไทย
เพื่อไปลงเรือที่ปัตเตอร์เวอร์ธ-ปีนัง
ก่อนขนส่งไปประเทศที่สั่งซื้อมา

มีการนำเข้าสินค้า เช่น
เครื่องจักร สินค้าบางอย่างจากต่างประเทศ
ให้ส่งทางเรือมาขึ้นที่ปีนัง
ก่อนจะนำเข้าเมืองไทยต่อไป

รวมทั้งสินค้าบางอย่าง
นายทุนบางรายยอมเสียภาษีแพงมาก
เพื่อได้ใบขนสินค้าที่ถูกกฎหมาย
ในการนำสินค้าไปขายทั่วราชอาณาจักร
จากนั้นก็นำใบอนุญาตฉบับนั้น
ไป Reuse รีรีข้าวสารหลายครั้ง
คือ ใช้สินค้าที่ไม่เสียภาษี
มาสวมใบอนุญาตดังกล่าว
กว่าเจ้าหน้าที่จะจับได้ว่า
ใช้ขนของ/สวมรอยหลายครั้งแล้ว
จนต้องแก้ไขให้ระบุปลายทาง
และวันหมดอายุในใบอนุญาตดังกล่าว

ดังนั้น คำสุภาพที่หวานหู
ต้องเรียกว่า สินค้าชายแดน
เพราะไม่ระบุชัดเจนเลยว่า
ถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย
.



.


สินค้าพวกเหล้า พวกบุหรี่ ในมาเลย์ถูกฝุด ๆ
บุหรี่ Winston Malboro Camel
ตอนนั้นแถวละ 100 บาท
หนึ่งแถวมี 10 ซองเฉลี่ยซองละ 10 บาท
ของชายแดนราคาแกว่งที่ 90-120 บาท

บางคนบอกของนอกปลอม 
เพราะมีโรงงานผลิตที่สิงคโปร์ มาเลย์
แต่คนสูบบ้าน ๆ มักแยกแยะไม่ออก
เพราะบุหรี่สูบแล้วก็คือ บุหรึ่นอก
ทั้งราคาต่อซองยังถูกกว่าบุหรี่ไทย
ที่ราคา 15-20 บาทในช่วงนั้น
คนสูบบ้าน ๆ ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว


แต่เหล้าที่มาเลย์ถูกกว่าไทยมากจริง ๆ
เพราะขายกันเป็นขวดลิตร 1,000 ซีซีทุกขวด
ไม่ใช่แบบไทยที่อย่างมากก็ 750 ซีซี

แต่เหล้าทุกชนิดกินแล้วเมา
ถ้าไม่เมา ยอมคืนเงินให้เลย
เจ้าของร้านเหล้าชายแดนในหาดใหญ่บอก


เหล้าปลอมที่เคยจับได้ที่หาดใหญ่
มีนายทุนมาเลย์เช่าบ้านในหมู่บ้านคนมีตังค์
ที่มีรั้วลอบขอบขิด มีรปภ. กันคนนอกเข้า
แล้วตั้งโรงงานผลิต SMEs
ผลิตเหล้าตีตราดัง ๆ พวก Red Black Chivas
มีกล่อง มีขวด มีชีล เหมือนของแท้ทุกประการ
โดยหาหัวเชื้อเหล้าจากโลกใต้ดิน
ทำการผสมกับ Alcohol ถังใหญ่ ๆ
กรอกใส่ขวดแล้วส่งขายทั่วประเทศ

บางคนบอกเหล้าปลอม
ให้เขย่าขวดก่อนเปิด
เขย่าขวดแล้วถ้ามีฟองอากาศเล็ก ๆ
หรือดื่มแล้วรสชาติผิดเพี้ยนมากกว่าปกติ

แต่เจอบางคนสวนกลับว่า
คงเคยดื่มแต่ของปลอม เลยว่าไม่ใช่ของจริง
เพราะหิ้วมาจากเมืองนอก/ร้าน Duty Free
จะปลอมได้อย่างไรกัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่