ขายอะไรดี ระหว่าง สินค้า Digital vs Physical Products | วิธีหาเงินและทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
หลาย ๆ คนเริ่มถกประเด็นที่ว่า ถ้าเราขายของแต่รูปแบบดิจิตอล (Digital) อย่างเดียว แล้วไม่ขายของเกี่ยวกับ Physical (รูปลักษณ์) ได้ไหม?! ผมบอกได้เลยครับว่า การขายของนั้นไม่จำเป็นจะต้องขายทางเดียวเสมอไป เพราะว่า สินค้าที่คุณขายนั้น มันมีข้อดี-ข้อเสียไปในตัว แล้วอย่างนี้การขายของทั้ง 2 รูปแบบมันจะต่างกันยังไง แล้วสร้างกำไร ขาดทุน ได้มากน้อยแค่ไหน แล้วต้องขายอย่างไรถึงจะมีเงินเข้าตลอดเวลา…
เมื่อเข้าโลกเปลี่ยนเข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ต จึงทำให้รูปแบบสินค้าและบริการเปลี่ยนตาม โดยสินค้าบางประเภทสามารถเปลี่ยนจากของที่สามารถจับต้องได้ จนตอนนี้ต้องปรับเปลี่ยนจากของที่จับต้องได้ทำให้อยู่ในรูปแบบ Digital Products และทำการขายหรือการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และไม่ต้องเสียเวลาในการจัดการบริหารอะไรมากมาย ที่สำคัญสามารถ สร้างรายได้แบบ Passive income อีกด้วย จนทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่าการทำธุรกิจในรูปแบบสินค้าทั่วไปแบบ Physical Products ที่มีลักษณะจับต้องได้ อาจจะไม่ตอบโจทย์คนในยุคปัจจุบันและคิดว่าต้องมีการลงทุนที่สูงและมีขั้นตอนมากมาย
เมื่อฟังอย่างนี้แล้ว เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนอาจจะเทใจหันไปทำธุรกิจเกี่ยวกับ Digital Products กันแล้วใช่ไหมครับ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วสินค้าที่เป็น Digital Products ไม่ได้มีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียว ข้อเสียของสินค้ารูปแบบนี้ก็ยังมีอีกเยอะ แลคุณก็อย่าเพิ่งตีความว่าการทำสินค้าที่เป็น Physical Products มีแต่ข้อเสียที่จริงข้อดีของสินค้ารูปแบบนี้ก็ยังมีให้เห็นอีกมาก ซึ่งวันนี้ผมมีโอกาสจะมาแชร์ประสบการณ์ที่ว่า การทำสินค้าแบบ Digital Products และแบบ Physical Products ในเชิงลึกว่ามันมีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไรมาดูกันเลยครับ…
โดยเริ่มจาก Physical Products ที่คุณน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นธุรกิจสินค้าที่มีลักษณะจับต้องได้ เช่น หนังสือเป็นเล่ม, เสื้อผ้า, อาหาร, ของใช้ประจำวัน ซึ่งความหมายโดยรวมแล้ว Physical Products จะถือว่าเป็นประสบการณ์ที่สามารถจับต้องได้ นั่นเอง แล้วจะมีข้อดีข้อเสียให้คุณสามารถนำพิจารณาในการทำธุรกิจได้ดังนี้
ข้อดีของ
Physical Products : ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไม่ต้องใช้ทักษะหรือความรู้เฉพาะทางและเป็นสินค้าที่มีความต้องการทั่วไป เช่น สินค้าที่เป็นปัจจัย 4 รวมไปถึงสินค้าที่เป็นเทคโนโลยี ฉะนั้น สินค้าเหล่านี้จึงทำให้ผู้บริโภครู้สึกดีที่ได้ซื้อสินค้าเป็นชิ้นเป็นอันสามารถจับต้องได้ ที่สำคัญลูกค้ามีสิทธิที่จะกลับมาซื้อซ้ำได้สูงกว่าสินค้าที่เป็นสินค้าในรูปแบบ Digital Products อีกด้วย
ข้อเสียของ
Physical Products : เป็นธุรกิจที่เมื่อทำการขายทุกครั้งก็จะมีต้นทุนทุกครั้ง เช่น คุณทำการขายหนังสือเป็นเล่มทั้งหมด 1,000 เล่ม เมื่อสินค้าหมดคุณก็ต้องสั่งสินค้าไว้แล้วนำมาสต็อก ยิ่งขายสินค้าได้เยอะเท่าไหร่ก็ต้องยิ่งบวกต้นทุนเยอะมากเท่านั้น ไม่แน่ว่าเผลอ ๆ ยิ่งขายของได้มากเท่าไหร่รายได้หรือกำไรอาจลงลดเรื่อย ๆ ที่สำคัญคัญหากคุณหยุดขายของคุณก็จะไม่มีรายได้เข้ามาเลยหรือเรียกว่า Active income นั่นเอง
ส่วนสินค้าในรูปแบบ
Digital Products นั้น จะเป็นธุรกิจสินค้าที่ไม่สามารถจับต้องได้ เช่น หนังสือที่เป็นลิขสิทธิ์แบบ E-book, รูปภาพม คลิปวิดีโอ, สติ๊กเกอร์ Line, ออกแบบเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถจับต้องได้ เพราะอยู่ในรูปแบบของไฟล์ข้อมูลหรืออยู่ในอุปกรณ์เทคโนโลยีอย่าง แทปเลต TV วิทยุและมือถือ นั้นเอง แต่จะมีข้อดีข้อเสียอย่างไรไปดูกันครับ
ข้อดีของ
Digital Products : เป็นสินค้าที่เหนื่อยในการผลิตสินค้าหรือทำธุรกิจสินค้าเพียงแค่ครั้งเดียว และไม่ต้องมีต้นทุนอะไรมากไม่มีการสต็อกสินค้าใด ๆ มิหนำซ้ำยิ่งขายของได้ก็ยิ่งได้มีรายได้มีกำไรที่มากขึ้นจนเป็นรายได้ที่เป็น Passive income หรือเรียกอีกอย่างว่า รายได้เข้ามาเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ต้องทำงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดจากการที่คุณทำสินค้าในรูปแบบ Digital Products เพียงแค่ครั้งเดียว
ข้อเสียของ
Digital Products : ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ต้องใช้ทักษะหรือความรู้เฉพาะทางที่ใช้เวลาในการผลิตหรือสร้างขึ้นมาและเป็นสินค้าที่นอกเหนือความต้องการปกติของผู้บริโภค ซึ่งหมายความว่าถ้าคนขาดสินค้าพวกนี้ไปก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ อีกทั้งโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำก็เป็นเรื่องที่ยากมากเลยที่เดียว เช่น การซื้อคอร์สเรียนออนไลน์ เมื่อคนเคยซื้อแล้วเขาคงไม่กลับมาซื้อซ้ำอีกเพราะอย่างไรเนื้อหามันก็เหมือนเดิม นอกจากว่าคอร์สเรียนนั้นจะมีเนื้อหาที่เป็นคอร์สเรียนใหม่นั่นเอง
เมื่อรู้ว่าสินค้าที่เป็นรูปแบบ
Physical Products เป็นรายได้แบบ Active income (รายได้ที่ต้องทำงาน) ส่วนสินค้าที่เป็น
Digital Products เป็นรายได้แบบ Passive income (รายได้ที่เข้ามาเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องทำงาน) คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะทำธุรกิจสินค้าในรูปแบบ Digital Products กันเสียมากกว่า ทั้งที่จริงคุณสามารถทำได้ทั้ง 2 อย่าง แต่เลือกที่จะทำสินค้าในรูปแบบ Digital Products เพียงอย่างเดียว เชื่อเถอะครับ มีคนน้อยมากที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้ในธุรกิจนี้ แล้วหันกลับไปขายสินค้าที่เป็น Physical Products ดังเดิม เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้เรื่องการทำการตลาด เช่น ถึงคุณจะทำสติ๊กเกอร์ Line ออกมาสวยแค่ไหน แต่คุณทำการตลาดไม่เป็นคนก็ไม่สามารถเข้าถึงหรือรับรู้การมาของสติ๊กเกอร์ Line ของคุณได้ ก็จะกลายเป็นว่าคุณเสียเวลาในการผลิตสินค้าแล้วไม่มีคนซื้อ ซึ่งมันแตกต่างจาก Physical Products ที่ใช้เวลาผลิตไม่นานเป็นสินค้าที่ซื้อมาขายไปและเป็นที่ต้องการของคนทั่วไปอีกด้วย

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเลือกทำธุรกิจในรูปแบบไหนคุณไม่ควรมองแต่ข้อดีของธุรกิจนั้น ๆ แต่ให้คุณศึกษาข้อเสียของธุรกิจนั้นด้วย ว่าสามารถตอบโจทย์หรืออยู่ในเขตความสามารถของคุณสักเท่าใด ที่สำคัญทุกธุรกิจต้องทำการตลาดยิ่งเป็นการตลาดแบบออนไลน์ยิ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสิ่งนี้จะสามารถเข้าถึงการรับรู้ของลูกค้าได้อย่างทั่วถึงและทำให้ลูกค้าเข้ามาหาคุณโดยที่คุณแทบไม่ต้องออกแรงไปหาลูกค้าเองเสียด้วยซ้ำไป
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ตอนนี้คุณพอจะมีไปเดียหรือตัดสินใจที่อยากจะทำธุรกิจรูปแบบไหนกันบ้างหรือคิดว่าอยากจะทำทั้ง 2 แบบก็ได้ทั้งนั้น หรือคุณคิดว่ายังมีธุรกิจอื่นที่สามารถทำให้คุณประสบความสำเร็จและรวยเร็วได้ สามารถคอมเมนต์มาได้ตามด้านล่างนี้เลยนะครับ
=================================================================
สำหรับใครที่อยากได้รับอรรถรสเพิ่มมากขึ้น สามารถคลิกวีดีโอได้ตามด้านล่างนี้นะครับ
ขายอะไรดี ระหว่าง สินค้า Digital vs Physical Products | วิธีหาเงินและทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
เมื่อฟังอย่างนี้แล้ว เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนอาจจะเทใจหันไปทำธุรกิจเกี่ยวกับ Digital Products กันแล้วใช่ไหมครับ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วสินค้าที่เป็น Digital Products ไม่ได้มีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียว ข้อเสียของสินค้ารูปแบบนี้ก็ยังมีอีกเยอะ แลคุณก็อย่าเพิ่งตีความว่าการทำสินค้าที่เป็น Physical Products มีแต่ข้อเสียที่จริงข้อดีของสินค้ารูปแบบนี้ก็ยังมีให้เห็นอีกมาก ซึ่งวันนี้ผมมีโอกาสจะมาแชร์ประสบการณ์ที่ว่า การทำสินค้าแบบ Digital Products และแบบ Physical Products ในเชิงลึกว่ามันมีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไรมาดูกันเลยครับ…
โดยเริ่มจาก Physical Products ที่คุณน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นธุรกิจสินค้าที่มีลักษณะจับต้องได้ เช่น หนังสือเป็นเล่ม, เสื้อผ้า, อาหาร, ของใช้ประจำวัน ซึ่งความหมายโดยรวมแล้ว Physical Products จะถือว่าเป็นประสบการณ์ที่สามารถจับต้องได้ นั่นเอง แล้วจะมีข้อดีข้อเสียให้คุณสามารถนำพิจารณาในการทำธุรกิจได้ดังนี้
ข้อดีของ Physical Products : ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไม่ต้องใช้ทักษะหรือความรู้เฉพาะทางและเป็นสินค้าที่มีความต้องการทั่วไป เช่น สินค้าที่เป็นปัจจัย 4 รวมไปถึงสินค้าที่เป็นเทคโนโลยี ฉะนั้น สินค้าเหล่านี้จึงทำให้ผู้บริโภครู้สึกดีที่ได้ซื้อสินค้าเป็นชิ้นเป็นอันสามารถจับต้องได้ ที่สำคัญลูกค้ามีสิทธิที่จะกลับมาซื้อซ้ำได้สูงกว่าสินค้าที่เป็นสินค้าในรูปแบบ Digital Products อีกด้วย
ข้อเสียของ Physical Products : เป็นธุรกิจที่เมื่อทำการขายทุกครั้งก็จะมีต้นทุนทุกครั้ง เช่น คุณทำการขายหนังสือเป็นเล่มทั้งหมด 1,000 เล่ม เมื่อสินค้าหมดคุณก็ต้องสั่งสินค้าไว้แล้วนำมาสต็อก ยิ่งขายสินค้าได้เยอะเท่าไหร่ก็ต้องยิ่งบวกต้นทุนเยอะมากเท่านั้น ไม่แน่ว่าเผลอ ๆ ยิ่งขายของได้มากเท่าไหร่รายได้หรือกำไรอาจลงลดเรื่อย ๆ ที่สำคัญคัญหากคุณหยุดขายของคุณก็จะไม่มีรายได้เข้ามาเลยหรือเรียกว่า Active income นั่นเอง
ข้อดีของ Digital Products : เป็นสินค้าที่เหนื่อยในการผลิตสินค้าหรือทำธุรกิจสินค้าเพียงแค่ครั้งเดียว และไม่ต้องมีต้นทุนอะไรมากไม่มีการสต็อกสินค้าใด ๆ มิหนำซ้ำยิ่งขายของได้ก็ยิ่งได้มีรายได้มีกำไรที่มากขึ้นจนเป็นรายได้ที่เป็น Passive income หรือเรียกอีกอย่างว่า รายได้เข้ามาเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ต้องทำงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดจากการที่คุณทำสินค้าในรูปแบบ Digital Products เพียงแค่ครั้งเดียว
ข้อเสียของ Digital Products : ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ต้องใช้ทักษะหรือความรู้เฉพาะทางที่ใช้เวลาในการผลิตหรือสร้างขึ้นมาและเป็นสินค้าที่นอกเหนือความต้องการปกติของผู้บริโภค ซึ่งหมายความว่าถ้าคนขาดสินค้าพวกนี้ไปก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ อีกทั้งโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำก็เป็นเรื่องที่ยากมากเลยที่เดียว เช่น การซื้อคอร์สเรียนออนไลน์ เมื่อคนเคยซื้อแล้วเขาคงไม่กลับมาซื้อซ้ำอีกเพราะอย่างไรเนื้อหามันก็เหมือนเดิม นอกจากว่าคอร์สเรียนนั้นจะมีเนื้อหาที่เป็นคอร์สเรียนใหม่นั่นเอง
เมื่อรู้ว่าสินค้าที่เป็นรูปแบบ Physical Products เป็นรายได้แบบ Active income (รายได้ที่ต้องทำงาน) ส่วนสินค้าที่เป็น Digital Products เป็นรายได้แบบ Passive income (รายได้ที่เข้ามาเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องทำงาน) คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะทำธุรกิจสินค้าในรูปแบบ Digital Products กันเสียมากกว่า ทั้งที่จริงคุณสามารถทำได้ทั้ง 2 อย่าง แต่เลือกที่จะทำสินค้าในรูปแบบ Digital Products เพียงอย่างเดียว เชื่อเถอะครับ มีคนน้อยมากที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้ในธุรกิจนี้ แล้วหันกลับไปขายสินค้าที่เป็น Physical Products ดังเดิม เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้เรื่องการทำการตลาด เช่น ถึงคุณจะทำสติ๊กเกอร์ Line ออกมาสวยแค่ไหน แต่คุณทำการตลาดไม่เป็นคนก็ไม่สามารถเข้าถึงหรือรับรู้การมาของสติ๊กเกอร์ Line ของคุณได้ ก็จะกลายเป็นว่าคุณเสียเวลาในการผลิตสินค้าแล้วไม่มีคนซื้อ ซึ่งมันแตกต่างจาก Physical Products ที่ใช้เวลาผลิตไม่นานเป็นสินค้าที่ซื้อมาขายไปและเป็นที่ต้องการของคนทั่วไปอีกด้วย
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ตอนนี้คุณพอจะมีไปเดียหรือตัดสินใจที่อยากจะทำธุรกิจรูปแบบไหนกันบ้างหรือคิดว่าอยากจะทำทั้ง 2 แบบก็ได้ทั้งนั้น หรือคุณคิดว่ายังมีธุรกิจอื่นที่สามารถทำให้คุณประสบความสำเร็จและรวยเร็วได้ สามารถคอมเมนต์มาได้ตามด้านล่างนี้เลยนะครับ