สตรีมมิ่ง สื่อออนไลน์ ทางรอดหนัง ละครไทย ช่วงโควิด19 ระบาด พอรอดแต่ไม่รวย

คนวงการหนังไทยกลุ้มใจ โควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ โรงหนังเจ็บหนัก ดาราบางคนต้องลดค่าตัว
เปิดกล้องหนังปี 2563 ลดลง 50% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นหนังตลก 




ทีวีโฆษณาลด ต้องลดราคาขาย บางที่ต้องยอมให้สินค้าขายตรงซื้อเวลา ในราคารตกน้ำ
ลดต้นทุนผลิตละคร เพื่อให้สัมพันธ์กับยอดขายเวลาที่ลดลง



ทางรอดทางเดียว ทำหนัง ละครป้อน “สตรีมมิ่ง” แต่ความจริงคือ 
ไม่ง่าย งานต้องคุณภาพคับแก้ว ตรวจยับทุกขั้นตอน
ส่วนหนังฉายผ่านโรง ละครผ่านจอแล้ว ราคาไม่ดี
 
ณ เวลานี้ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า เศรษฐกิจของไทยจะดิ่งลงเหวลึกแค่ไหน
หลังการระบาดรอบใหม่ของ โควิด-19 ที่แน่ๆ ผลพวงของมันทำลายล้างไปทุกหย่อมหญ้า
ทุกวงการได้รับผลกระทบทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่วงการบันเทิงไทย
 
อ๊อด บัณฑิต ทองดี ที่ปรึกษา สมาคมผู้กำกับแห่งประเทศไทย
ผู้กำกับชื่อดังรายนี้ได้รับผลกระทบเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะได้ เปิดกอง เดินกล้อง ถ่ายหรือไม่
เพราะสถานการณ์ในเวลานี้คาดเดายากเหลือเกิน

สิ่งที่กลัวที่สุด คือ รัฐบาลจะปิดไม่ให้ถ่ายทำหนังหรือละคร เพราะอีกไม่กี่วันก็เตรียมที่จะต้องไปถ่ายโฆษณาอีก 
ส่วนหนังยาว หรือละครที่แพลนกันไว้ ก็เกรงว่าจะได้รับผลกระทบ
     

โรงหนังเจ็บหนัก ผลพวงโควิด จาก 2563 ส่งต่อ 2564
จากการพูดคุยกับคนในวงการสื่อ ส่วนที่เจ็บหนักที่สุดในปีที่ผ่านมาต่อเนื่องมาปีนี้คือ โรงหนัง โดยมีสาเหตุหลัก 3 ข้อ คือ 

1. คนไม่กล้าเข้าโรงหนัง จะมีแต่คนอยากจะดูหรือรักหนังจริงๆ ถึงจะแวะมา นับว่าน้อยลงอย่างมาก 
2. รายได้หดหายไปจากมาตรการ Social Distancing ที่ต้องเว้นระยะห่าง การเว้นที่นั่งส่งผลต่อรายได้ 
3. พฤติกรรมคนเริ่มเปลี่ยน หันมาดูหนังสตรีมมิ่งที่บ้าน เช่น Netflix,Apple+,Disney+,HBO Go,iqiyi,wetv

3 เหตุผลนี้เองทำให้โรงหนังได้รับผลกระทบเยอะมาก เช่น
หนังเรื่อง อีเรียมซิ่ง ในกรุงเทพฯ ได้เงินกว่า 75 ล้าน
หากเป็นเมื่อก่อนน่าจะได้เกิน 100 ล้านแน่นอน

ถ้าเป็นหนังเมืองนอกอย่าง Wonder Woman ความจริงอาจจะได้มากกว่านี้
กวาดรายได้รวมทั่วประเทศ ทะลุ 200 ล้านบาท

นายทุนไม่กล้าเสี่ยง หนังเปิดกล้องลดลง 50% ส่วนมากมีแค่หนังตลก
ว่ากันว่า หนังในบ้านเราส่วนมากมักจะมีหนังผี กับหนังตลก ไร้สาระ แต่ความจริงอีกด้านคือ
การทำหนังแนวนี้มีคาดการณ์ว่าทำเงินได้ และมันก็เป็นความจริงเสียด้วย

ยุคนี้ ใครจะกล้าเสี่ยง นายทุนเองก็เช่นเดียวกัน 
ในปี 2563 มีการเปิดกล้องถ่ายทำหนังลดลงถึงครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับปี 2562
โดยปีที่ผ่านมามีการเปิดกล้องถ่ายหนังราว 20 เรื่อง
จากการพูดคุยกับนายทุน ทำให้ อ๊อด บัณฑิต รับรู้ว่า 
หนังในสต๊อกจากค่ายหนังต่างๆมีไม่มาก และที่สำคัญคือ ล้วนเป็นหนังตลกแทบทั้งสิ้น 
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันได้เงินง่าย

คนที่จะทำหนังก็ไม่กล้าลงทุน หนังที่ใช้ทุนไม่มาก ส่วนมากก็จะเป็นหนังตลก
ซึ่งหนังตลกก็มักจะถูกคาดหมายว่าจะ ได้เงิน
ก็เพราะแบบนี้เราจึงเห็นโปรแกรมหนังในช่วงที่ผ่านมามีแต่หนังตลก
ซึ่งมันเป็นผลพวงจากโควิดที่กระทบเป็นลูกโซ่

เมื่อโรงหนังมีปัญหา นายทุนไม่กล้าลงทุน
การจ้างคนเพื่อทำงาน หรือแม้แต่ดาราเอง ก็ได้รับผลกระทบ
มีงานน้อยลง ดาราบางคนที่ไม่ใช่ซุป’ตาร์ ถึงยอมลดค่าตัว
แต่ ซุป’ตาร์ บางคนแจ้งเกิดจากหนัง เป็นคนรักหนังก็ยอมลดให้ เพื่อให้มีงาน
ผลกระทบสุดท้ายที่เกิดขึ้น คือ คนดู ไม่มีงานดีๆ ให้รับชม
       

ทางรอดในยุคโควิด ทำหนังป้อน “สตรีมมิ่ง” เพื่ออยู่รอด แต่ไม่รวย
ตอนนี้ค่ายหนังหลายๆ ค่าย เริ่มหันมาจับมือบริษัทสตรีมมิ่ง อย่าง Netflix WeTV 
เนื่องจากต้องเอาตัวรอดในสถานการณ์แบบนี้ โดยทำหนังเพื่อฉายใน 2 ช่องทาง คือ 
ฉายโรงหนังปกติ และสตรีมมิ่ง เพราะหากว่าทำเผยแพร่ทางเดียว บริษัทอาจจะไม่รอด

วงการหนังมีการเปลี่ยนแปลงมากจนน่ากลัว อะไรที่ทำแล้วได้ตังค์ก็ต้องทำ
ส่วนสถานการณ์เวลานี้กับการระบาดระลอกใหม่ ทำให้หนังต้องเลื่อนฉายหลายเรื่อง อาทิ
คุณชายใหญ่ และ บอสฉันขยันเชือด ส่วนหนังที่ไม่ยอมเลื่อน ก็อยู่ในอาการกังวลว่าจะได้ตังค์ไหม
สำหรับการเลื่อนฉายหนังออกไป ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา เพราะถ้าหนังเลื่อนฉายไปนานๆ เรียกว่า
หนังถูกดอง คนดูก็ไม่ดูอีก

คำถามที่ผุดขึ้นหลังจากประเด็นนี้ของ สตรีมมิ่ง คือ คุ้มค่าแค่ไหน     

ไม่คุ้มหรอกครับ แต่ดีกว่าไม่ได้อะไร
คำตอบตรงๆ สไตล์อ๊อด บัณฑิต พร้อมสาธยายว่า

การจะไปทำหนังเพื่อฉายในสตรีมมิ่ง หรือยกตัวอย่างการทำหนัง Netflix Originals นั้นก็คุ้ม 
แต่ถ้าเขาจ้างนะ ความเป็นจริงคือ 3 ปีที่ Netflix ตีตลาดเมืองไทย เขามีหนังและซีรีส์แค่ 2 เรื่อง คือ
สาวลับใช้ และ เคว้ง โดยทราบมาว่าเขากำลังทำหนังอีกเรื่องให้ โขม ก้องเกียรติ โขมศิริ กำลังทำอีกเรื่อง

ทราบมาว่า เบื้องหลังการทำงานกับ Netflix นั้นยากมาก 
การที่จะเข้าไปเสนอเนื้อหา และขอทุน Netflix เป็นอะไรที่ยากมาก 
เพราะเขามีระบบการควบคุมการผลิตที่เข้มข้น 
มีการตรวจสอบบทหนัง หรือซีรีส์ 



เขายังสามารถแก้ไขเนื้อหาตามที่เขาคิดว่าดี ยกตัวอย่างซีรีส์เรื่อง เคว้ง
ถือเป็นซีรีส์ไทยที่ผ่านการตรวจสอบแก้ไขจาก Netflix ทั้งหมด 
เขาแก้เนื้อหามาแบบนี้ คนไทยแบบเราๆ อาจจะมองว่า ไม่เข้ารูปเข้ารอย
แต่สำหรับเขามองในสายตาแบบฝรั่งเขามองว่าแบบนี้คือออกมาดี มีสิ่งที่น่าสนใจ
      
นอกจากเรื่องบทภาพยนตร์แล้ว สิ่งที่เขาคุมมากๆ คือ เรื่องโปรดักชัน


กล้องที่ใช้ในการถ่ายทำต้องระดับ 4K พร้อมระบุตัวเลข Bitrate เลย 
ระบบเสียงต้องเป็นแบบไหน เขาก็ระบุมา เรียกว่าเขาไม่รับงานแบบ กระจอกๆ

ส่วนการขายหนังให้สตรีมมิ่งอีกแบบ ที่คนวงการหนังเวลานี้ใช้กัน คือ การทำไปก่อน ขายทีหลัง 
อันนี้หากเอาหนังฉายโรงภาพยนตร์แล้ว จะเอามาขายให้สตรีมมิ่ง เขาก็จะซื้อในราคาไม่แพงมาก
เท่าที่ได้ยินมาของ Netflix ก็น่าจะประมาณเรื่องละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งราคานี้ก็ไม่ชัวร์ คงขึ้นอยู่กับหนัง
ถามว่าคุ้มไหมแบบนี้ ก็คงไม่คุ้ม แต่ดีกว่าปล่อยไว้เฉยๆ แล้วไม่ได้อะไร



การรุกคืบของสตรีมมิ่ง ส่งผลอย่างไรกับวงการหนังไทย 
ผู้กำกับชื่อดังที่ได้คลุกคลีกับวงการแผ่นฟิล์มมาหลายสิบปี ยอมรับว่า 
สตรีมมิ่ง ไม่ส่งผลกับหนังไทยเลย เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศ เขาไม่รับงานที่ไม่มีคุณภาพ

แต่สิ่งที่เป็นจุดอ่อนของการทำหนังป้อนสตรีมมิ่ง คือ บทภาพยนตร์ เพราะสังเกตว่าพอมีเงื่อนเวลามาบีบ 
ถึงแม้จะเป็นผู้กำกับระดับโลกที่มาทำงานให้ Netflix บทก็อาจจะเบาลงไป เช่น 

ไมเคิล เบย์ เพราะการทำงานตรงนี้เขามีสัญญาชัดเจนว่าต้องส่งงานภายในเมื่อไร 
ซึ่งแตกต่างจากหนังใหญ่ฉายโรง ที่รู้สึกว่าไม่ดี ก็รื้อใหม่

นอกจากสตรีมมิ่งแล้ว มีทางอื่นที่ทำให้รอดอีกไหม อ๊อด บัณฑิต บอกว่า
ผมไม่เห็นทางอื่นนะ แต่เท่าที่หลายบริษัทกำลังดิ้น เช่น



พระนครฟิล์ม เขาก็ทำยูทูบช่องตัวเอง โดยเอาหนังมาลง
เรียกยอดดูและยอดติดตาม ได้เงินจากยอดโฆษณา

ส่วนเครือโมโนฯ เขาก็ทำช่องเขาเอง ทำหนังออกมาฉายบ้าง แต่เท่าที่สังเกต
ไม่ว่าจะช่องทางไหนก็ต้องสู้และเหนื่อยทุกช่องทาง
ยุคนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แค่เอาหนังมาทำลง VCD หรือ DVD แล้วจะรอด
       

สิ่งที่ต้องปรับในปี 2564 ผู้กำกับนามระบือ บอกว่า
1. ไม่เลือกงาน ไม่ยากจน  อย่างผมเป็นผู้กำกับ ใช่ว่าจะทำหนังเพียงอย่างเดียว
ซีรีส์ หนัง โฆษณา อะไรที่เข้ามารับหมด

2. ปรับตัวในการใช้ชีวิตประจำวัน ต้องรู้จักป้องกันตัวเองจากการระบาดของโควิด
เพราะหากเกิดการระบาดในกองถ่าย มันคือหายนะ

3. อาชีพเสริมต้องมี  นาทีนี้ เรื่องนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องมี ยิ่งโดยงานที่ต้องอาศัยคนหมู่มาก
เพราะหากเกิดการระบาด คนในอาชีพเหล่านี้จะได้รับผลกระทบก่อน

สุดท้ายสิ่งที่ บัณฑิต ทองดี อยากจะฝากไปถึงรัฐบาลว่า

ขอเพียงอย่างเดียว อย่ามีคำสั่งปิดกองถ่าย ปีที่แล้วเราเข้าใจว่าโควิดเป็นโรคอุบัติใหม่
ตอนนี้มีดาราเพียงคนเดียวที่ติด(ไม่รวมแมทธิว ลีเดีย ติดจากวงการมวย)
ซึ่งหลังจากนั้นพวกเราดูแลกันเองดีมากจนไม่มีใครติด

ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราว่าจะเป็นจุดแพร่เชื้อ เราเชื่อว่าเราดูแลกันเองได้
กลับกัน รัฐบาลเองควรกวดขันเจ้าหน้าที่ อย่าลืมตาข้างหนึ่ง ปิดตาข้างหนึ่ง 
ปล่อยให้เจ้าหน้าที่บางคนทำผิดกฎหมายแลกกับเศษเงิน 

เข้าใจว่าชายแดนไทยยาวกว่า 2 พันกิโลเมตร แต่ถ้าเจ้าหน้าที่กวดขันจริงจังก็เชื่อว่า
ไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ง่ายๆ แต่ครั้งนี้มันคือความหละหลวมของเจ้าหน้าที่บางคนแน่ๆ

สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ ควบคุมคนของตัวเองให้ได้ อย่าปล่อยให้คนชั่วเห็นแก่เศษเงิน 
ทำให้คนในชาติได้รับภัยพิบัติขนาดนี้ ผมพูดตรงนี้ไม่ได้มีอคติกับภาครัฐ 
เพราะที่ผ่านมาก็ทำงานกับรัฐบาลมาตลอด ประชาชนไม่ได้การ์ดตก แต่รัฐบาลกลับการ์ดตกเสียเอง

อ้างอิง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่