สวัสดีค่าาาา เนื่องในโอกาสครบรอบ1ปีของการไปเที่ยวอเมริกาด้วยตัวเอง เราเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์มาให้อ่านกัน จริงๆแล้วก็อยากเขียนตั้งแต่ไปเที่ยวเสร็จแล้วค่ะ แต่ก็ดองมาจนถึงปีนี้ได้ไงไม่รู้ 55555 ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไปเที่ยวตั้งแต่ปีที่แล้วช่วงที่โควิดยังไม่บูมในอเมริกา แล้วแพลนทุกอย่างตั้งแต่ปีก่อนหน้านั้น ทั้งแม่และเราหลังจากกลับมาก็ได้รับการกักตัว14วันครบเรียบร้อยค่ะ
นี่เป็นการแชร์ประสบการณ์ในการเที่ยวครั้งแรกของเรา หลังจากการอ่านประสบการณ์ของคนอื่นๆในPantip มาเยอะมากกกก ครั้งนี้ก็เลยอยากมาแชร์ของตัวเองบ้าง เพราะการเที่ยวครั้งนี้บอกได้เลยว่าเป็นการเที่ยวตามคนในPantip นี่แหละค่ะ ขอบคุณที่มาแชร์ประสบการณ์ให้เราได้เที่ยวตามนะคะ
อาจจะไม่ได้มีข้อมูลหรือสาระเยอะ แต่ก็อยากมาแชร์ประสบการณ์ให้ทุกคนได้อ่านกันจริงๆค่ะ
ป.ล.สำนวนการเขียนของเราอาจจะไม่เหมือนกันบางนะคะ เพราะบางอันเราก็เขียนเก็บไว้ตั้งแต่ตอนเที่ยวมันก็จะละเอียดกว่า อันที่กลับมาย้อนเขียนค่ะ😅😅😅
ก่อนอื่นเลยขอเกริ่นถึงที่มาของทริปนี้ก่อน มันเริ่มมาจาก เรากำลังไป Work&Travel ที่อเมริกาค่ะ แล้ว... แม่อยากไปเที่ยวด้วยค่ะ! ซึ่งเด็กWork(ขอเรียกสั้นๆละกันนะคะ) ส่วนใหญ่จะไปเที่ยวหลังทำงานเสร็จ ซึ่งเค้าจะมีเวลาให้เที่ยว 1 เดือนค่ะ แต่เรานั้นไปเที่ยวก่อนค่ะ ทำไมเที่ยวก่อนหนะหรอค่ะ? เพราะ 2 ปีก่อนพี่เราก็มาWorkเหมือนกัน แล้วแม่เราก็มาเที่ยวกับพี่หลังทำWorkเสร็จค่ะ ซึ่งมันเป็นหน้าร้อน คราวนี้แม่อยากไปหน้าหนาวบาง เราเลยต้องไปเที่ยวก่อนทำงาน ซึ่งกลายเป็นเรื่องโชคดีของเราเลยค่ะ เพราะหลังจากทำงานได้แค่สามวัน โควิดที่อเมริกาก็บูมขึ้นมาค่ะ เป็นอันต้องพับแพลนเที่ยวต่างๆที่เคยแพลนไว้หลังทำงานเสร็จเลยค่ะ
แต่!!! ประเด็นสำคัญของทริปนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาค่ะ มันคือ… แม่อยากนั่งรถไฟเที่ยวรอบอเมริกา! บอกได้คำเดียวงานช้างสุดๆค่ะ เพราะเราไม่เคยไปอเมริกามาก่อน และนี่เป็นครั้งที่สองที่ได้มาต่างประเทศ อยู่ไทยก็นั่งรถไฟล่าสุดน่าจะไม่ต่ำกว่า10ปีค่ะT^T แล้วคือภาษาอังกฤษเรากับแม่ก็งูๆปลาๆไม่ต่างกัน มีความกลัวอย่างที่สุดค่ะ โดยแม่เอาการนั่งรถไฟเที่ยวอเมริกามาจากPantipนี่แหละค่ะ เราขอให้เครดิตข้างล่างนี่นะคะ
เรื่องนั่งรถไฟ :
https://pantip.com/topic/35885164?fbclid=IwAR16ymRMhvWgjFhXlh1q47zQQhUt4A5XN-T4r6SLW64Vzl5GoLAW0KRQ7VA
เรื่องทริปใน San Francisco :
https://pantip.com/topic/34347715?fbclid=IwAR2_2tinGXjsLTq9apgG38E9kRJnQykAvsie66aTAz4975k4ONk_NS3Ich8
เรื่องตั๋ว Amtrak :
https://pantip.com/topic/36572389 ,
https://pantip.com/topic/34742868
และจากคนอื่นๆอีกมากมายที่เราจำไม่ได้ ขอบคุณทุกคนที่แชร์ประสบการณ์ให้เราได้ทำตามจริงๆค่ะ
หลังจากบ่นมานาน เข้าเรื่องเลยละกันนะคะ5555 เราวางแพลนตั้งแต่ปลายปีที่แล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้เริ่มอะไรจริงจังเพราะกลัวสัมภาษณ์วีซ่าไม่ผ่าน จากPantipที่แม่อยากตามนั้น เค้าไป
New York >> Chicago >> Denver >> Salt lake city >> San Francisco >> ซื้อทัวร์จาก San Francisco ไปเที่ยว las Vegas , Grand canyon,Horseshoe bend, Antelope canyon ก่อนกลับมา las Vegasและนั่งรถบัสกลับไปแอลเอ เพื่อต่อรถไฟไป >> New Orleans >> Washington dc >> New York
ส่วนทริปเรานั้นนน บอกเลยค่ะ เหมือนกันเป๊ะ! เลยค่ะ แต่ต่างกันตรงที เราจบที่ Las Vegas ค่ะ แล้วนั่งบัสต่อไปทำงาน ส่วนแม่ไปเที่ยวNew Orleans ต่อค่ะ แล้วนั่งเครื่องกลับ New York เพราะอายุ Rail Passes หมดพอดีค่ะ เลยนั่งเครื่องกลับดีกว่า
ซึ่งเราเริ่มวางแพลนจาก เราจะเริ่มไป Chicago วันไหน แล้วเราเข้าไปดูในเว็ป Amtrak ค่ะ ( เข้าไปดูได้ที่ :
https://www.amtrak.com/home ) ลองกดจองคร่าวๆว่าเราจะนั่งจากที่ไหนไปที่ไหน แล้ววันที่ที่ไป (**วันที่สำคัญมากค่ะ** เพราะรถไฟบางขบวนจะไม่ได้ออกจากสถานีเดิม ในเวลาเดิมของทุกวันค่ะ ) เมื่อเรากดจอง เราก็จะได้รู้ว่าจากที่เราจะไปต้องใช้เวลาอยู่บนรถไฟนานขนาดไหน แล้วเราจะถึงจุดหมายเมื่อไร แล้วเราต้องค้างคืนไหม ก่อนจะไปที่จุดหมายต่อไปค่ะ เราก็แพลนได้คร่าวๆประมาณนี้ค่ะ
พอเราแพลนเที่ยวรถไฟได้แล้วก็เริ่มจองโรงแรมค่ะ เราเลือกที่มัน Cancel ได้ฟรี กับ จ่ายค่าที่พักที่นั่นตอนไปถึงค่ะ ซึ่งเหมาะกับคนที่อนาคตไม่แน่นอนอย่างเราที่สุดค่ะ โดยเราเลือกดูที่พักจาก
Booking :
https://www.booking.com/
Expedia :
https://www.expedia.com/
Airbnb :
https://th.airbnb.com/
โดยที่พักทั้งสามคืน เราจองคนละเว็บหมดเลยค่ะ 555555 ซึ่งแน่นอนว่าเราเลือกที่จากเว็บที่ถูถที่สุดโดยโรงแรมของBookingกับExpediaจะมีความคล้ายกันแต่จะแตกต่างที่ตรงที่ราคาค่ะ ส่วน Airbnb นั้นจะไม่ใช่โรงแรมหรือโฮสเทลค่ะ แต่จะเป็นบ้านพักที่เจ้าของแบ่งให้เช่าซึ่งอาจจะเป็นบ้านหลังหนึ่งแบ่งกับแขกหลายๆกลุ่มหรือห้องพักในคอนโดห้องหนึ่งค่ะ
โดยเทคนิคในการเลือกของเราคือ… เปิดแผนที่(Map)ค่ะ โดยในแต่ละเว็บจะมีให้กดแสดงแผนที่ค่ะ
โดยเราจะหาก่อนค่ะว่า สถานี Amtrak อยู่ตรงไหน เอาที่พักที่สามารถเดินได้จากสถานีที่ถูกที่สุดค่ะ เพราะเรายังไม่มั่นใจตัวเอง ในเรื่องการใช้รถสาธารณะต่างๆในอเมริกาเลยค่ะ 55555 เราก็จองที่พักไปคร่าวๆก่อนที่จะได้สัมภาษณ์วีซ่าค่ะ พอวีซ่าผ่านเราก็เริ่มทุกอย่างอย่างเต็มสูบเลยค่ะ เริ่มจากจองตั๋วเครื่องบิน ซื้อ USA Rail Pass ซื้อทัวร์ในSan Francisco แล้วก็จองโรงแรมที่เหลือค่ะ
มาต่อกันที่ ซื้อ USA Rail Pass ค่ะ บัตรนี่จะคล้ายๆกับ JR Pass ของญี่ปุ่นค่ะ ที่เราซื้อเป็นจำนวนวันที่เราจะใช้ แล้วเราจะขึ้น JR กี่เที่ยวก็ได้จนกว่าบัตรจะหมดอายุ USA Rail Pass ก็หมือนกันค่ะ เป็นการให้บริการของบริษัทรถไฟในอเมริกาที่ชื่อว่า Amtrak ค่ะ โดยจะมี 3 แบบค่ะ คือ 15 วัน, 30วัน แล้วก็ 45 วันค่ะ ราคาจะแตกต่างกันไป สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ :
https://www.amtrak.com/deals-discounts/multi-ride-rail-passes/rail-passes/take-the-trains-across-america-with-usa-rail-pass.html ซึ่งเป็นเว็บของทาง Amtrak ค่ะ และเราสามารถซื้อตั๋วจากเว็บนี้ได้โดยตรงเลยค่ะ
โดยแต่ละแบบจะมีการจำกัด Segment หรือจำนวนเที่ยวที่เรานั่งรถไฟค่ะ ซึ่งตอนแรกเรางงเรื่องการนับ Segment มากเเลยค่ะ อ่านในเว็บก็ไม่เข้าใจ จนอ่านจากหลายที่และรวมกับคำบอกจากคนที่อเมริกา จึงได้ความว่า มันคือจำนวนเที่ยวที่เราขึ้นต่อรถไฟค่ะ ขอยกตัวอย่างง่ายๆนะคะ คือ ถ้าเราต้องการนั่งรถไฟจาก New York ไป Chicago โดยที่นั่งรวดเดียวถึง จะมันเป็น 1 Segment
New York >>> Chicago เท่ากับ 1 Segment
แต่ถ้าเรานั่งรถไฟจาก New York ไป Chicago โดยที่ระหว่างทางเราต้องไปเปลี่ยนรถไฟที่ Washington DC ก่อนจะถึง Chicago มันจะนับได้เป็น 2 Segment ค่ะ
New York >>> Washington DC เท่ากับ 1 Segment
Washington DC >>> Chicago เท่ากับ 1 Segment
เราสามารถจองแค่ครั้งเดียวได้ เพราะมันคือRoute เดียวกัน หรือเส้นทางการเดินทางเดียวกันค่ะ ซึ่งจาก New York ไป Chicago ก็มีหลาย Route ค่ะแล้วแต่เราเลือกเลย
ตั๋วที่เราเลือกซื้อคือ แบบ15 วัน $459 ค่ะ ของเราพอคำนวณราคาAmtrak ไม่ค่อยคุ้มเท่าไรค่ะ เพราะเราใช้ไม่ครบ 8 Segment ก็ต้องไปทำงานต่อค่ะ แต่ของแม่คือคุ้มกับราคาตั๋วอยู่ค่ะ แต่ข้อดีของมันคือถ้าใช้ครบSegment นั่งไปไกลๆ หรือซื้อช่วงใกล้ๆวันเดินทางก็คุ้มสุดๆไปเลยค่ะ เพราะยิ่งใกล้วันเดินทางตั๋วยิ่งแพงค่ะ แต่ถ้าแพลนเที่ยวเสร็จเร็ว และมั่นใจว่าไปได้แน่ๆ แนะนำให้คำนวณแต่ละเที่ยวที่เราไปเป็นราคาเท่าไหร่ เพราะถ้าจองล่วงหน้านานๆเราจะได้ตั๋วถูกค่ะ แล้วไม่แน่ว่าอาจจะถูกกว่า Rail Pass ก็ได้ค่ะ
เมื่อเราทำการซื้อตั๋วRail Pass โดยชำระผ่านบัตรเครดิตแล้ว Amtrak จะมีอีเมลส่งกลับมาหาเราค่ะ โดยจะมีการบอกรายละเอียดการจองของเราค่ะ พร้อมทั้ง Pass Reservation Number แล้วเราก็นำหมายเลขนี้ ไปทำการจองตั๋วของรถไฟแต่ละเที่ยวผ่านอีกเมลอีกทีค่ะ หรืออีกทางเลือกนึงคือ ไปรับ Rail Pass ก่อน แล้วค่อยไปซื้อตั๋วที่สถานีก็ได้ค่ะ
ด้วยความที่เรากลัวว่ารถไฟเที่ยวที่เราไปจะเต็มก่อนเราเลย ทำการจองตั๋วรถไฟผ่านทางอีเมลตามกระทู้ที่เคยอ่านมาเลยค่ะ โดยอีเมลแรกที่ Amtrak ส่งมาจะเป็นรายละเอียดการจองของเรา เค้าจะมีการแนะนำการจองตั๋วรถไฟอยู่ค่ะ คือให้โทรไปจอง หรืออีเมลไปจองตามที่อยู่อีเมลที่เค้าให้มาค่ะ ซึ่งถ้าโทรไปก็กลัวจะฟังเค้าไม่รู้เรื่อง เราก็เลยเลือกอีเมลไปหาดีกว่าค่ะ5555 โดยเราจะต้องบอกชื่อเรา Pass Reservation Number แล้วก็เที่ยวรถไฟที่เราต้องการจะจองค่ะ โดยจะจองรวดเดียว 8 Segment เลย หรือ ทีละSegmentก็ได้ค่ะ และเพื่อความรวดเร็วเราเลยจองทีเดียวหมดเลยค่ะ5555 แล้ว Amtrak ก็จะมีอีเมล Reservation Number พร้อมทั้ง Barcode มาให้เราค่ะ เราจะนำ Barcode ที่ได้มาไปสแกนที่สถานีเพื่อรับตั๋วจริงค่ะ
ตอนที่เราทำการซื้อRail Passนั้นมันจะมีให้ระบุวันที่ไปรับบัตรค่ะ ว่าเราจะไปรับวันไหน และสถานีอะไร ซึ่งถ้าเลยวันนัดไปมันจะยกเลิกของเราโดยอัตโนมัติค่ะ แล้วเราจะเสียเงินไปฟรีๆ พอมาถึงวันรับตั๋วของเรา รู้สึกแตกต่างจากที่คิดพอสมควรค่ะ
เรานัดรับตั๋วที่ Penn station ใน New York ค่ะ เริ่มจากหาที่ขายตั๋วของทางAmtrak ค่ะ ซึ่งถ้าเรามาทางรถไฟใต้ดิน ก็เดินตามป้ายบอกทางมา Amtrak ได้เลยค่ะ ป้ายชัดเจน ดูง่ายค่ะ ว่าเราต้องไปทางไหน ส่วนถ้าทางรถจะมีทางเข้านึงที่เดินเข้ามาแล้วลงบันไดเลื่อนก็ถึงAmtrakเลยค่ะ

ทางเข้านี้เลยค่ะจะอยู่ตรงข้ามกับสถานี Penn station สวยๆค่ะ
โดยเราไปที่เคาน์เตอร์ Amtrak Ticket แล้วบอก Reservation Number ของตัวRail Pass แล้วก็ตั๋วย่อยที่เราจองไว้กับเจ้าหน้าที่ แล้วเจ้าหน้าที่จะปริ้นตั๋วทั้งหมดให้เรามาค่ะ รวมถึงตั๋วย่อยๆด้วย เราจึงไม่ต้องไปสแกนบาร์โค้ดที่เครื่องKisok เพื่อปริ้นตั๋วอีกรอบค่ะ ตั๋วที่เราจะได้รับจะมีหน้าตาแบบนี้ค่ะ
ซึ่งแตกต่างจากที่เห็นในPantipเลยค่ะ โดยจะเป็นตั๋วกระดาษ เหมือนกันทั้งหมดเลยค่ะ ในส่วนของRail Pass เจ้าหน้าที่จะแม็กติดกับซองเก็บตั๋วเลยค่ะ ส่วนตั๋วย่อยที่เหลือสอดอยู่อีกฝั่งค่ะ หน้าตาด้านหน้าก็จะเป็นประมาณนี้ค่ะ

แล้วเราก็สามารถขึ้นรถไฟด้วยตั๋วนี้เลยคร๊าาา
แล้วอีก1สิ่งที่สำคัญมากๆ ต้องมีเลยคือ อินเตอร์เน็ตค่ะ! เพราะตลอดการเดินทางเราใช้Google Map ตลอดเลยค่ะ ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นอะไรที่สำคัญที่สุดค่ะ แนะนำให้ใช้ซิมรายเดือนของอเมริกาเลยค่ะ มันจะมีอันที่เราซื้อมาแล้วใช้ได้เลย1เดือน ถ้าจะต่ออีกเดือน ก็ไปต่อที่ร้านในเครือข่ายนั้นๆค่ะ หรือบางค่ายก็ใช้บัตรเติมเงินเข้าไปได้เลย ด้วยความที่เราก็ไม่ได้รู้เยอะเกี่ยวกับการซื้อซิมในอเมริกา ก็ขออนุญาตไม่ได้อธิบายกันอย่างละเอียดนะคะ
หลังจากเราเตรียมความพร้อมกันมาเยอะแล้ว Let's go to Travel กันค่ะ!!!!
[CR] Let's go to USA [Part 1] นั่งรถไฟเที่ยวอเมริกากันเถอะ! จาก New York ไป San Francisco กับเวลา 1 อาทิตย์
นี่เป็นการแชร์ประสบการณ์ในการเที่ยวครั้งแรกของเรา หลังจากการอ่านประสบการณ์ของคนอื่นๆในPantip มาเยอะมากกกก ครั้งนี้ก็เลยอยากมาแชร์ของตัวเองบ้าง เพราะการเที่ยวครั้งนี้บอกได้เลยว่าเป็นการเที่ยวตามคนในPantip นี่แหละค่ะ ขอบคุณที่มาแชร์ประสบการณ์ให้เราได้เที่ยวตามนะคะ
อาจจะไม่ได้มีข้อมูลหรือสาระเยอะ แต่ก็อยากมาแชร์ประสบการณ์ให้ทุกคนได้อ่านกันจริงๆค่ะ
ป.ล.สำนวนการเขียนของเราอาจจะไม่เหมือนกันบางนะคะ เพราะบางอันเราก็เขียนเก็บไว้ตั้งแต่ตอนเที่ยวมันก็จะละเอียดกว่า อันที่กลับมาย้อนเขียนค่ะ😅😅😅
ก่อนอื่นเลยขอเกริ่นถึงที่มาของทริปนี้ก่อน มันเริ่มมาจาก เรากำลังไป Work&Travel ที่อเมริกาค่ะ แล้ว... แม่อยากไปเที่ยวด้วยค่ะ! ซึ่งเด็กWork(ขอเรียกสั้นๆละกันนะคะ) ส่วนใหญ่จะไปเที่ยวหลังทำงานเสร็จ ซึ่งเค้าจะมีเวลาให้เที่ยว 1 เดือนค่ะ แต่เรานั้นไปเที่ยวก่อนค่ะ ทำไมเที่ยวก่อนหนะหรอค่ะ? เพราะ 2 ปีก่อนพี่เราก็มาWorkเหมือนกัน แล้วแม่เราก็มาเที่ยวกับพี่หลังทำWorkเสร็จค่ะ ซึ่งมันเป็นหน้าร้อน คราวนี้แม่อยากไปหน้าหนาวบาง เราเลยต้องไปเที่ยวก่อนทำงาน ซึ่งกลายเป็นเรื่องโชคดีของเราเลยค่ะ เพราะหลังจากทำงานได้แค่สามวัน โควิดที่อเมริกาก็บูมขึ้นมาค่ะ เป็นอันต้องพับแพลนเที่ยวต่างๆที่เคยแพลนไว้หลังทำงานเสร็จเลยค่ะ
แต่!!! ประเด็นสำคัญของทริปนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาค่ะ มันคือ… แม่อยากนั่งรถไฟเที่ยวรอบอเมริกา! บอกได้คำเดียวงานช้างสุดๆค่ะ เพราะเราไม่เคยไปอเมริกามาก่อน และนี่เป็นครั้งที่สองที่ได้มาต่างประเทศ อยู่ไทยก็นั่งรถไฟล่าสุดน่าจะไม่ต่ำกว่า10ปีค่ะT^T แล้วคือภาษาอังกฤษเรากับแม่ก็งูๆปลาๆไม่ต่างกัน มีความกลัวอย่างที่สุดค่ะ โดยแม่เอาการนั่งรถไฟเที่ยวอเมริกามาจากPantipนี่แหละค่ะ เราขอให้เครดิตข้างล่างนี่นะคะ
เรื่องนั่งรถไฟ : https://pantip.com/topic/35885164?fbclid=IwAR16ymRMhvWgjFhXlh1q47zQQhUt4A5XN-T4r6SLW64Vzl5GoLAW0KRQ7VA
เรื่องทริปใน San Francisco : https://pantip.com/topic/34347715?fbclid=IwAR2_2tinGXjsLTq9apgG38E9kRJnQykAvsie66aTAz4975k4ONk_NS3Ich8
เรื่องตั๋ว Amtrak : https://pantip.com/topic/36572389 , https://pantip.com/topic/34742868
และจากคนอื่นๆอีกมากมายที่เราจำไม่ได้ ขอบคุณทุกคนที่แชร์ประสบการณ์ให้เราได้ทำตามจริงๆค่ะ
หลังจากบ่นมานาน เข้าเรื่องเลยละกันนะคะ5555 เราวางแพลนตั้งแต่ปลายปีที่แล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้เริ่มอะไรจริงจังเพราะกลัวสัมภาษณ์วีซ่าไม่ผ่าน จากPantipที่แม่อยากตามนั้น เค้าไป
New York >> Chicago >> Denver >> Salt lake city >> San Francisco >> ซื้อทัวร์จาก San Francisco ไปเที่ยว las Vegas , Grand canyon,Horseshoe bend, Antelope canyon ก่อนกลับมา las Vegasและนั่งรถบัสกลับไปแอลเอ เพื่อต่อรถไฟไป >> New Orleans >> Washington dc >> New York
ส่วนทริปเรานั้นนน บอกเลยค่ะ เหมือนกันเป๊ะ! เลยค่ะ แต่ต่างกันตรงที เราจบที่ Las Vegas ค่ะ แล้วนั่งบัสต่อไปทำงาน ส่วนแม่ไปเที่ยวNew Orleans ต่อค่ะ แล้วนั่งเครื่องกลับ New York เพราะอายุ Rail Passes หมดพอดีค่ะ เลยนั่งเครื่องกลับดีกว่า
ซึ่งเราเริ่มวางแพลนจาก เราจะเริ่มไป Chicago วันไหน แล้วเราเข้าไปดูในเว็ป Amtrak ค่ะ ( เข้าไปดูได้ที่ : https://www.amtrak.com/home ) ลองกดจองคร่าวๆว่าเราจะนั่งจากที่ไหนไปที่ไหน แล้ววันที่ที่ไป (**วันที่สำคัญมากค่ะ** เพราะรถไฟบางขบวนจะไม่ได้ออกจากสถานีเดิม ในเวลาเดิมของทุกวันค่ะ ) เมื่อเรากดจอง เราก็จะได้รู้ว่าจากที่เราจะไปต้องใช้เวลาอยู่บนรถไฟนานขนาดไหน แล้วเราจะถึงจุดหมายเมื่อไร แล้วเราต้องค้างคืนไหม ก่อนจะไปที่จุดหมายต่อไปค่ะ เราก็แพลนได้คร่าวๆประมาณนี้ค่ะ
พอเราแพลนเที่ยวรถไฟได้แล้วก็เริ่มจองโรงแรมค่ะ เราเลือกที่มัน Cancel ได้ฟรี กับ จ่ายค่าที่พักที่นั่นตอนไปถึงค่ะ ซึ่งเหมาะกับคนที่อนาคตไม่แน่นอนอย่างเราที่สุดค่ะ โดยเราเลือกดูที่พักจาก
Booking : https://www.booking.com/
Expedia : https://www.expedia.com/
Airbnb : https://th.airbnb.com/
โดยที่พักทั้งสามคืน เราจองคนละเว็บหมดเลยค่ะ 555555 ซึ่งแน่นอนว่าเราเลือกที่จากเว็บที่ถูถที่สุดโดยโรงแรมของBookingกับExpediaจะมีความคล้ายกันแต่จะแตกต่างที่ตรงที่ราคาค่ะ ส่วน Airbnb นั้นจะไม่ใช่โรงแรมหรือโฮสเทลค่ะ แต่จะเป็นบ้านพักที่เจ้าของแบ่งให้เช่าซึ่งอาจจะเป็นบ้านหลังหนึ่งแบ่งกับแขกหลายๆกลุ่มหรือห้องพักในคอนโดห้องหนึ่งค่ะ
โดยเทคนิคในการเลือกของเราคือ… เปิดแผนที่(Map)ค่ะ โดยในแต่ละเว็บจะมีให้กดแสดงแผนที่ค่ะ
โดยเราจะหาก่อนค่ะว่า สถานี Amtrak อยู่ตรงไหน เอาที่พักที่สามารถเดินได้จากสถานีที่ถูกที่สุดค่ะ เพราะเรายังไม่มั่นใจตัวเอง ในเรื่องการใช้รถสาธารณะต่างๆในอเมริกาเลยค่ะ 55555 เราก็จองที่พักไปคร่าวๆก่อนที่จะได้สัมภาษณ์วีซ่าค่ะ พอวีซ่าผ่านเราก็เริ่มทุกอย่างอย่างเต็มสูบเลยค่ะ เริ่มจากจองตั๋วเครื่องบิน ซื้อ USA Rail Pass ซื้อทัวร์ในSan Francisco แล้วก็จองโรงแรมที่เหลือค่ะ
มาต่อกันที่ ซื้อ USA Rail Pass ค่ะ บัตรนี่จะคล้ายๆกับ JR Pass ของญี่ปุ่นค่ะ ที่เราซื้อเป็นจำนวนวันที่เราจะใช้ แล้วเราจะขึ้น JR กี่เที่ยวก็ได้จนกว่าบัตรจะหมดอายุ USA Rail Pass ก็หมือนกันค่ะ เป็นการให้บริการของบริษัทรถไฟในอเมริกาที่ชื่อว่า Amtrak ค่ะ โดยจะมี 3 แบบค่ะ คือ 15 วัน, 30วัน แล้วก็ 45 วันค่ะ ราคาจะแตกต่างกันไป สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ : https://www.amtrak.com/deals-discounts/multi-ride-rail-passes/rail-passes/take-the-trains-across-america-with-usa-rail-pass.html ซึ่งเป็นเว็บของทาง Amtrak ค่ะ และเราสามารถซื้อตั๋วจากเว็บนี้ได้โดยตรงเลยค่ะ
โดยแต่ละแบบจะมีการจำกัด Segment หรือจำนวนเที่ยวที่เรานั่งรถไฟค่ะ ซึ่งตอนแรกเรางงเรื่องการนับ Segment มากเเลยค่ะ อ่านในเว็บก็ไม่เข้าใจ จนอ่านจากหลายที่และรวมกับคำบอกจากคนที่อเมริกา จึงได้ความว่า มันคือจำนวนเที่ยวที่เราขึ้นต่อรถไฟค่ะ ขอยกตัวอย่างง่ายๆนะคะ คือ ถ้าเราต้องการนั่งรถไฟจาก New York ไป Chicago โดยที่นั่งรวดเดียวถึง จะมันเป็น 1 Segment
New York >>> Chicago เท่ากับ 1 Segment
แต่ถ้าเรานั่งรถไฟจาก New York ไป Chicago โดยที่ระหว่างทางเราต้องไปเปลี่ยนรถไฟที่ Washington DC ก่อนจะถึง Chicago มันจะนับได้เป็น 2 Segment ค่ะ
New York >>> Washington DC เท่ากับ 1 Segment
Washington DC >>> Chicago เท่ากับ 1 Segment
เราสามารถจองแค่ครั้งเดียวได้ เพราะมันคือRoute เดียวกัน หรือเส้นทางการเดินทางเดียวกันค่ะ ซึ่งจาก New York ไป Chicago ก็มีหลาย Route ค่ะแล้วแต่เราเลือกเลย
ตั๋วที่เราเลือกซื้อคือ แบบ15 วัน $459 ค่ะ ของเราพอคำนวณราคาAmtrak ไม่ค่อยคุ้มเท่าไรค่ะ เพราะเราใช้ไม่ครบ 8 Segment ก็ต้องไปทำงานต่อค่ะ แต่ของแม่คือคุ้มกับราคาตั๋วอยู่ค่ะ แต่ข้อดีของมันคือถ้าใช้ครบSegment นั่งไปไกลๆ หรือซื้อช่วงใกล้ๆวันเดินทางก็คุ้มสุดๆไปเลยค่ะ เพราะยิ่งใกล้วันเดินทางตั๋วยิ่งแพงค่ะ แต่ถ้าแพลนเที่ยวเสร็จเร็ว และมั่นใจว่าไปได้แน่ๆ แนะนำให้คำนวณแต่ละเที่ยวที่เราไปเป็นราคาเท่าไหร่ เพราะถ้าจองล่วงหน้านานๆเราจะได้ตั๋วถูกค่ะ แล้วไม่แน่ว่าอาจจะถูกกว่า Rail Pass ก็ได้ค่ะ
เมื่อเราทำการซื้อตั๋วRail Pass โดยชำระผ่านบัตรเครดิตแล้ว Amtrak จะมีอีเมลส่งกลับมาหาเราค่ะ โดยจะมีการบอกรายละเอียดการจองของเราค่ะ พร้อมทั้ง Pass Reservation Number แล้วเราก็นำหมายเลขนี้ ไปทำการจองตั๋วของรถไฟแต่ละเที่ยวผ่านอีกเมลอีกทีค่ะ หรืออีกทางเลือกนึงคือ ไปรับ Rail Pass ก่อน แล้วค่อยไปซื้อตั๋วที่สถานีก็ได้ค่ะ
ด้วยความที่เรากลัวว่ารถไฟเที่ยวที่เราไปจะเต็มก่อนเราเลย ทำการจองตั๋วรถไฟผ่านทางอีเมลตามกระทู้ที่เคยอ่านมาเลยค่ะ โดยอีเมลแรกที่ Amtrak ส่งมาจะเป็นรายละเอียดการจองของเรา เค้าจะมีการแนะนำการจองตั๋วรถไฟอยู่ค่ะ คือให้โทรไปจอง หรืออีเมลไปจองตามที่อยู่อีเมลที่เค้าให้มาค่ะ ซึ่งถ้าโทรไปก็กลัวจะฟังเค้าไม่รู้เรื่อง เราก็เลยเลือกอีเมลไปหาดีกว่าค่ะ5555 โดยเราจะต้องบอกชื่อเรา Pass Reservation Number แล้วก็เที่ยวรถไฟที่เราต้องการจะจองค่ะ โดยจะจองรวดเดียว 8 Segment เลย หรือ ทีละSegmentก็ได้ค่ะ และเพื่อความรวดเร็วเราเลยจองทีเดียวหมดเลยค่ะ5555 แล้ว Amtrak ก็จะมีอีเมล Reservation Number พร้อมทั้ง Barcode มาให้เราค่ะ เราจะนำ Barcode ที่ได้มาไปสแกนที่สถานีเพื่อรับตั๋วจริงค่ะ
ตอนที่เราทำการซื้อRail Passนั้นมันจะมีให้ระบุวันที่ไปรับบัตรค่ะ ว่าเราจะไปรับวันไหน และสถานีอะไร ซึ่งถ้าเลยวันนัดไปมันจะยกเลิกของเราโดยอัตโนมัติค่ะ แล้วเราจะเสียเงินไปฟรีๆ พอมาถึงวันรับตั๋วของเรา รู้สึกแตกต่างจากที่คิดพอสมควรค่ะ
เรานัดรับตั๋วที่ Penn station ใน New York ค่ะ เริ่มจากหาที่ขายตั๋วของทางAmtrak ค่ะ ซึ่งถ้าเรามาทางรถไฟใต้ดิน ก็เดินตามป้ายบอกทางมา Amtrak ได้เลยค่ะ ป้ายชัดเจน ดูง่ายค่ะ ว่าเราต้องไปทางไหน ส่วนถ้าทางรถจะมีทางเข้านึงที่เดินเข้ามาแล้วลงบันไดเลื่อนก็ถึงAmtrakเลยค่ะ
ทางเข้านี้เลยค่ะจะอยู่ตรงข้ามกับสถานี Penn station สวยๆค่ะ
โดยเราไปที่เคาน์เตอร์ Amtrak Ticket แล้วบอก Reservation Number ของตัวRail Pass แล้วก็ตั๋วย่อยที่เราจองไว้กับเจ้าหน้าที่ แล้วเจ้าหน้าที่จะปริ้นตั๋วทั้งหมดให้เรามาค่ะ รวมถึงตั๋วย่อยๆด้วย เราจึงไม่ต้องไปสแกนบาร์โค้ดที่เครื่องKisok เพื่อปริ้นตั๋วอีกรอบค่ะ ตั๋วที่เราจะได้รับจะมีหน้าตาแบบนี้ค่ะ
ซึ่งแตกต่างจากที่เห็นในPantipเลยค่ะ โดยจะเป็นตั๋วกระดาษ เหมือนกันทั้งหมดเลยค่ะ ในส่วนของRail Pass เจ้าหน้าที่จะแม็กติดกับซองเก็บตั๋วเลยค่ะ ส่วนตั๋วย่อยที่เหลือสอดอยู่อีกฝั่งค่ะ หน้าตาด้านหน้าก็จะเป็นประมาณนี้ค่ะ
แล้วเราก็สามารถขึ้นรถไฟด้วยตั๋วนี้เลยคร๊าาา
แล้วอีก1สิ่งที่สำคัญมากๆ ต้องมีเลยคือ อินเตอร์เน็ตค่ะ! เพราะตลอดการเดินทางเราใช้Google Map ตลอดเลยค่ะ ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นอะไรที่สำคัญที่สุดค่ะ แนะนำให้ใช้ซิมรายเดือนของอเมริกาเลยค่ะ มันจะมีอันที่เราซื้อมาแล้วใช้ได้เลย1เดือน ถ้าจะต่ออีกเดือน ก็ไปต่อที่ร้านในเครือข่ายนั้นๆค่ะ หรือบางค่ายก็ใช้บัตรเติมเงินเข้าไปได้เลย ด้วยความที่เราก็ไม่ได้รู้เยอะเกี่ยวกับการซื้อซิมในอเมริกา ก็ขออนุญาตไม่ได้อธิบายกันอย่างละเอียดนะคะ
หลังจากเราเตรียมความพร้อมกันมาเยอะแล้ว Let's go to Travel กันค่ะ!!!!
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้