สถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นมาก และกำลังดีวันดีคืนประมาณนี้ครับ....
ไม่อยากจะพูดว่าโลกทั้งโลกฝากความหวังที่อังกฤษนะ เพราะทั้งในหน้าประวัติศาสตร์โลกและเวทีการเมืองโลก อังกฤษเป็นได้ทั้ง "ฮีโร่" และ "ตัวร้าย" แต่ก็บ่อยครั้งที่สังคมโลกเกิดวิกฤตอังกฤษมักจะเข้ากู้สถานการณ์ และก็อีกนั่นแหละ อังกฤษเองก็ทำให้บางสถานการณ์เลวร้ายได้เช่นกัน
ตั้งแต่เกิดกระแส "โคโร่น่าไวรัส" ใหม่ๆ ดูเหมือนว่าอังกฤษจะเป็นชาติแรกที่ได้ทำการวิจัย (เงียบๆ) ในห้องแล็ปเล็กๆ มาโดยตลอดจนกระทั่งเชื้อไวรัสลุกลามในวงกว้างการวิจัยจึงยกระดับขึ้นสู่ระดับชาติ อันนี้ต้องชมคนอังกฤษเขาในเรื่องความรัดกุม (อย่างกรณีเด็กติดในถ้ำเขานางนอน คนที่รู้ซอกรู้มุมของถ้ำและเขียนแผนที่เอาไว้ก็คือคนอังกฤษ ซึ่งเราได้อาศัยแผนที่นี่แหละมาประกอบการปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือเด็กรอดออกมาได้) เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมารัฐบาลอังกฤษได้ประกาศแผนการรับมือโควิดออกเป็นช่วงๆ เพื่อนำพาสังคมคืนสู่ภาวะปรกติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลอังกฤษก็ได้จ่ายเงินชดเชยธุรกิจต่างๆ ไปด้วย ค่าใช้จ่ายส่วนนี้วันหนึ่งๆ ก็หลักพันล้าน! เพื่อพยุงโครงสร้างเศรษฐกิจตั้งแต่รากฐานขึ้นไป และเป็นหลักประกันว่าเมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปรกติ ภาคเศรษฐกิจคงจะใช้เวลาไม่นานในการฟื้นตัว (หรืออาจจะฟื้นตัวได้ทันที เพราะว่าประชากรยังมีเงินในมือพร้อมที่จะจับจ่ายใช้สอยจากเงินชดเชยที่ได้รับจากรัฐบาลเป็นรายเดือน)
ส่วนทางด้านการฉีดวัคซีน ในช่วงระยะเวลา 7 อาทิตย์ที่ผ่านมา อังกฤษได้ทำการฉีดวัคซีนให้กับประชากรมากกว่า 10 ล้านคนแล้ว ซึ่งปฏิบัติการนี้ได้ถูกบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของชาติอังกฤษว่าเป็นโปรเจคที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดของภาครัฐที่หยิบยื่นให้แก่ประชากร ในภาคแรกนั้นอังกฤษอนุมัติเงินหลายหมื่นล้านในการจัดหาวัคซีนมาจำนวน 407 ล้านโดสให้กับประชาชน
เกณฑ์การฉีดวัคซีนก็คือ ฉีดเจ้าหน้าที่หมอ พยาบาลและพนักงานที่ดูแลด้านนี้ จากนั้นก็วางเกณฑ์คนสูงอายุที่ลดหลั่นกันไปตั้งแต่ 100-90, 90-80, 80-70 ฯลฯ และมีเคสพิเศษสำหรับคนป่วยด้านอื่นๆ เช่น ไต เบาหวาน มะเร็ง ฯลฯ คนป่วยเหล่านี้จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษและฉีดวัคซีนแยกกลุ่ม รัฐบาลคาดหวังในเบื้องต้นว่าช่วงเดือนMay ประชากรทั้งหมดคงจะได้รับการฉีดวัคซีนถ้วนหน้า เข้าเดือน June หรือ July สถานการณ์คงจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปรกติ
นอกเหนือไปจากนั้น รัฐบาลอังกฤษได้อนุมัติเงินจำนวนสามหมื่นกว่าล้านบาทช่วยเหลือและแจกจ่ายวัคซีนจำนวน 1.3 ล้านโดสให้กับ 92 ประเทศทั่วโลก
อังกฤษเป็นทั้ง "ฮีโร่" และ "ผู้ร้าย" ในหน้าประวัติศาสตร์โลกสุดแต่ใครจะมอง ผู้ร้ายในฐานะที่เคยเที่ยวรุกรานอาณาเขตชาติอื่นๆ ฮีโร่ในฐานะที่เป็นชาติยุโรปเดียวที่เหลือจากการรุกของกองทัพนาซี และชาติเดียวที่อาจหาญหยุดกองทัพนาซีได้ และอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะเหมือนตาแป๊ะขาดขวด หรือแม้แต่ช่วยเหลือเด็กที่ถ้ำเขานางนาน ก็คือผลงานเล็กๆ อีกอันหนึ่งของชาติอังกฤษเขาล่ะครับ
แถม: ปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลอังกฤษฉีดวัคซีนได้อย่างรวดเร็วอย่างหนึ่งคือ "ข้อมูล" ของประชากรของเขาครับ ใครอยุ่ไหน? มีโรคประจำตัวอะไร? เสี่ยงแค่ไหน? อยู่มุมไหนของเมือง? จรจัด? หรือว่ามีหลักแหล่งแน่นอน? เขามีข้อมูลหมด แทบจะไม่มีใครตกหล่นเลย ทุกคนถูกจัดเป็นกรุ๊ปที่จะได้รับการฉีดตามอายุเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับนามสกุลหรือฐานันดรศักดิ์ เช่นเจ้าชายวิลเลี่ยม อายุอยู่ในเกณฑ์ความเสี่ยงต่ำ ก็ต้องเข้าแถวรออยู่ท้ายๆ คิวประมาณนี้

......สัพพเพเหระ ไก่กา อาราเร่ "สถานการณ์โควิด ที่อังกฤษเป็นอย่างไร?"..... วชรน
ไม่อยากจะพูดว่าโลกทั้งโลกฝากความหวังที่อังกฤษนะ เพราะทั้งในหน้าประวัติศาสตร์โลกและเวทีการเมืองโลก อังกฤษเป็นได้ทั้ง "ฮีโร่" และ "ตัวร้าย" แต่ก็บ่อยครั้งที่สังคมโลกเกิดวิกฤตอังกฤษมักจะเข้ากู้สถานการณ์ และก็อีกนั่นแหละ อังกฤษเองก็ทำให้บางสถานการณ์เลวร้ายได้เช่นกัน
ตั้งแต่เกิดกระแส "โคโร่น่าไวรัส" ใหม่ๆ ดูเหมือนว่าอังกฤษจะเป็นชาติแรกที่ได้ทำการวิจัย (เงียบๆ) ในห้องแล็ปเล็กๆ มาโดยตลอดจนกระทั่งเชื้อไวรัสลุกลามในวงกว้างการวิจัยจึงยกระดับขึ้นสู่ระดับชาติ อันนี้ต้องชมคนอังกฤษเขาในเรื่องความรัดกุม (อย่างกรณีเด็กติดในถ้ำเขานางนอน คนที่รู้ซอกรู้มุมของถ้ำและเขียนแผนที่เอาไว้ก็คือคนอังกฤษ ซึ่งเราได้อาศัยแผนที่นี่แหละมาประกอบการปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือเด็กรอดออกมาได้) เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมารัฐบาลอังกฤษได้ประกาศแผนการรับมือโควิดออกเป็นช่วงๆ เพื่อนำพาสังคมคืนสู่ภาวะปรกติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลอังกฤษก็ได้จ่ายเงินชดเชยธุรกิจต่างๆ ไปด้วย ค่าใช้จ่ายส่วนนี้วันหนึ่งๆ ก็หลักพันล้าน! เพื่อพยุงโครงสร้างเศรษฐกิจตั้งแต่รากฐานขึ้นไป และเป็นหลักประกันว่าเมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปรกติ ภาคเศรษฐกิจคงจะใช้เวลาไม่นานในการฟื้นตัว (หรืออาจจะฟื้นตัวได้ทันที เพราะว่าประชากรยังมีเงินในมือพร้อมที่จะจับจ่ายใช้สอยจากเงินชดเชยที่ได้รับจากรัฐบาลเป็นรายเดือน)
ส่วนทางด้านการฉีดวัคซีน ในช่วงระยะเวลา 7 อาทิตย์ที่ผ่านมา อังกฤษได้ทำการฉีดวัคซีนให้กับประชากรมากกว่า 10 ล้านคนแล้ว ซึ่งปฏิบัติการนี้ได้ถูกบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของชาติอังกฤษว่าเป็นโปรเจคที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดของภาครัฐที่หยิบยื่นให้แก่ประชากร ในภาคแรกนั้นอังกฤษอนุมัติเงินหลายหมื่นล้านในการจัดหาวัคซีนมาจำนวน 407 ล้านโดสให้กับประชาชน
เกณฑ์การฉีดวัคซีนก็คือ ฉีดเจ้าหน้าที่หมอ พยาบาลและพนักงานที่ดูแลด้านนี้ จากนั้นก็วางเกณฑ์คนสูงอายุที่ลดหลั่นกันไปตั้งแต่ 100-90, 90-80, 80-70 ฯลฯ และมีเคสพิเศษสำหรับคนป่วยด้านอื่นๆ เช่น ไต เบาหวาน มะเร็ง ฯลฯ คนป่วยเหล่านี้จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษและฉีดวัคซีนแยกกลุ่ม รัฐบาลคาดหวังในเบื้องต้นว่าช่วงเดือนMay ประชากรทั้งหมดคงจะได้รับการฉีดวัคซีนถ้วนหน้า เข้าเดือน June หรือ July สถานการณ์คงจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปรกติ
นอกเหนือไปจากนั้น รัฐบาลอังกฤษได้อนุมัติเงินจำนวนสามหมื่นกว่าล้านบาทช่วยเหลือและแจกจ่ายวัคซีนจำนวน 1.3 ล้านโดสให้กับ 92 ประเทศทั่วโลก
อังกฤษเป็นทั้ง "ฮีโร่" และ "ผู้ร้าย" ในหน้าประวัติศาสตร์โลกสุดแต่ใครจะมอง ผู้ร้ายในฐานะที่เคยเที่ยวรุกรานอาณาเขตชาติอื่นๆ ฮีโร่ในฐานะที่เป็นชาติยุโรปเดียวที่เหลือจากการรุกของกองทัพนาซี และชาติเดียวที่อาจหาญหยุดกองทัพนาซีได้ และอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะเหมือนตาแป๊ะขาดขวด หรือแม้แต่ช่วยเหลือเด็กที่ถ้ำเขานางนาน ก็คือผลงานเล็กๆ อีกอันหนึ่งของชาติอังกฤษเขาล่ะครับ