บทที่1
“ใครฆ่าเจ้าสัว”
ยังคงเป็นประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงแก่เหล่าสื่อสารมวลชล และประชาชนที่เสพข่าวสาร เหตุเนื่องจากเจ้าสัวสมศักดิ์ เจ้าของธุรกิจส่งออกเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่เสียชีวิตอย่างปริศนาในห้องทำงานอันเป็นที่รักภายในคฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬารที่ตั้งโดนเด่นด้วยภูมิทัศน์รอบข้างที่เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า และร้านค้าที่ตั้งอยู่อย่างกระชั้นชิด เหลือเพียงทรัพย์สินมหาสมบัติที่ตกทอดสู่ลูกหลาน มิสามารถนำไปพร้อมกับชีวิตได้
“ทรัพย์สินของข้าพเจ้าอันประกอบไปด้วย คฤหาสน์22ไร่ หุ้นบริษัทที่ข้าพเจ้าถือไว้สูงสุด เงินสดจำนวนหนึ่งจากหกธนาคาร พาหนะประเภทรถที่อยู่ในนามของข้าพเจ้า รวมถึงที่ดินทั้งสิ้นหนึ่งร้อยยี่สิบแปดไร่จากต่างจังหวัด เพชร พลอย อัญมณีที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคาร และสุดท้ายทรัพย์สินอันเป็นที่รักของข้าพเจ้า คือบริษัทส่งออกเฟอร์นิเจอร์ ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าขอยกให้แก่ นายสุรพล อภิวัฒน์รัตนรินทรณ์ ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ข้าพเจ้าประกอบพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้น ขณะที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกประการ”
เมื่อเสียงกล่าวเนื้อความพินัยกรรมที่แบกความหวังของสมาชิกภายในครอบครัวสิ้นสุดลง วีรวัฒน์ คิมหันต์ นวิญา และพิมลพรรณต่างจ้องหน้าทนายความด้วยความประหลาดใจราวกับผงาดมองสิ่งแปลกปลอม เหลือเพียงสุรพลที่หน้านิ่งราวกับหัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ
“อาทนายอ่านชื่อผิดป่าวครับ”
ใบหน้าหล่อคม สะอาดสะอ้าน สีผิวคล้ำค่อนไปทางสีดำ ส่วนสูงพอเหมาะ นั่งอย่างสุภาพบนโซฟากล่าววาจาด้วยความไม่เชื่อใจ
“ไม่นะครับ ผมอ่านตามพินัยกรรมทุกตัวอักษร”
เสียงทนายคนสนิทของเจ้าสัวสมศักดิ์กล่าวค้านด้วยนำเสียงแข็งกระด้างเพื่อตอบคำกล่าวหาของสุรพล
“ไม่จริง ไม่จริ๊ง!!”
นวิญา ลูกสาวลำดับที่สามของเจ้าสัวกล่าววาจาไม่เชื่อพินัยกรรมที่ระบุไว้ ด้วยแต่ก่อนตนเคยหวังไว้หากวันหนึ่งบิดาสิ้นลมหายใจ ตนก็ต้องได้ครอบครองสมบัติทั้งหมด เพราะตนทำคุณูปการสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทมากมาย
“ทำไม ทำไม คุณพ่อคิดอะไรอยู่ ถึงได้ยกสมบัติมหาศาลให้ลูกนังเมียน้อย อ๊าย.........” พิมล บุตรสาวคนสุดท้องแห่งตระกูลกล่าววาทะตอกย้ำศักดิ์แห่งมารดาของสุรพล
“นี่ ตามล เอะอะก็เมียน้อย คำสองคำก็เมียน้อย นี่เธอตกภาษาไทยเหรอ คำตั้งหลายคำรู้จักแค่คำว่าเมียน้อย” วีรวัฒน์ บุตรชายคนโตแห่งตระกูลอภิวัฒน์รัตนรินทรณ์ หล่อนนิสัยครึ้มๆ พูดน้อย แต่หากลมปากได้เปล่งออกมาแล้วย่อมมีพิศทำลายล้างจิตใจคนฟัง
“ผมยอมเสียสละที่จะไม่รับสมบัติแม้สักชิ้นเดียว อาทนาย....ผม..ผมขอโอนสมบัติทั้งหมดให้พี่วัฒน์ดูแลและจัดการแบ่งให้ทุกคน”สุรพลกล่าวตอบ
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้” ทนายกล่าววาทะตอบรับวาจาของสุรพลที่กล่าวต่อตนด้วยใบหน้าที่เข้มครึ้มปนเศร้า
*****
เมื่อเสร็จจากกิจกรรมเปิดพินัยกรรม สมาชิกตระกูลทุกคนต่างกลับขึ้นห้องเพื่อผักผ่อน และเตรียมงานฌาปนกิจศพที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เหลือเพียงคิมหันต์ บุตรชายคนที่สองที่นั่งขมวดคิ้วเข้มยาวสีน้ำตาลอ่อน
“หรือว่า..........สุรพลจะเป็นคนร้ายฆ่าคุณพ่อ เพราะรู้ว่าพ่อยกสมบัติให้ตน......แล้วทำไมคุณพ่อยกสมบัติให้มัน ทั้งๆที่ไม่เคยแม้แต่ชายตามองสักนิด”
อนึ่ง ผู้ต้องสงสัยที่ทางตำรวจคาดการณ์ไว้มีอยู่สามคนหลักๆได้แก่
-ป้าเมี้ยน
ป้าเมี้ยนเป็นแม่บ้านใหญ่แห่งตระกูลอภิวัฒน์รัตนรินทรณ์ อนึ่งเวลาที่เจ้าสัวเสียชีวิตนั้น ทางตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด และภาพจากกล้องระบุว่าป้าเมี้ยนคือคนที่เข้า-ออกห้องของเจ้าสัว ณ เวลาใกล้เกิดเหตุ
-เจ้าสัวเฉิน
เจ้าสัวเฉิน เจ้าของธุรกิจส่งออกเครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์ ศัตรูคนสำคัญของเจ้าสัว อนึ่งเจ้าสัวเฉินกับเจ้าสัวสมศักดิ์เคยเป็นคู่อริกัน เหตุเนื่องจากเคยแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน ตลอดจนเป็นคู่แข่งทางการตลาด
-นายสัน
นายสัน หนุ่มนักเลงอันธพาลประจำซอย เจ้าสัวสมศักดิ์เคยดุ เหตุเกิดจากเจ้าสัวสมศักดิ์เป็นเจ้าหนี้ของมารดาของนายสัน และเมื่อเจ้าสัวส่งลูกน้องไปทวงหนี้ ปรากฏว่ามารดาของสันหลบหนี และเมื่อพวกเขาไล่จับจนได้ตัว พวกเขารุมทำร้ายอย่างหนักหน่วง อาจจะเป็นไปได้ที่สันแค้นเจ้าสัวจากสาเหตุนี้ จนต้องมาแก้แค้นจองล้างจองผลาญ
อนึ่ง ทีมตำรวจที่ควบคุมคดีทำงานอย่างสุดความสามารถ พยายามค้นหาหลักฐานมัดตัวคนร้าย เพื่อปิดคดีที่ดังระเบิดระดับประเทศนี้ให้ได้
*****
ณ จังหวัดราชบุรี หญิงสาวมาดเท่ห์ ก้าวขาอย่างกระฉับกระเฉงว่องไวมุ่งตรงมายังมารดาที่นั่งร้อยพวงมาลัยบนแคร่ไม้ไผ่เก่าทรุดโทรมอย่างปราณีต
“แม่ แม่”
หล่อนตะโกนเรียกมารดาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส กลับตรงกันข้ามกับจิตใจภายในที่หมองเศร้า
“มีอะไรรึเจ้าหนู ตะโกนเสียงดังเชียวนะ”
“มีคำสั่งย้ายหนูให้ไปประจำการที่กรุงเทพฯ หนูไม่อยากจากแม่ไปเลย เห็นว่าเขาจะเลื่อนยศให้ด้วย”
**หล่อนมีนามว่า ร้อยตำรวจตรีหญิงกานต์ดา รูปร่างภายนอกเพรียว ส่วนสูงขนาดพอเหมาะ ใบหน้าสะอาดสะอ้านปราศจากริ้วร้อย สีผิวสีแทน มือไม้อ่อนนุ่ม นิ้วเรียวยาว
“ถ้าย้ายลูกก็จะได้เลื่อนยศ เงินเดือนเพิ่มขึ้น เราก็จะสบายขึ้นไงลูก”
“เห็นหนูเป็นคนห้าวๆ แต่หนูก็รักแม่ ไม่อยากจากแม่ไปไหนน่าา”
“จร้า แล้วได้เลื่อนขั้นเป็นอะไรล่ะ”
“ร้อยตำรวจเอกหญิงอ่ะแม่”
“ข้ามโทเลยรึ”
สองแม่ลูกสนทนากันสักพัก มีชายแก่เขย่งเท้าเข้ามานั่งบนแคร่เช่นกัน
“กานต์ดา เอาน้ำให้พ่อหน่อยสิ”
หล่อนรีบลุกขึ้น แววตามองบิดาด้วยสีหน้านุ่มนวลอ่อนโยน
พลันขึ้นบ้านตักน้ำโอ่งเย็นชื่นใจให้บิดาผู้เป็นที่รักดื่ม
“อ่าส์ส์”
ผู้เป็นบิดาชื่นอกชื่นใจเมื่อได้ดื่มด่ำกับน้ำฝนที่รองไว้ใส่โอ่งตามประสาคนบ้านนอก
-บิดาของกานต์ดานามว่า สมโชค
-มารดาของกานต์ดามีนามว่า มาลี
*****
“ตำรวจพบเบาะแสบางอย่างที่ชี้ตัวคนร้ายครับ”
ตำรวจหนุ่มกล่าววาทะที่แฝงไปด้วยความคาดหวังของตระกูลอภิวัฒน์รัตนรินทรณ์
“อะไรเหรอคะ”
“ทางตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิดหน้าปากซอย พบว่ามีรถต้องสงสัยคันหนึ่งไม่มีป้ายทะเบียน และเมื่อตรวจสอบกล้องภายในซอยสามารถปะติดปะต่อได้ว่ารถคันนั้นจอดอยู่หน้าบ้านพวกคุณ และเมื่อตรวจกล้องวรจรปิดที่ติดอยู่บริเวณรั้วบ้านพบว่ามีผู้ชายต้องสงสัยสวมโม่ง ใส่ถุงมือ แต่งตัวมิดชิดขึ้นรถคันนั้นไป”
ตำรวจเล่าให้เหล่าสมาชิกตระกูลฟัง ทุกคนสงบนิ่ง หน้าตาเศร้าหมอง มีเพียงนวิญาที่ตั้งหน้าตั้งตาก้มหน้าถูไถโทรศัพท์อย่างเรื่อยเปื่อย ตำรวจมองนวิญาด้วยกิริยาคิ้วขมวด แฝงด้วยความสงสัยในตัวของหล่อน และมีคำถามค้างคาใจ
“พ่อตายทั้งที ทำไมถึงยังร่าเริง”
แต่ตำรวจท่านนั้นก็ล้มความคิดไปเสียก้อน เพราะเหตุผลที่ว่า
นิยายไม่มีชื่อ(ไม่รู้จะตั้งว่าอะไรดี ช่วยตั้งให้หน่อยคร้าบบ) บทที่1
“ใครฆ่าเจ้าสัว”
ยังคงเป็นประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงแก่เหล่าสื่อสารมวลชล และประชาชนที่เสพข่าวสาร เหตุเนื่องจากเจ้าสัวสมศักดิ์ เจ้าของธุรกิจส่งออกเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่เสียชีวิตอย่างปริศนาในห้องทำงานอันเป็นที่รักภายในคฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬารที่ตั้งโดนเด่นด้วยภูมิทัศน์รอบข้างที่เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า และร้านค้าที่ตั้งอยู่อย่างกระชั้นชิด เหลือเพียงทรัพย์สินมหาสมบัติที่ตกทอดสู่ลูกหลาน มิสามารถนำไปพร้อมกับชีวิตได้
“ทรัพย์สินของข้าพเจ้าอันประกอบไปด้วย คฤหาสน์22ไร่ หุ้นบริษัทที่ข้าพเจ้าถือไว้สูงสุด เงินสดจำนวนหนึ่งจากหกธนาคาร พาหนะประเภทรถที่อยู่ในนามของข้าพเจ้า รวมถึงที่ดินทั้งสิ้นหนึ่งร้อยยี่สิบแปดไร่จากต่างจังหวัด เพชร พลอย อัญมณีที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคาร และสุดท้ายทรัพย์สินอันเป็นที่รักของข้าพเจ้า คือบริษัทส่งออกเฟอร์นิเจอร์ ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าขอยกให้แก่ นายสุรพล อภิวัฒน์รัตนรินทรณ์ ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ข้าพเจ้าประกอบพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้น ขณะที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกประการ”
เมื่อเสียงกล่าวเนื้อความพินัยกรรมที่แบกความหวังของสมาชิกภายในครอบครัวสิ้นสุดลง วีรวัฒน์ คิมหันต์ นวิญา และพิมลพรรณต่างจ้องหน้าทนายความด้วยความประหลาดใจราวกับผงาดมองสิ่งแปลกปลอม เหลือเพียงสุรพลที่หน้านิ่งราวกับหัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ
“อาทนายอ่านชื่อผิดป่าวครับ”
ใบหน้าหล่อคม สะอาดสะอ้าน สีผิวคล้ำค่อนไปทางสีดำ ส่วนสูงพอเหมาะ นั่งอย่างสุภาพบนโซฟากล่าววาจาด้วยความไม่เชื่อใจ
“ไม่นะครับ ผมอ่านตามพินัยกรรมทุกตัวอักษร”
เสียงทนายคนสนิทของเจ้าสัวสมศักดิ์กล่าวค้านด้วยนำเสียงแข็งกระด้างเพื่อตอบคำกล่าวหาของสุรพล
“ไม่จริง ไม่จริ๊ง!!”
นวิญา ลูกสาวลำดับที่สามของเจ้าสัวกล่าววาจาไม่เชื่อพินัยกรรมที่ระบุไว้ ด้วยแต่ก่อนตนเคยหวังไว้หากวันหนึ่งบิดาสิ้นลมหายใจ ตนก็ต้องได้ครอบครองสมบัติทั้งหมด เพราะตนทำคุณูปการสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทมากมาย
“ทำไม ทำไม คุณพ่อคิดอะไรอยู่ ถึงได้ยกสมบัติมหาศาลให้ลูกนังเมียน้อย อ๊าย.........” พิมล บุตรสาวคนสุดท้องแห่งตระกูลกล่าววาทะตอกย้ำศักดิ์แห่งมารดาของสุรพล
“นี่ ตามล เอะอะก็เมียน้อย คำสองคำก็เมียน้อย นี่เธอตกภาษาไทยเหรอ คำตั้งหลายคำรู้จักแค่คำว่าเมียน้อย” วีรวัฒน์ บุตรชายคนโตแห่งตระกูลอภิวัฒน์รัตนรินทรณ์ หล่อนนิสัยครึ้มๆ พูดน้อย แต่หากลมปากได้เปล่งออกมาแล้วย่อมมีพิศทำลายล้างจิตใจคนฟัง
“ผมยอมเสียสละที่จะไม่รับสมบัติแม้สักชิ้นเดียว อาทนาย....ผม..ผมขอโอนสมบัติทั้งหมดให้พี่วัฒน์ดูแลและจัดการแบ่งให้ทุกคน”สุรพลกล่าวตอบ
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้” ทนายกล่าววาทะตอบรับวาจาของสุรพลที่กล่าวต่อตนด้วยใบหน้าที่เข้มครึ้มปนเศร้า
*****
เมื่อเสร็จจากกิจกรรมเปิดพินัยกรรม สมาชิกตระกูลทุกคนต่างกลับขึ้นห้องเพื่อผักผ่อน และเตรียมงานฌาปนกิจศพที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เหลือเพียงคิมหันต์ บุตรชายคนที่สองที่นั่งขมวดคิ้วเข้มยาวสีน้ำตาลอ่อน
“หรือว่า..........สุรพลจะเป็นคนร้ายฆ่าคุณพ่อ เพราะรู้ว่าพ่อยกสมบัติให้ตน......แล้วทำไมคุณพ่อยกสมบัติให้มัน ทั้งๆที่ไม่เคยแม้แต่ชายตามองสักนิด”
อนึ่ง ผู้ต้องสงสัยที่ทางตำรวจคาดการณ์ไว้มีอยู่สามคนหลักๆได้แก่
-ป้าเมี้ยน
ป้าเมี้ยนเป็นแม่บ้านใหญ่แห่งตระกูลอภิวัฒน์รัตนรินทรณ์ อนึ่งเวลาที่เจ้าสัวเสียชีวิตนั้น ทางตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด และภาพจากกล้องระบุว่าป้าเมี้ยนคือคนที่เข้า-ออกห้องของเจ้าสัว ณ เวลาใกล้เกิดเหตุ
-เจ้าสัวเฉิน
เจ้าสัวเฉิน เจ้าของธุรกิจส่งออกเครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์ ศัตรูคนสำคัญของเจ้าสัว อนึ่งเจ้าสัวเฉินกับเจ้าสัวสมศักดิ์เคยเป็นคู่อริกัน เหตุเนื่องจากเคยแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน ตลอดจนเป็นคู่แข่งทางการตลาด
-นายสัน
นายสัน หนุ่มนักเลงอันธพาลประจำซอย เจ้าสัวสมศักดิ์เคยดุ เหตุเกิดจากเจ้าสัวสมศักดิ์เป็นเจ้าหนี้ของมารดาของนายสัน และเมื่อเจ้าสัวส่งลูกน้องไปทวงหนี้ ปรากฏว่ามารดาของสันหลบหนี และเมื่อพวกเขาไล่จับจนได้ตัว พวกเขารุมทำร้ายอย่างหนักหน่วง อาจจะเป็นไปได้ที่สันแค้นเจ้าสัวจากสาเหตุนี้ จนต้องมาแก้แค้นจองล้างจองผลาญ
อนึ่ง ทีมตำรวจที่ควบคุมคดีทำงานอย่างสุดความสามารถ พยายามค้นหาหลักฐานมัดตัวคนร้าย เพื่อปิดคดีที่ดังระเบิดระดับประเทศนี้ให้ได้
*****
ณ จังหวัดราชบุรี หญิงสาวมาดเท่ห์ ก้าวขาอย่างกระฉับกระเฉงว่องไวมุ่งตรงมายังมารดาที่นั่งร้อยพวงมาลัยบนแคร่ไม้ไผ่เก่าทรุดโทรมอย่างปราณีต
“แม่ แม่”
หล่อนตะโกนเรียกมารดาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส กลับตรงกันข้ามกับจิตใจภายในที่หมองเศร้า
“มีอะไรรึเจ้าหนู ตะโกนเสียงดังเชียวนะ”
“มีคำสั่งย้ายหนูให้ไปประจำการที่กรุงเทพฯ หนูไม่อยากจากแม่ไปเลย เห็นว่าเขาจะเลื่อนยศให้ด้วย”
**หล่อนมีนามว่า ร้อยตำรวจตรีหญิงกานต์ดา รูปร่างภายนอกเพรียว ส่วนสูงขนาดพอเหมาะ ใบหน้าสะอาดสะอ้านปราศจากริ้วร้อย สีผิวสีแทน มือไม้อ่อนนุ่ม นิ้วเรียวยาว
“ถ้าย้ายลูกก็จะได้เลื่อนยศ เงินเดือนเพิ่มขึ้น เราก็จะสบายขึ้นไงลูก”
“เห็นหนูเป็นคนห้าวๆ แต่หนูก็รักแม่ ไม่อยากจากแม่ไปไหนน่าา”
“จร้า แล้วได้เลื่อนขั้นเป็นอะไรล่ะ”
“ร้อยตำรวจเอกหญิงอ่ะแม่”
“ข้ามโทเลยรึ”
สองแม่ลูกสนทนากันสักพัก มีชายแก่เขย่งเท้าเข้ามานั่งบนแคร่เช่นกัน
“กานต์ดา เอาน้ำให้พ่อหน่อยสิ”
หล่อนรีบลุกขึ้น แววตามองบิดาด้วยสีหน้านุ่มนวลอ่อนโยน
พลันขึ้นบ้านตักน้ำโอ่งเย็นชื่นใจให้บิดาผู้เป็นที่รักดื่ม
“อ่าส์ส์”
ผู้เป็นบิดาชื่นอกชื่นใจเมื่อได้ดื่มด่ำกับน้ำฝนที่รองไว้ใส่โอ่งตามประสาคนบ้านนอก
-บิดาของกานต์ดานามว่า สมโชค
-มารดาของกานต์ดามีนามว่า มาลี
*****
“ตำรวจพบเบาะแสบางอย่างที่ชี้ตัวคนร้ายครับ”
ตำรวจหนุ่มกล่าววาทะที่แฝงไปด้วยความคาดหวังของตระกูลอภิวัฒน์รัตนรินทรณ์
“อะไรเหรอคะ”
“ทางตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิดหน้าปากซอย พบว่ามีรถต้องสงสัยคันหนึ่งไม่มีป้ายทะเบียน และเมื่อตรวจสอบกล้องภายในซอยสามารถปะติดปะต่อได้ว่ารถคันนั้นจอดอยู่หน้าบ้านพวกคุณ และเมื่อตรวจกล้องวรจรปิดที่ติดอยู่บริเวณรั้วบ้านพบว่ามีผู้ชายต้องสงสัยสวมโม่ง ใส่ถุงมือ แต่งตัวมิดชิดขึ้นรถคันนั้นไป”
ตำรวจเล่าให้เหล่าสมาชิกตระกูลฟัง ทุกคนสงบนิ่ง หน้าตาเศร้าหมอง มีเพียงนวิญาที่ตั้งหน้าตั้งตาก้มหน้าถูไถโทรศัพท์อย่างเรื่อยเปื่อย ตำรวจมองนวิญาด้วยกิริยาคิ้วขมวด แฝงด้วยความสงสัยในตัวของหล่อน และมีคำถามค้างคาใจ
“พ่อตายทั้งที ทำไมถึงยังร่าเริง”
แต่ตำรวจท่านนั้นก็ล้มความคิดไปเสียก้อน เพราะเหตุผลที่ว่า