"แซม ยุรนันท์" เผยเคยหนีออกจากบ้าน เพราะอยากลองทำงานในวงการบันเทิงสักครั้ง


จุดเริ่มต้นของการเข้าวงการบันเทิง?

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมมันไม่ได้ถูกวางไว้ก่อนสักเรื่อง มันมาจากโอกาสที่มาถึงแล้วก็เลือกที่จะหยิบโอกาสนั้น แล้วก็ทำ และพัฒนา อย่างผมไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะเป็นนักแสดง เพราะไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนหน้าตาดี และไม่เคยมีใครมองว่าหน้าตาดีเลย อยู่ที่โรงเรียนก็ไม่เคยทำกิจกรรมอะไร

จนกระทั่งตอนอายุ 16 มีคนบอกว่าผมหล่อ คือรูปพรรณสัณฐานตอนเด็กๆ คำจำกัดความที่แม่บอกคือ ผมเหมือนฝรั่งแก่ๆ คนหนึ่ง (หัวเราะ) ไม่ใช่ฝรั่งปกตินะ คือฝรั่งแก่ๆ คุณลุงเชยๆ ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย


แล้วก็คิดว่าอายุ 16 ตัวเองจะตาย ซึ่งไม่รู้มีความคิดอย่างนั้นได้ไง ใครถามโตขึ้นจะเป็นอะไร ก็ไม่ได้แพลนว่าตัวเองจะเป็นนู้นเป็นนี้ แต่รู้สึกว่าฉันมีความรู้สึกว่า 16 ฉันจะตาย รู้สึกเหมือนเราจะมีอายุอยู่แค่ 16 เอง (หัวเราะ)

พออายุ 16 กลับเป็นคนดูมีชีวิตชีวาขึ้น แล้วเวลาไปนอกบ้านคนชอบชวนไปถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา บางทีขับรถอยู่ สาวๆ ขับรถปาดหน้าแล้วชวนขึ้นรถ เฮ้ย มันมีแบบนี้ด้วย (หัวเราะ) หนักสุดคือเดินอยู่ข้างถนนกับเพื่อนแถวราชเทวีก็มีคนตะโกนเรียกจากบนรถเมล์ แล้วชวนไปเล่นหนัง ตกใจมากว่าเขาชวนเล่นหนังแบบนี้เหรอ

เราก็ถามเขาว่าเล่นหนังอะไร เขาบอกมีนางเอกเป็น จารุณี สุขสวัสดิ์ นะ ก็เลยไปขอพ่อ พ่อไม่ให้กลัวจะไม่เรียนหนังสือ กลัวจะหลงระเริง พ่อไม่อยากให้อยู่บันเทิง แต่แม่เป็นอดีตนางสาวไทย มันไม่บันเทิงตรงไหน (ยิ้ม)
แต่เราอยากทำแค่อยากไปลองดู เพราะมันเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับเรา แต่เหตุผลของพ่อก็ไม่ผิดนะเพราะพ่อเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการศึกษา ก็มองว่าการไปเต้นกินรำกินอย่างนี้มันไม่ใช่

สมัยนั้นเราเป็นเด็กที่อาจจะไม่ได้หัวรุนแรงมากแต่จะต้องชัดเจนในเหตุและผล เมื่อพ่อไม่ชัดเจนแบบนี้เลยออกจากบ้านไป ไปทั้งๆ ที่ทำอะไรไม่เป็นเลย ขึ้นรถเมล์ก็ไม่เป็น (หัวเราะ)

พอออกจากบ้านก็ไปอาศัยอยู่กับคุณป้าอยู่แถวปากเกร็ด ที่เมื่อ 40 ปีก่อนมันคือไกลมาก เป็นถนนลูกรัง ต้องนั่งรถเมล์ ฝนตกก็เปียกฝน ตอนนั้นก็เศร้าเหมือนกันนะ แต่ท้อไม่ได้ มันมีแรงบันดาลใจว่าต้องทำให้ได้นะ

ก็เริ่มไปเล่นหนัง ตอนนั้นอายุ 17 ก็ไปเล่นหนังทั้งๆ ที่ไม่มีผู้จัดการ ไม่มีคนสอนการแสดง ไปที่กองคนเดียว แต่ก่อนหนังจะออกถ่ายแม็กกาซีนเยอะมาก มานั่งคิดๆ ดูก็เหมือนเราตายไปแล้วจริงๆ นะ การออกมาจากบ้านเป็นเหมือนการเริ่มชีวิตใหม่จริงๆ"

จากชีวิตคุณหนูออกมาทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง เป็นอย่างไรบ้าง?

"ชีวิตมันเปลี่ยนไปเลย เงินที่ได้มาต้องทำอะไรบ้าง จัดการอะไรบ้าง ทำงานสมัยก่อนลำบากเรื่องการนัดคิวกัน มันไม่ได้ง่ายเหมือนสมัยนี้นะ ต้องนัดกันล่วงหน้า และเราก็ไม่มีผู้จัดการคอยรับงานให้ ถ่ายแม็กกาซีนเยอะมาก ถ่ายโฆษณาไปเรื่อยๆ หนังก็ยังไม่ออกฉาย

ก็คิดว่าพ่อยังไม่รู้ผลลัพธ์ว่าที่เราทำมันจะเป็นยังไง แล้ววันหนึ่งด้วยความบังเอิญ หม่อมเจ้าทิพยฉัตร ฉัตรชัย กำลังจะสร้างหนังใหม่ ปั้นพระเอกใหม่ ซึ่งหลายคนใฝ่ฝันอยากจะเล่นหนังกับท่านเยอะ และเราได้รับโอกาสนั้นแบบฟลุกๆ เลยได้มาเล่นหนังเรื่องค่าแห่งความรักครับ


ซึ่งพอรู้ว่าตัวเองได้เป็นพระเอก ก็ตกใจว่าคนนี้คือท่านทิพย์เหรอ คือสมัยก่อนไม่มีโลกออนไลน์แบบนี้ เราไม่รู้หรอกว่าหน้าตาท่านเป็นยังไง แต่เคยได้ยินชื่อ ใครจะคิดแค่เข้าห้องน้ำแล้วเจอกันจะได้เป็นพระเอกหนัง ใครจะคิดว่าเดินอยู่ข้างถนนแล้วคนมาชวนเป็นพระเอก (หัวเราะ)

ถึงได้บอกว่ามันเป็นโอกาสของคนที่มันเข้ามาแล้วจะหยิบเอาโอกาสนั้นมั้ย พยายามทำให้ดีมั้ย ตอนนั้นความพยายามของผม มันเป็นการพยายามที่ไม่ได้มีใครมาต่อยอดให้เรา มันไม่ได้มีโรงเรียนการแสดง พยายามด้วยตัวเอง มันก็ได้ประมาณหนึ่ง เราก็เลยต่อยอดจากวงการบันเทิงมาเรื่อยๆ เล่นนู้นเล่นนี้จากที่แค่จะเล่นเรื่องเดียว

ก็คิดนะถ้าวันนั้นพ่อยอมให้เล่นหนังอาจจะจบแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว และก็เป็นไปตามแพลนที่พ่อวางไว้ก็ได้ แต่วันนั้นมันทำให้เห็นว่าจริงๆ สิ่งที่พ่อพูดมันก็ไม่ผิดนะ แต่สิ่งที่เราพูดมันก็ไม่ผิดด้วย เพราะวัยที่มันห่างกันมาก ตอนที่พ่อมีผม พ่ออายุ 60 แล้ว อายุมันห่างกัน

คือพ่อมีลูกโตแล้วหลายคนแต่ผมเป็นลูกคนเล็ก ท่านอาจจะผ่านการสอนการเห็นว่าอะไรผิด อะไรถูกมาเยอะ ก็ไม่ได้ผิดนะ เพราะพ่อหวังดี แต่ตอนนั้นผมกำลังเป็นเด็กวัยรุ่น มีความคิดของตัวเอง พ่อไม่มีสิทธิ์มาปิดกั้นความคิดเรา ตอนนั้นคิดแค่นั้น"

พอผลงานเริ่มออกคุณพ่อว่าอย่างไรบ้าง?

"คุณพ่อเสียตอนผมอายุ 19 ครับ เพิ่งเริ่มต้นเอง ตอนนั้นก็มีผลงานออกมาแรกๆ แล้วแหละ จริงๆ แม่รู้นะ แม่ก็แอบซัพพอร์ตบ้าง แต่แม่ก็รู้ว่าลูกหัวดื้อตั้งแต่สมัยเด็กๆ ถ้างอนกับแม่คือไม่พูด จนพ่อต้องมาบอกผมว่าให้พูดกับแม่หน่อยนะ จะเอาอะไรเดี๋ยวพ่อให้ เป็นถึงขั้นนั้นเลย

คือผมเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง แม่ก็จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์หรอกก็ปล่อยผมให้ทำ ไม่ได้เกลี้ยกล่อมให้กลับบ้านแม่เคยเอารูปที่ผมถ่ายโฆษณาให้พ่อดู แล้วถามว่าคนนี้หน้าตาดีมั้ย พ่อก็บอกว่าหน้ามันฝรั่งเลย (หัวเราะ)

พ่อจำผมไม่ได้เพราะภาพลักษณ์มันไม่ใช่ เพราะรูปเด็กที่เขาเห็นคือใส่เชิ้ตผูกไทด์ ท่าแอ็กชั่นต่างๆ มันดูโตเกินตัวเราจริงๆ สมัยนั้นผมต้องเรียน รด. ไม่มีผม แต่เวลาไปทำงานต้องใส่วิกเอา เพราะสมัยก่อนถ้าเป็นเด็กมากเขาไม่รับนะ ต้องบอกเขาว่าตอนนั้นเราอายุ 20-21 แล้วถึงจะได้ทำงาน (หัวเราะ)”


ผลงานชิ้นไหนที่สร้างชื่อเสียงให้ แซม ยุรนันท์ โด่งดัง?

คือผมมีสองยุค ยุคหนังกับยุคละคร ยุคหนังนี้เล่นเป็นร้อยเรื่องเลย เล่นจนปวดหัว คือตอนนั้นเริ่มมีผู้จัดการดูคิวให้ ก็รับเยอะมาก หนังยุคนั้นจะเรียกว่าหนังขายสาย คือเป็นการขายแบบคู่ขวัญ

ถ้าสมัยก่อนเป็น มิตร ชัยบัญชา ต้องเล่นคู่กับ เพชรา เพราะมันการันตีได้ว่าหนังมันต้องฮิต ขายได้ แล้วก็มีตกลงกันว่าภาคเหนือจะซื้อเท่าไร มีกี่จังหวัด เอาหนังเรื่องนี้ไปฉายเอง จะจัดฉายเดี่ยวหรือฉายควบก็เป็นเรื่องของเขา ภาคอีสานซื้อเท่าไร ภาคใต้ซื้อเท่าไร ภาคกลางซื้อเท่าไร

แต่ยุคผมมันเป็นยุคขายสายยุคสุดท้ายแล้ว ของผมจะเป็นคู่ขวัญ แซม-นาถยา แจ้งเกิดในเรื่องแดงบุหงา เป็นเรื่องแบบผัวเมียตีกันฟันแทง และมีเรื่อง ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ปีกมาร ผมจะเล่นหนังแนวตาต่อตาฟันต่อฟัน ลูกพี่ผมคือคุณพิศาล อัครเศรณี หนังที่ผมเล่นเลยเป็นแนวแบบโหด



แต่ถ้าเป็น แซม-จินตหรา ก็จะเป็นอีกแนวหนึ่ง ลดดีกรีลงมาหน่อย เป็นกุ๊กกิ๊กสนุกสนาน แนวผัวเมียเบาๆ แต่ถ้าเป็น แซม-สินจัย ก็เป็นอีกแบบ แซม-มาช่า ก็จะอีกแบบหนึ่ง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็จะเป็นคู่จิ้น"


ความฮอตในตอนนั้นมันฮอตแค่ไหนคะ

"อย่างตอนนั้นเป็นวัยรุ่น วัยรุ่นตอนนั้นคือถ่ายแม็กกาซีน ไม่ค่อยมีนายแบบ พอขึ้นปกทีเล่มนี้ได้ ก็ได้ขึ้นติดๆ กัน ขึ้นแผงตลอดจนเรารู้สึกอาย (ยิ้ม) เพราะขึ้นหนังสือหมดทุกประเภทแม้กระทั่งปกขายหัวเราะ เป็นหน้าผมถ่ายกับการ์ตูนแวดล้อม
แม้กระทั่งเพลย์เกิร์ลทุกวันนี้ก็ยังโดนด่า แค่ไปถ่ายเฉยๆ ถามว่าฮอตแบบเป็นณเดชน์หรือเปล่า ผมไม่กล้าเทียบกับรุ่นน้องๆ หรอกเพราะน้องเขาก็ดังมากเป็นดาราในยุคนี้ เราก็ตอบไม่ได้หรอกว่าเราดังเท่าน้องเขาหรือเปล่า แต่ก็เป็นที่สนใจ สมัยก่อนดารามันน้อยไงครับ

พอตอนแต่งงานแล้ว มีลูก ผมก็อยากจะพาลูกไปเที่ยวเขาดินเหมือนพ่อคนอื่นๆ แต่ตอนนั้นยังเป็นดาราดังอยู่ พาลูกไปเดินเขาดินไม่ได้เดินเลย คนขอถ่ายรูปจนลูกพูดว่าผมเหมือนลิงในกรงเลย เพราะคนมารุมถ่ายรูปเยอะมาก ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ คือเห็นแฟนๆ เขารักเรา เราก็โอเคนะ

แต่พอหันมาเห็นหน้าลูกหน้าเมียแล้ว ก็ต้องปฏิเสธแฟนๆ ไปว่าวันนี้ผมขอนะ ซึ่งผมก็เสียใจนะที่ต้องปฏิเสธเขาไป ต้องบอกว่าในช่วงนั้นลูกไม่มีความสุขเลยที่มีผมไปไหนด้วย เขาชอบบอกให้รอในรถ ผมไม่รู้จะพูดยังไงแต่ทุกคนก็ซึมซับเรื่องนี้มา ทุกคนอดทนกันมากจริงๆ ครับ"

เป็นพระเอกเนื้อหอมที่ใครๆ ก็ต้องการตัว?

"ผมเรียกตัวเองว่าเป็นสินค้าดีกว่า มันเหมือนเราเป็นสินค้าที่ถูกหยิบไปอยู่ตรงไหน สมัยก่อนบางวันถ่ายสามเรื่อง จนไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องเล่นเป็นใคร มันแย่มาก เป็นการจัดคิวให้เพราะบางเรื่องแค่อยากได้เราไปเป็นพระเอก จะให้คิวยังไงก็ยอม ค่าตัวเท่าไรก็ต้องให้ คิวทั้งเรื่องให้สามวัน เขาก็ต้องจบทั้งเรื่องเพราะพระเอกมีให้แค่นี้ไม่งั้นก็ต้องรอไปอีก 6-8 เดือน

แต่เอาจริงๆ ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำงานตามใบนัด ถ่ายสามเรื่องเช้าถึงบ่าย บ่ายถึงค่ำ ค่ำถึงเช้า จนเราเหนื่อย บางครั้งเรายังเด็ก ยืนมองกระจกน้ำตาไหลเลย คือเราเป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง บางครั้งก็อยากใช้ชีวิต อยากไปเที่ยว อยากเจอแฟน เรามาหาเงินไปทำไม

คือตอนนั้นกลับบ้านแล้ว เพราะคุณพ่อเสีย ผมกลับไปอยู่กับแม่ ในความคิดตอนนั้นมีบ้านมีรถมีทุกอย่างแล้ว (หัวเราะ) แต่ทำไมต้องทำ ทำเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ตอนนั้นเริ่มถามตัวเองว่ามันเยอะไปแล้ว คุณภาพก็ไม่ได้

เพราะว่าสมัยก่อนเล่นหนังผมไม่เคยใช้เสียงตัวเองเลยนะ มันเป็นหนังพากย์ แต่ผมไม่มีเวลาไปพากย์เสียง ก็เป็นเสียงคนอื่นพากย์แทนตลอดทุกเรื่อง ผมไม่เคยต้องรู้ว่าจะพูดอะไร มีหน้าที่แค่ตื่นไปเป็นหุ่นยนต์ให้ทำอะไรก็บอกมา มีคนบอกบทอยู่ข้างๆ ขาเรา จะให้พูดว่าอะไรผมก็พูดตามงานคุณภาพที่ออกมาก็ด้อย

มันก็มีงานสองเกรดนะ งานที่คุณภาพดีๆ ก็มีคนมาติดต่ออยู่ แต่บางทีก็ติดคิวงานขายสาย ซึ่งก็จำเป็นต้องมี เขาก็จะได้ไปเพราะคนเหล่านี้ก็จะให้หมด บริษัทติดต่อเรียกร้องอะไรเขาจะให้หมดเพียงแค่ขอให้ได้เราไป เราก็กลายเป็นว่าต้องทำงานเพื่ออะไรไม่รู้ คุณภาพก็ลดลงทุกวัน วันหนึ่งก็เลยขอว่าผมไม่เล่นหนังแล้ว ตอนนั้นอายุแค่ 20 ต้นๆ เอง"

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่