ฝันหวาน (Sweet Dream) 31


.

               “สัญญาจะเป็นสัญญามั้ยคะรอบนี้” เมธีถามปรายตามองเธอที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่เบาะข้างคนขับ ก่อนที่ตนเองจะเลี้ยวรถเข้าปั๊มน้ำมันเพื่อพักรถและหาอะไรทานรองท้อง  ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ตอบ เล่นโทรศัพท์ไม่สนใจกับสิ่งที่เขาถาม

               ขับรถมาทั้งวันตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทานอะไรกันเลย นอกจากกาแฟร้อนแก้วเดียว ก่อนออกเดินทาง

                “เอ๋า... อือ” เงยหน้าขึ้นมองเมธี พยักหน้าพร้อมส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวเตรียมเข้าห้องน้ำ ให้ถึงบ้านก่อนเถอะค่อยงอแงไปบ้านของตัวเอง ตอนนี้ก็นั่งรถเพลิน ๆ ไปก่อน

               “ไม่น่าไว้ใจเลยนะคะ รอยยิ้มนี้ แววตานั้น” รถจอดสนิทแล้วยังไม่พากันลงจากรถ ก็รอยยิ้มของเธอมันไม่น่าไว้ใจเลยสักครั้ง ที่บอกว่าไม่มันดันเป็นใช่ตลอดนี่สิ

               “เอ๋า! ฮ่วย ปะลงเหอะ นภาอยากเข้าห้องน้ำ” ไม่ยอมตอบคำถาม เฉไฉไปเรื่องอื่นแทน ไม่พูดเฉยเปิดประตูลงจากรถ และเดินตรงไปยังห้องน้ำของปั๊มน้ำมันทันที ไม่สนใจสายตาของเมธีที่มองตามหลังเลย

                “พุ้นน่ะ!” เมธีสบถเบา ๆ ได้แต่ยิ้มส่ายหัวให้กับเธอ ทำไมเขาจะรู้ไม่ทันแผนการของภรรยาเด็กคนนี้ เพราะทุกครั้งที่กลับต่างจังหวัด มีเหรอพรนภาจะไม่แวะบ้านตัวเอง และเขาก็ไม่เคยขัดใจสักครั้ง ไม่ได้หนักหนาสาหัสเกินกว่าที่จะทำให้เธอไม่ได้ “รอด้วยค่ะ” แล้วก็ลงจากรถเดินตามพรนภาเข้าห้องน้ำไป

               ทั้งสองคนทำธุระส่วนตัวเสร็จ ยืนยืดเส้นยืดสายสักหน่อย ขับรถมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงคงถึงจุดหมายปลายทาง ทั้งสองคนยืนข้าง ๆ รถยนต์ของตน มองดูรถที่วิ่งสวนกันไปมาตามถนนและรถที่กำลังวิ่งเข้ามาเติมน้ำมัน นึกไปนึกมาทำไมพวกเธอมาทำงานไกลบ้านจัง ทำไมไม่พากันทำงานที่บ้านของตัวเอง

               พรนภามองเมธียืนบิดขี้เกียจนึกสงสารอยู่ในที แต่จะให้ทำอย่างไร เธอขับรถยนต์ไม่เป็นนี่ “พี่เมธีเข้าไปทานกาแฟกันสักหน่อยมั้ยคะ พักรถพักขาก่อนเนอะ”

               “ก็ดีเหมือนกันค่ะ ปะ” พูดจบพวกเธอก็เดินคู่กันไปยังร้านกาแฟ เมธียกมือขึ้นมาจับศีรษะของเธอด้วยความเอ็นดู แล้วเดินไปพร้อมกัน พักรถสักหน่อยค่อยเดินทางต่อ ไม่ใช่ช่วงเทศกาลถึงบ้านยังไม่ทันค่ำอยู่แล้ว พวกเธอพากันออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่

               “พี่เมธีนั่งเฉย ๆ เลยเดี๋ยวเค้าสั่งให้ เอสร้อนหรือเย็นคะ” เลิกคิ้วเป็นเชิงคำถาม วางกระเป๋าและโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะเรียบร้อย

               “เย็นค่ะ” เมธีตอบ ก่อนจะนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เมื่อยเหลือเกิน เขาเลือกโต๊ะมุมเงียบ ๆ มีน้ำตกเล็ก ๆ ที่ทางร้านจัดเป็นสวนหย่อมไว้ มองแล้วก็สบายตา สัมผัสถึงธรรมชาติเล็ก ๆ แม้จะเกิดจากการสังเคราะห์ก็ตาม ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมันก็สามารถทำให้ผ่อนคลายได้

               “มาแล้วค่า เอสเย็นกับหนมเค้ก” พรนภาวางแก้วกาแฟเย็นให้กับสามี พร้อมขยับเก้าอี้นั่ง “หนมเค้กค่ะพี่เมธีรองท้องสักหน่อย หรือเราจะไปหาไรทานตรงศูนย์อาหารตรงนู้นคะ” เธอชี้ไปทานร้านอาหารของปั๊ม เมธีมองตามทว่าส่ายหัวปฏิเสธ “วันนี้เค้าลองกินเอสเพรสโซ่เหมือนพี่เมธีด้วย”

               “แล้วจะติดใจ เข้มข้นกว่าลาเต้น้องอีก” เขาตอบ พร้อมดูดกาแฟไปอึกใหญ่ เอสเพรสโซ่เย็นมันช่างกลมกล่อมเสียจริง สดชื่นซาบซ่านไปทั้งตัว

               “นภาก็อยากลองอะไรใหม่ ๆ บ้าง กินแต่ลาเต้มาทั้งชีวิตอ่ะ เอสเพรสโซ่ก็ใช่ได้นะเนี่ย อืมม์! แต่ขมไปนิด” พูดจบดูดไปอึกใหญ่เหมือนกัน พร้อมยิ้มแฉ่งให้กับเขา พร้อมตักขนมเค้กทานไปด้วย

               เมธีเองก็หัวเราะให้กับเธอ ไม่สนใจสายตาลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ ณ ร้านกาแฟแห่งนี้เลย เคยมีพนักงานมองและซุบซิบกัน พรนภาจัดการคอมเพลนไปเรียบร้อยแล้ว บางคนอาจจะคิดว่าพ่อลูก หรืออะไรก็แล้วแต่พวกเขาจะคิดเลย ไม่ใส่ใจอยู่แล้ว ยิ่งมีคนพูดให้ได้ยินข้าง ๆ เธอก็ยิ่งชอบ และทำใส่เสียเลย สนุกออก

               “ยังไงเนี่ย ยังไม่ตอบพี่เลยนะ จะงอแงไปบ้านปะเนี่ย” จ้องมองใบหน้าของเธอ พรนภาน่ารักเสมอต้นเสมอปลายกับเขาเสียจริง เคยรักแบบไหนก็รักอยู่แบบนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง แม้เวลาจะเปลี่ยนไป และเหมือนนับวันยิ่งรักเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

                “เอ๋า ดูก่อนดิ นภาตอบไม่ได้” เธอต้องกลับอยู่แล้วแหละ ไปถึงขนาดนั้น บ้านเธอกับบ้านเขาก็อยู่ห่างกันไม่ไกล มันเป็นแผนของเธอเมธีไม่รู้หรอก ที่บอกว่าไม่ไปนั่นแหละแปลว่าไป

               เมธีหัวเราะอึกอัก มองใบหน้าขาวเนียนของพรนภา “ไม่ค่อยจะไว้ใจสักเท่าไหร่เลยค่ะ บอกตรง ๆ “ ทำเอาเธอเก็บอาการไม่อยู่ ต้องหัวเราะออกมาเช่นกัน ทำเป็นรู้ทันนะพี่เมธี

               “เอ๋าพี่เมธีฮ่วย ถ้าเกิดนภาอยากจะไป แล้วพี่เมธีจะยอมพาไปมั้ยละ ถามอยู่ได้” แกล้งงอนแก้เขินที่โดนจับได้ไล่ทันไป ก็รู้คำตอบอยู่แล้วยังจะถามอีก ที่ยังไม่งอแงแค่รอให้ทำธุระที่บ้านเสร็จเสียก่อนหรอก หลังจากนั้นค่อยจะงอแงให้พามานอนบ้านของเธอให้ได้คอยดู

               “เอ้าก็ถามเฉย ๆ นั่นไงว่าแล้วเชียว หืย!” พร้อมดูดกาแฟและจ้องมองเธอ ทำไมจะรู้ไม่ทันเด็กน้อยคนนี้ล่ะ ไม่อย่างนั้นไม่ได้เอามาเป็นเมียง่าย ๆ หรอก

               “นอนคนละสองคืนเอามั้ย ให้นอนบ้านพี่เมธีก่อนเลย” ปรายตามองเขา รอคำตอบเงียบ ๆ  นี่เธออุตส่าห์ยอมให้นอนบ้านก่อนเลยนะ เธอยอมเสียสละขนาดไหน

                 “มันก็ต้องเป็นบ้านพี่ก่อนอยู่แล้วมั้ยคะ นี่ถ้าน้องไม่ตามมาด้วยนะ พี่กลับพรุ่งนี้เลยนะเนี่ย นั่งเครื่องมาถึงแป๊บเดียว ทำเสร็จแล้วก็กลับเลย งานพี่ก็ยังค้างอยู่ ต้องรีบกลับไปทำต่อให้เสร็จ”

                “ถ้างั้นก็ไม่ต้องไปบ้านนภา ทำธุระของพี่เสร็จแล้วก็กลับเลย ห้ามอยากอยู่ต่อด้วยนะ ถ้าจะอยู่ต่ออีกวันโดนแน่ ทำเสร็จแล้วกลับเลย เคลียร์เสร็จเที่ยงกลับเที่ยงเลย ห้ามช้าแม้แต่ชั่วโมงเดียว” หน้าบึ้งใส่ พูดน้ำเสียงห้วน ๆ ให้ เมินหน้าหนี หันตัวมองไปทางอื่น ไม่ยอมสบตากับเขาอีก

               “พุ้นน่ะขั้นเพิ่นได้เว้า” หัวเราะกลบเกลื่อนบรรยากาศที่อึมครึม เมื่อสักครู่ยังหัวเราะกันอยู่เลย “น้องหันหน้ามา” พรนภาก็ยังเมินหน้าไปทางอื่น นั่งหันตัวไปทางอื่น ไม่ยอมนั่งหันหน้ามาสบตากับเขาดี ๆ “นภาหันหน้ามาหาพี่” เขาพูดกึ่งออกคำสั่งนิด ๆ พรนภาจึงค่อย ๆ หันหน้ามาสบตากับเขา ทว่าสีหน้าและแววตาไม่ได้เป็นเหมือนก่อนหน้านั้น เธอทำหน้าบึ้งตึงใส่เขา “ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นเลยค่ะ พี่ก็จะพาไปบ้านอยู่ พี่แค่พูดเฉย ๆ แหมะ มีเหรอรอบไหนที่ไม่ไปบ้านนภาอ่ะ เค้าก็พาไปตลอด”

              “ก็พูดอยู่เมื่อกี้! ฮ่วย!” ยังไม่ยอมยิ้มให้กับเขา ไม่ยิ้มให้ง่าย ๆ หรอก เพราะรู้ว่าไม่ได้อยากไปค้างที่บ้านของเธอจริงอย่างที่พูดหรอก “ก็มันจะถึงบ้านนภาแล้วมั้ย กลับขนาดนี้ไม่ไปบ้านเหรอ ถ้าไม่อยากไปทำไมไม่หาเมียคนละจังหวัดล่ะ จะได้ไม่ต้องไปบ้าน” พูดประชดเข้าให้

               “ก็มันหาได้มั้ยล่ะ เค้าก็แค่ถาม ยังไม่ได้จะบอกว่าไม่ไปสักหน่อย ทำไมต้องงอนพี่ด้วยเนี่ย ฮึ” ยกมือขึ้นมาจะวางบนศีรษะของเธออีก แต่เธอเหวี่ยงหลบ ไม่ยอมให้เขาวาง นึกตลกอยู่ในที ทั้งเอ็นดูก็มิปาน

               “หาได้!” เธอตอบสั้น ๆ ห้วน ๆ ไปอีก

                “ก็มันหาคนที่รักแบบนี้ได้มั้ยล่ะ” เมธีตอบกลับมาแบบนี้ ทำเอาเธอกลั้นยิ้มไว้แทบไม่ทัน เพราะยังงอนอยู่ ส่วนเจ้าตัวหัวเราะยียวนเธออีก เหมือนรู้ว่าเธอหายงอนแล้ว แต่ต้องแกล้งทำเป็นงอนเอาไว้ ไม่อยากเสียหน้า

               “ปะ ไปต่อเหอะ จะถึงบ้านตอนไหนหนิ นภาบอกแล้วให้เข้ากรุงเทพ ขึ้นทางด่วนรอบนอก ชลบุรีอยุธยาน่ะ นภาไปถูก นภาขึ้นตลอดแหละ ไปหาแม่นภาก็ไปเส้นนั้น เราจะได้จ่ายค่าทางด่วนประมาณสองด่านมั้ง สามด่าน ๆ ไม่ใช่ว่าจะพาไปเส้นสมุทรปราการเข้ากรุงเทพเด้เดียวหนิ“ เธอทำท่าครุ่นคิด นึกถึงเส้นทางที่ว่า ใกล้กว่าเส้นทางที่เมธีพามาอีก

               “ไปกับไอ้เด็กคนนั้นน่ะเหรอ” เขาเผลอหลุดปากพูดถึงอดีตของพรนภาจนได้ พวกเธอตกลงกันแล้ว จะไม่พูดถึงคนเก่าของกันและกัน

               “พี่เมธี! “ เธอเรียกชื่อเขาเบา ๆ “นภาบอกแล้วไงว่าเราจะไม่พูดถึงคนอื่น เรามีกันและกันเพียงสองคนนะคะ” แล้วเธอก็ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสะพาย หยิบแก้วกาแฟจะเดินไปขึ้นรถ ตอนนี้รู้สึกว่าเสียเวลากับการนั่งพักนานแล้ว

              “น้องเดี๋ยวก่อน” เมธีคว้ามือของเธอเอาไว้ พรนภาหยุดเดินตามแรงฉุดของเขา “พี่ขอโทษนะคะที่พูดไปเมื่อกี้ นภาหายงอนพี่นะ” มองหน้าเธอด้วยแววตาอ้อนวอนรอคำตอบ หากวันนี้ไม่ได้รับคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาต้องไม่เป็นอันขับรถแน่ เพราะเขาเป็นคนผิดสัญญาเอง ที่พูดถึงอดีตของเธอ แม้เรื่องเล็กน้อย ก็ไม่อยากทำหากมันเป็นความไม่สบายใจของเธอ

              พรนภายิ้มให้กับเขา “ไม่งอนค่ะ ไม่งอนเรื่องเมื่อกี้ด้วย เรื่องไปบ้านน่ะ”

               “จริงอ่ะ” หลับตาพริบ ๆ มองเธอด้วยสายตาละห้อย กลัวว่าจะได้รับคำตอบที่ไม่ดีต่อใจ กลัวว่าเธอจะไม่ยอมยกโทษให้ กลัวไปหมดทุกอย่าง เขารักเธอมากเกินกว่าจะทำให้เสียใจ แค่เรื่องแค่นี้ เรื่องที่เขาทำให้เธอได้กลับไม่ยอมทำนี่สิ

              “อือ” พรนภาตอบ ฉีกยิ้มให้ด้วย ทำให้เขายิ้มออกมาได้เช่นกัน เหมือนยกภูเขาออกจากอก

               “ป่ะ เดินทางกันต่อค่ะ” แล้วเขาก็จับมือเธอเดินไปขึ้นรถ รถเก๋งซีวิคสีขาวคันโปรดของพรนภา

               พวกเธอคุยกันไปด้วยระหว่างทางขับรถ เปิดเพลงฟังเบา ๆ พรนภาเป็นคนเลือกเพลงเอง ถึงแม้จะเป็นเพลงวัยรุ่นสมัยใหม่ เขาก็ฟังกับเธอได้ ปล่อยให้พรนภาจัดการได้ตามสบาย ส่วนเขามีหน้าที่ขับรถอย่างเดียว

                “ขากลับ เรากลับทางที่นภาบอกก็ได้ค่ะ ลองไปดู จะได้รู้ว่าเส้นไหนใกล้กว่า” เขาหันมามองเธอนิดหน่อยก่อนจะหันกลับไปตั้งใจขับรถต่อ

               “โอเค เส้นสระบุรีใกล้กว่า เชื่อนภาเหอะ เส้นที่เรามาอะไรก็ไม่รู้ มันอ้อมไกลมาก ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี เขาปักโคราชไปนู่น ไกลมาก! ขับมาตั้งนานแล้วยังไม่ถึงบ้านเลย ถ้าเป็นเส้นนั้นนะ ขึ้นทางด่วนปุ๊บลงทางด่วนก็เข้าสระบุรีเลย “

               “พูดไป!” ชำเรืองมองภรรยาเด็กคราวลูก ยิ้มให้ พรนภาน่ารักทุกวินาทีเลย เขาเคยไปมาแล้วเส้นทางที่เธอบอก แค่แกล้งพูดเท่านั้นเอง เคยลองไปมาทั้งสองเส้นทาง แค่รู้สึกชินทางนี้มากกว่า จึงพาเธอมาเส้นนี้ รู้สึกว่าเส้นนี้วิ่งตรงดิ่งไม่ต้องเข้าในเมืองก็เท่านั้นเอง มืออีกข้างยื่นมากุมมือของเธอเอาไว้ อยากจับเฉย ๆ พอจังหวะต้องบังคับพวงมาลัยรถก็ค่อยปล่อย

               “พี่เมธีอย่าบอกว่าไม่เคยกลับทางนั้นนะ จริง! มันคนละเส้นทางกับทางด่วนสมุทรปราการ เราจะไม่เข้าไปในกรุงเทพ มันจะเป็นทางด่วนอยุธยาอ่ะ เราจะวิ่งบนทางด่วนตลอดเลย จะผ่านแฟร์ชั่นไอร์แลนด์ ถ้าผ่านนี้คือมาถูกทางละสบายใจได้ เดี๋ยวขากลับนภาบอกทางเอง ใช้เส้นนี้บ่อยจำได้อยู่ เส้นที่เรามาจักอะไรก็ไม่รู้ ไกลเกิน!”

             “อ๋อ!” เมธีพยักหน้ารับรู้และเข้าใจ

               พวกเธอคุยกันฆ่าเวลา ขับมากี่ชั่วโมงแล้วก็ไม่รู้ สงสารพี่เมธีแต่เธอก็ขับรถไม่เป็น ในหัวพรนภาก็นึกถึงที่เที่ยวไว้หมด จะไปที่ไหนบ้าง กลับไปถึงรอให้เมธีทำธุระเสร็จแล้วจะเป็นการเที่ยวของเธอ แค่ได้ไปเซลฟี่ก็พอใจแล้ว ความสุขของเธอมีเพียงเท่านี้จริง ๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่