............ อารดานักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เธอเป็นหญิงสาวที่มีนิสัยร่าเริง มองโลกในแง่ดีมาตลอด ชีวิตของเธอเป็นไปอย่างเรียบง่าย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีอะไรที่ตื่นเต้น รอยยิ้มที่เพื่อนๆ มองเห็นอยู่เป็นนิตย์ ทำให้ทุกคนมองว่าเธอเป็นคนร่าเริง แจ่มใส อารมณ์ดีอยู่เสมอ แต่ในจำนวนเพื่อนทั้งหลายที่มีอยู่ในขณะนั้น มีเพื่อนคนหนึ่งที่ช่างสังเกต มีไหวพริบและมองโลกอย่างธรรมดา ไม่คิดว่าโลกนี้จะดีทั้งหมด เธอคือณัฏฐ์
ณัฏฐ์สนิทกับอารดาตั้งแต่ปีหนึ่ง ด้วยความที่เป็นนักกิจกรรมของคณะ ส่วนอารดาเลิกเรียนก็ต้องกลับบ้านตามคำสั่งของยาย ทำให้ค่อยๆ ห่างกัน ณัฏฐ์เคยสังเกตเห็นอารดาแม้ยิ้มกับเพื่อนๆ กลับแฝงความเศร้าและการครุ่นคิด ก็ได้แต่เก็บสิ่งที่ตนรับรู้จากประสาทสัมผัส หรือจากอะไรก็ไม่ทราบที่ดลใจให้สงสัยเพิ่มขึ้น จึงเก็บงำเรื่องที่คิดเรื่อยมา
จนกระทั่งวันหนึ่ง ทางบ้านของอารดาได้เกิดเรื่องร้าย แม่กับอาของอารดาได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ณัฏฐ์ได้เห็นใบหน้าและดวงตาที่แดงบวม ด้วยความที่ปกติอารดาเป็นคนผิวขาวอยู่แล้ว ดังนั้นใบหน้าที่ซีดขาวและดวงตาที่แดงช้ำ บอกถึงการผ่านการร้องไห้มาตลอดคืน เกิดนึกสงสารเธอจับใจกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ อยากหาเวลาเข้าไปปลอบแต่ด้วยมีภารกิจที่อาจารย์มอบหมาย จึงหาเวลาไม่ได้เสียที ทำได้แค่ให้กำลังใจอยู่ห่างๆ
ภายหลังงานศพ อารดาได้กลับมาเรียนตามปกติ ณัฏฐ์สังเกตจากใบหน้าและดวงตาที่หมองเศร้าไม่ต่างจากเดิม นึกสงสารเธอจับใจ จะเข้าไปถาม ก็เกรงว่าจะเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเพื่อน จึงมีเพียงความอยากรู้และอยากช่วยเพื่อนมาแทนที่ ณัฏฐ์ต้องการสลายความว้าวุ่นใจจึงหันไปพูดคุยเฮฮากับเพื่อน จึงไม่ทันเห็นว่าอารดามองมาที่ตนเช่นกัน ก็คงจะทนถึงที่สุดแล้ว
ณัฏฐ์เผลอมองไปเห็นใบหน้าอารดาชัดๆ สังเกตเห็นตาที่บวมเป่ง และปากที่แห้งผากบนใบหน้าของอารดา รอยยิ้มที่ณัฏฐ์เผยอให้เพื่อนๆ ที่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่มีอันต้องหุบลงทันที ณัฏฐ์ค่อยๆ เลี่ยงจากกลุ่มเพื่อนเข้าไปหาอารดา เธอนั่งก้มหน้า เป็นจังหวะพอดีที่เงยหน้ามาพอดี ณัฏฐ์พยักหน้าให้เป็นเชิงเชิญให้อารดาเข้ามาหา อารดาเองก็เข้าใจ เดินออกจากกลุ่มเพื่อนมาหาณัฏฐ์
ณัฏฐ์จับมืออารดาบีบเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย อารดาเริ่มมีน้ำตาเอ่อขอบตา ณัฏฐ์รู้ได้ทันทีเธอต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคน ซึ่งคนคนนั้นคือตนเอง จึงรีบเดินไปบอกลาเพื่อน ขอตัวกลับก่อน เพื่อนๆ มัวแต่โม้กัน หัวเราะกันไป จึงไม่ทันมีใครสังเกตเห็นความผิดปกติทั้งหมด
ณัฏฐ์พาอารดาออกไปจากกลุ่มเพื่อน ไปยังห้องเรียนที่ว่างอยู่ใกล้กับโรงอาหาร ไม่มีคนพลุ่กพล่าน อารดาเดินตามณัฏฐ์ไปทุกฝีก้าว เหมือนกับว่าณัฏฐ์จะเป็นผู้นำอารดาไปสู่หนทางชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่
ณัฏฐ์หาเก้าอี้มาให้อารดาและตัวเอง ทั้งสองนั่งอยู่ใกล้หน้าต่าง มีลมพัดเย็นสบาย ณัฏฐ์เริ่มเลียบๆ เคียงๆ ถามอารดาว่ามีอะไรจะพูดหรือไม่ ถ้ามีก็พูดออกมาได้ ณัฏฐ์พร้อมที่จะฟังเสมอ อารดาอยากเล่า อยากพูด แต่เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอ มันแน่นจนพูดไม่ออก น้ำตาเริ่มไหล ปากเริ่มสั่น เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากอารดาร้องไห้จนเต็มที่ ณัฏฐ์ก็เริ่มปลอบใจ ที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างที่รอการปลอบใจจากใครคนหนึ่งก็หลุดออกมาจากปากของอารดาทั้งหมด ณัฏฐ์นั่งฟังอย่างใช้ความคิด คำปลอบโยนต่างๆ และความเห็นใจจากณัฏฐ์ ทำให้อารดามีอาการดีขึ้นมาก
อารดาเล่าว่า เธออาจจะไม่ได้เรียนต่ออีก เพราะมีปัญหาทางบ้าน เมื่อณัฏฐ์ซักถึงปัญหาที่เกิด เธอก็เล่าว่า พ่อที่อยู่ด้วยในปัจจุบันนี้ และคนที่เธอเรียกว่าพ่ออยู่นั้น แท้จริงแล้วเป็นพ่อเลี้ยงซึ่งแต่เดิม แม่ของเธอมีเธอเป็นลูกคนเดียว และเป็นแม่หม้ายเมื่อพ่อของเธอเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเล็ก อารดาก็อาศัยอยู่กับยายที่ต่างจังหวัด โดยมีตาเป็นคนหาเลี้ยง เธอรักยายมาก เพราะยายรักเธอยิ่งกว่าแม่ของเธอเสียอีก ตลอดเวลาที่อารดาอยู่กับยายและตา แม่ไม่ค่อยสนใจไยดีอะไรนัก เดือนแรกๆ ก็ส่งเงินมาให้บ้าง 2000-3000 บาท นานวันเข้า ทั้งเงินทั้งตัวแม่ก็เงียบหายไป ตอนนั้นแม่ของเธอมาหางานทำอยู่ที่กรุงเทพฯ
จนกระทั่งแม่พบกับพ่อเลี้ยง ทั้งสองตกลงใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน โดยมีพยานรักด้วยกันสามคนซึ่งก็คือน้อง ๆ ของอารดาเป็นชายสอง หญิงหนึ่ง ก่อนนี้อารดาเป็นเพียงเด็กน้อยตามบ้านนอก จนกระทั่งตาของเธอเสียชีวิตลง แม่จึงรับอารดาและยายมาอยู่ด้วยกัน ครอบครัวดูมีความสุขดี เพราะพ่อเลี้ยงเป็นคนดีมาก อารดาก็ทราบว่า พ่อเลี้ยงต้องทำงานส่งน้องสองคนได้เรียนจนจบทุกคน ทั้งที่ตัวเองสอบเอ็นท์ได้คณะวิศวะ แต่มีปัญหาทางบ้านไม่มีเงินส่ง จึงต้องออกมาทำงานและและเรียนภาคค่ำไป น้องสาวคนรองมีครอบครัวแล้ว ส่วนน้องชายคนเล็กยังไม่มีงานทำ มักแวะเวียนมานอนค้างที่บ้านของพี่ชาย จนกระทั่งปัจจุบันนี้ พ่อเลี้ยงทำงานกับบริษัทต่างประเทศ ได้เงินเดือนเป็นเลขหลักแสน สามารถส่งเงินมาจุนเจือครอบครัวได้อย่างไม่เดือดร้อน พ่อเลี้ยงเป็นคนเก่ง ใจดี พูดน้อย และดีกับอารดา
วันหนึ่งป้ามิโชแม่บ้านชาวพม่าที่ทางบ้านจ้างไว้ ได้บอกเรื่องสำคัญกับอารดา แต่อารดาไม่เชื่อ จนอีกสองวันต่อมา อารดาได้กลับบ้านก่อนเวลาเพื่อไขข้อข้องใจ ป้ามิโชพาอารดาขึ้นไปข้างบน ตรงไปห้องของแม่ สิ่งที่อารดาปฏิเสธในใจมาตลอดว่า “ไม่จริง ไม่เชื่อ” กำลังปรากฏกับสายตาของอารดาเองแล้ว
ใช่...แม่ของเธอมีชู้ และที่ร้ายไปกว่านั้นคือ น้องชายคนสุดท้องของพ่อเลี้ยงเธอ คือชู้ของแม่นั่นเอง
อารดารู้สึกเหมือนคนตกน้ำ ใจหนึ่งอยากดิ้นรนหาทางรอด อีกใจหนึ่งอยากปล่อยให้จมดิ่งลงสู้ก้นแม่น้ำไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดอารดาเดินลงบันไดอย่างใจเหม่อลอย เพื่อนของแม่มาหาถึงบ้าน มันเหมือนเอามีดกรีดแทงลงที่ใจของเด็กสาวจริงๆ อารดาพยายามกลืนก้อนน้ำแข็งที่ติดอยู่ที่คอลงไปอย่างลำบาก ก่อนจะพูดปดไปว่าแม่นอนหลับ พฤติกรรมของแม่แม้แต่เพื่อนยังสงสัย จะหาทางเข้ามาพบหน้า อารดาปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ
อารดาพยายามทำใจและกริยาให้เป็นปกติ คิดทบทวนเรื่องนี้จะต้องนำความเรื่องนี้ไปปรึกษากับใครได้ ในเมื่อพ่อไม่อยู่เพราะต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ และส่งเงินเดือนมาให้แม่จัดการจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนของลูกสามคน รวมทั้งอารดาอย่างสม่ำเสมอไม่เคยขาด 2-3 เดือน พ่อจึงจะกลับบ้านสักครั้งเป็นอยู่อย่างนี้มาเป็นเวลานานห้าปีเต็ม ถ้าพ่อรู้เรื่องแม่มีชู้กับน้องชาย คงเสียใจมาก
พ่อเริ่มแก่ตัวลง เพราะอายุก็มากแล้ว ต้องตรากตรำทำงานหนัก หาเลี้ยงครอบครัวมาคนเดียวโดยตลอด ทางบริษัทก็เริ่มบีบให้พ่อออก เพราะเงินเดือนสูงมากแล้ว แต่ไม่มีใครที่จะคิดถึงอนาคต ทุกคนในบ้านเอาแต่ความสบาย ผิดกับอารดากับยายที่อยู่แบบไม่ปกติสุข เพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่นานคนรับใช้ก็ถูกแม่ไล่ออก อารดาเบาใจไปนิดหนึ่งว่า อย่างน้อยตอนนี้ก็มีไม่กี่คนที่รู้ความลับอันน่าอับอายนี้ เธอไม่ต้องการให้ใครรู้ รวมทั้งพ่อและน้อง แต่คนหนึ่งที่อารดาไม่เคยบอก แต่ท่านรู้เอง คือยายของเธอนั่นเอง สองคนหลานยายอยู่กันแบบเจียมตัว อะไรทำได้ก็ทำ ไม่เคยปริปากบ่น ไม่โวยวายอะไรทั้งสิ้น แม่เธอเสียอีกที่ละทิ้งหน้าที่แม่บ้าน ไม่ทำอะไรเลย ลูกสามคนที่เกิดจากแม่และพ่อเลี้ยงของเธอก็เกเรไม่ยอมเรียนหนังสือ
(ไว้วันหลังจะมาต่อครับ)
เส้นทางแห่งชีวิต
ณัฏฐ์สนิทกับอารดาตั้งแต่ปีหนึ่ง ด้วยความที่เป็นนักกิจกรรมของคณะ ส่วนอารดาเลิกเรียนก็ต้องกลับบ้านตามคำสั่งของยาย ทำให้ค่อยๆ ห่างกัน ณัฏฐ์เคยสังเกตเห็นอารดาแม้ยิ้มกับเพื่อนๆ กลับแฝงความเศร้าและการครุ่นคิด ก็ได้แต่เก็บสิ่งที่ตนรับรู้จากประสาทสัมผัส หรือจากอะไรก็ไม่ทราบที่ดลใจให้สงสัยเพิ่มขึ้น จึงเก็บงำเรื่องที่คิดเรื่อยมา
จนกระทั่งวันหนึ่ง ทางบ้านของอารดาได้เกิดเรื่องร้าย แม่กับอาของอารดาได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ณัฏฐ์ได้เห็นใบหน้าและดวงตาที่แดงบวม ด้วยความที่ปกติอารดาเป็นคนผิวขาวอยู่แล้ว ดังนั้นใบหน้าที่ซีดขาวและดวงตาที่แดงช้ำ บอกถึงการผ่านการร้องไห้มาตลอดคืน เกิดนึกสงสารเธอจับใจกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ อยากหาเวลาเข้าไปปลอบแต่ด้วยมีภารกิจที่อาจารย์มอบหมาย จึงหาเวลาไม่ได้เสียที ทำได้แค่ให้กำลังใจอยู่ห่างๆ
ภายหลังงานศพ อารดาได้กลับมาเรียนตามปกติ ณัฏฐ์สังเกตจากใบหน้าและดวงตาที่หมองเศร้าไม่ต่างจากเดิม นึกสงสารเธอจับใจ จะเข้าไปถาม ก็เกรงว่าจะเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเพื่อน จึงมีเพียงความอยากรู้และอยากช่วยเพื่อนมาแทนที่ ณัฏฐ์ต้องการสลายความว้าวุ่นใจจึงหันไปพูดคุยเฮฮากับเพื่อน จึงไม่ทันเห็นว่าอารดามองมาที่ตนเช่นกัน ก็คงจะทนถึงที่สุดแล้ว
ณัฏฐ์เผลอมองไปเห็นใบหน้าอารดาชัดๆ สังเกตเห็นตาที่บวมเป่ง และปากที่แห้งผากบนใบหน้าของอารดา รอยยิ้มที่ณัฏฐ์เผยอให้เพื่อนๆ ที่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่มีอันต้องหุบลงทันที ณัฏฐ์ค่อยๆ เลี่ยงจากกลุ่มเพื่อนเข้าไปหาอารดา เธอนั่งก้มหน้า เป็นจังหวะพอดีที่เงยหน้ามาพอดี ณัฏฐ์พยักหน้าให้เป็นเชิงเชิญให้อารดาเข้ามาหา อารดาเองก็เข้าใจ เดินออกจากกลุ่มเพื่อนมาหาณัฏฐ์
ณัฏฐ์จับมืออารดาบีบเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย อารดาเริ่มมีน้ำตาเอ่อขอบตา ณัฏฐ์รู้ได้ทันทีเธอต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคน ซึ่งคนคนนั้นคือตนเอง จึงรีบเดินไปบอกลาเพื่อน ขอตัวกลับก่อน เพื่อนๆ มัวแต่โม้กัน หัวเราะกันไป จึงไม่ทันมีใครสังเกตเห็นความผิดปกติทั้งหมด
ณัฏฐ์พาอารดาออกไปจากกลุ่มเพื่อน ไปยังห้องเรียนที่ว่างอยู่ใกล้กับโรงอาหาร ไม่มีคนพลุ่กพล่าน อารดาเดินตามณัฏฐ์ไปทุกฝีก้าว เหมือนกับว่าณัฏฐ์จะเป็นผู้นำอารดาไปสู่หนทางชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่
ณัฏฐ์หาเก้าอี้มาให้อารดาและตัวเอง ทั้งสองนั่งอยู่ใกล้หน้าต่าง มีลมพัดเย็นสบาย ณัฏฐ์เริ่มเลียบๆ เคียงๆ ถามอารดาว่ามีอะไรจะพูดหรือไม่ ถ้ามีก็พูดออกมาได้ ณัฏฐ์พร้อมที่จะฟังเสมอ อารดาอยากเล่า อยากพูด แต่เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอ มันแน่นจนพูดไม่ออก น้ำตาเริ่มไหล ปากเริ่มสั่น เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากอารดาร้องไห้จนเต็มที่ ณัฏฐ์ก็เริ่มปลอบใจ ที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างที่รอการปลอบใจจากใครคนหนึ่งก็หลุดออกมาจากปากของอารดาทั้งหมด ณัฏฐ์นั่งฟังอย่างใช้ความคิด คำปลอบโยนต่างๆ และความเห็นใจจากณัฏฐ์ ทำให้อารดามีอาการดีขึ้นมาก
อารดาเล่าว่า เธออาจจะไม่ได้เรียนต่ออีก เพราะมีปัญหาทางบ้าน เมื่อณัฏฐ์ซักถึงปัญหาที่เกิด เธอก็เล่าว่า พ่อที่อยู่ด้วยในปัจจุบันนี้ และคนที่เธอเรียกว่าพ่ออยู่นั้น แท้จริงแล้วเป็นพ่อเลี้ยงซึ่งแต่เดิม แม่ของเธอมีเธอเป็นลูกคนเดียว และเป็นแม่หม้ายเมื่อพ่อของเธอเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเล็ก อารดาก็อาศัยอยู่กับยายที่ต่างจังหวัด โดยมีตาเป็นคนหาเลี้ยง เธอรักยายมาก เพราะยายรักเธอยิ่งกว่าแม่ของเธอเสียอีก ตลอดเวลาที่อารดาอยู่กับยายและตา แม่ไม่ค่อยสนใจไยดีอะไรนัก เดือนแรกๆ ก็ส่งเงินมาให้บ้าง 2000-3000 บาท นานวันเข้า ทั้งเงินทั้งตัวแม่ก็เงียบหายไป ตอนนั้นแม่ของเธอมาหางานทำอยู่ที่กรุงเทพฯ
จนกระทั่งแม่พบกับพ่อเลี้ยง ทั้งสองตกลงใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน โดยมีพยานรักด้วยกันสามคนซึ่งก็คือน้อง ๆ ของอารดาเป็นชายสอง หญิงหนึ่ง ก่อนนี้อารดาเป็นเพียงเด็กน้อยตามบ้านนอก จนกระทั่งตาของเธอเสียชีวิตลง แม่จึงรับอารดาและยายมาอยู่ด้วยกัน ครอบครัวดูมีความสุขดี เพราะพ่อเลี้ยงเป็นคนดีมาก อารดาก็ทราบว่า พ่อเลี้ยงต้องทำงานส่งน้องสองคนได้เรียนจนจบทุกคน ทั้งที่ตัวเองสอบเอ็นท์ได้คณะวิศวะ แต่มีปัญหาทางบ้านไม่มีเงินส่ง จึงต้องออกมาทำงานและและเรียนภาคค่ำไป น้องสาวคนรองมีครอบครัวแล้ว ส่วนน้องชายคนเล็กยังไม่มีงานทำ มักแวะเวียนมานอนค้างที่บ้านของพี่ชาย จนกระทั่งปัจจุบันนี้ พ่อเลี้ยงทำงานกับบริษัทต่างประเทศ ได้เงินเดือนเป็นเลขหลักแสน สามารถส่งเงินมาจุนเจือครอบครัวได้อย่างไม่เดือดร้อน พ่อเลี้ยงเป็นคนเก่ง ใจดี พูดน้อย และดีกับอารดา
วันหนึ่งป้ามิโชแม่บ้านชาวพม่าที่ทางบ้านจ้างไว้ ได้บอกเรื่องสำคัญกับอารดา แต่อารดาไม่เชื่อ จนอีกสองวันต่อมา อารดาได้กลับบ้านก่อนเวลาเพื่อไขข้อข้องใจ ป้ามิโชพาอารดาขึ้นไปข้างบน ตรงไปห้องของแม่ สิ่งที่อารดาปฏิเสธในใจมาตลอดว่า “ไม่จริง ไม่เชื่อ” กำลังปรากฏกับสายตาของอารดาเองแล้ว
ใช่...แม่ของเธอมีชู้ และที่ร้ายไปกว่านั้นคือ น้องชายคนสุดท้องของพ่อเลี้ยงเธอ คือชู้ของแม่นั่นเอง
อารดารู้สึกเหมือนคนตกน้ำ ใจหนึ่งอยากดิ้นรนหาทางรอด อีกใจหนึ่งอยากปล่อยให้จมดิ่งลงสู้ก้นแม่น้ำไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดอารดาเดินลงบันไดอย่างใจเหม่อลอย เพื่อนของแม่มาหาถึงบ้าน มันเหมือนเอามีดกรีดแทงลงที่ใจของเด็กสาวจริงๆ อารดาพยายามกลืนก้อนน้ำแข็งที่ติดอยู่ที่คอลงไปอย่างลำบาก ก่อนจะพูดปดไปว่าแม่นอนหลับ พฤติกรรมของแม่แม้แต่เพื่อนยังสงสัย จะหาทางเข้ามาพบหน้า อารดาปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ
อารดาพยายามทำใจและกริยาให้เป็นปกติ คิดทบทวนเรื่องนี้จะต้องนำความเรื่องนี้ไปปรึกษากับใครได้ ในเมื่อพ่อไม่อยู่เพราะต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ และส่งเงินเดือนมาให้แม่จัดการจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนของลูกสามคน รวมทั้งอารดาอย่างสม่ำเสมอไม่เคยขาด 2-3 เดือน พ่อจึงจะกลับบ้านสักครั้งเป็นอยู่อย่างนี้มาเป็นเวลานานห้าปีเต็ม ถ้าพ่อรู้เรื่องแม่มีชู้กับน้องชาย คงเสียใจมาก
พ่อเริ่มแก่ตัวลง เพราะอายุก็มากแล้ว ต้องตรากตรำทำงานหนัก หาเลี้ยงครอบครัวมาคนเดียวโดยตลอด ทางบริษัทก็เริ่มบีบให้พ่อออก เพราะเงินเดือนสูงมากแล้ว แต่ไม่มีใครที่จะคิดถึงอนาคต ทุกคนในบ้านเอาแต่ความสบาย ผิดกับอารดากับยายที่อยู่แบบไม่ปกติสุข เพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่นานคนรับใช้ก็ถูกแม่ไล่ออก อารดาเบาใจไปนิดหนึ่งว่า อย่างน้อยตอนนี้ก็มีไม่กี่คนที่รู้ความลับอันน่าอับอายนี้ เธอไม่ต้องการให้ใครรู้ รวมทั้งพ่อและน้อง แต่คนหนึ่งที่อารดาไม่เคยบอก แต่ท่านรู้เอง คือยายของเธอนั่นเอง สองคนหลานยายอยู่กันแบบเจียมตัว อะไรทำได้ก็ทำ ไม่เคยปริปากบ่น ไม่โวยวายอะไรทั้งสิ้น แม่เธอเสียอีกที่ละทิ้งหน้าที่แม่บ้าน ไม่ทำอะไรเลย ลูกสามคนที่เกิดจากแม่และพ่อเลี้ยงของเธอก็เกเรไม่ยอมเรียนหนังสือ
(ไว้วันหลังจะมาต่อครับ)