กรีน อัษฎาพร เล่าทั้งน้ำตา ใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ - ยอมแต่งงานช้า ขอเลือกแม่ก่อน

กรีน อัษฎาพร เล่าทั้งน้ำตา ใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อ ประหยัดสุดชีวิต - ยอมแต่งงานช้า ขอเลือกแม่ก่อน




นางเอกดังยังเผยว่า ที่เปลี่ยนความคิดตัวเองได้เร็ว เพราะคุณแม่เคยเล่าชีวิตที่เคยลำบากมาก ไม่มีเงิน ถึงขั้นต้องขอกระดูกจากร้านก๋วยเตี๋ยวมาต้มกินเป็นซุปแทน และมองว่าชีวิตเราโคตรดีแล้ว ยังมีชีวิตคนอื่นในโลกนี้ที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะ มันอยู่ที่ว่าเราจะเลือกมองไหม และวันนี้เรารับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น และเราจะให้คุณค่ากับตัวเองแค่ไหน ถ้าเรายังให้คุณค่าตรงนั้นไม่ได้เราก็ไม่มีทางทำอะไรสำเร็จ แม้แต่การเป็นนักแสดงเราก็ไม่มีทางเข้าถึงบทบาทได้ด้วยเหมือนกัน


"กรีนก็คนๆ นึงเนอะ เราก็จะมีชีวิตกเบื้องหลังของเราและมีหนี้สินภาระรับผิดชอบ เพียงแค่คนจะรู้หรือเปล่า ตอนที่ไปออกรายการแฉและอีกรายการที่ไปโปรโมตละครก็จะมีการเปรียบเทียบกันระหว่างชีวิตของตัวละครกับชีวิตจริงของเราที่ลำบากเหมือนกันก็มีโอกาสได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวซึ่งเราก็ไม่ค่อยได้พูดถึงสักเท่าไรค่ะ อย่างหนี้สินเรามีมาตั้งนานแล้วค่ะ เราก็ช่วยกันในครอบครัว แต่พอคุณพ่อเสียก็มีหนี้มากกว่าเดิม เราก็ค่อนข้างจะหนักเพราะไม่มีคนช่วยค่ะ ก็รู้สึกเคว้งและลูกๆ ก็ต้องช่วยกันเอง"

          หลังคุณพ่อเสียก็รู้สึกว่าทำไมคุณพ่อไม่รอเรา ตอนนี้คุณแม่อายุ 56 แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่กับเราได้นานแค่ไหน เขาลำบากมาทั้งชีวิต เรารู้ว่าเขาอยากได้นั่นนี่ แต่เขาไม่ยอมพูด อยากให้เขาสบาย เพราะถ้าเกิดเลือกให้ลูกสบายเขาก็จะไม่ไป ไม่ทำอะไรที่ต้องใช้เงิน เขาจะไม่ทำ เราจึงไม่อยากให้เขากังวลในตรงนี้ อยากให้เขาโดยที่เขาไม่ต้องกังวล

บางคนก็สงสัยว่าเราเป็นนักแสดงมากลายปีแล้ว ทำไมถึงมีหนี้สินขนาดนี้ ?
ใช่ค่ะ คือหนูไม่ได้เป็นเด็กร่ำรวยมาตั้งแต่แรก หนูเป็นเด็กเอเอฟเป็นเด็กประกวด เราไม่ได้เป็นเด็กยากจน พอมีพอกิน คือเราเป็นคนประหยัดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วและไม่ได้ติดของหรูต่างๆถ้าคนที่รู้จักชีวิตของกรีน คือเรามีหนี้สินมาอยู่แล้วเพียงแค่คนไม่รู้เบื้องลึกเราเฉยๆ

เป็นหนี้นอกระบบมั้งหมดเลยหรือยังไง ?
ไม่ค่ะ คือมันมีหลายๆ ส่วนรวมๆ กันค่ะ ก็คุณพ่อของเราเนอะก็ต้องรับผิดชอบ 

ตัวเลขหนี้ค่อนข้างสูง เราคุยกับทางพี่น้องมั้ยว่าต้องใช้เวลาเคลียร์กี่ปี ?
ตัวเลขมันไม่ถึง 50 ล้านบาท ไม่ใช่อย่างที่พาดหัวข่าวขนาดนั้นค่ะ แต่มันก็ประมาณ 8 หลักค่ะ บางคนอาจบอกว่าไม่เยอะหรอก แต่สำหรับกรีนมันเยอะมากนะ บางคนอาจบอกว่าเราเล่นละครมาหลายปีทำไมถึงไม่มีเงินมาจุนเจือตรงนี้ คือจะบอกว่าเล่นละครมันก็มีเรตของเค้า ซึ่งการที่กรีนได้เงินละครมาทั้งหมดจะต้องมาลงทั้งหมดกับหนี้ เพราะหนี้มันมีเยอะกว่ารายได้ที่กรีนมี ซึ่งละครเรื่องหนึ่งดาราก็เยอะใช่มั้ยคะ เราไม่ได้รับได้ทีละเป็น 10 เรื่อง เราก็ต้องทำงานให้บาลานซ์และพัฒนาการแสดงของเราด้วย ถ้าเรารับเยอะการแสดงเราก็จะไม่ดีและส่งผลต่องานเราในอนาคตค่ะ เราต้องดูแลครอบครัว ดูแลคุณแม่ มีภาระของเราส่วนตัว กรีนก็ต้องแบ่งไปเรื่อยๆ แต่พอมีหนี้สินเข้ามาเราก็ผ่อนมาตลอด แต่มันไม่ได้หมดไปง่ายๆ ด้วยความที่หนี้มันสูงถึง 8 หลักค่ะ 

มันหนักเกินไปมั้ยสำหรับเรา ?
กรีนว่าไม่มีคำว่าหนักสำหรับลูกหรอกค่ะที่จะตอบแทนพ่อแม่ค่ะ แค่เราจะหาวิธียังไงที่จะตอบแทนตรงนี้ ทำให้คุณแม่มีความสุขได้และเค้าไม่ต้องกังวลอย่างนี้ ทุกๆงานที่กรีนทำก็อยากจะทำให้เต็มที่ อยากให้ผลงานออกมาดีมันจะได้ส่งผลต่อเรื่องอื่นๆ ด้วยค่ะ เราทำเพื่อเงินส่วนนึง แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะหน้าเงินขนาดนั้นค่ะ เราอยากทำผลงานออกมาให้ดี เราจะได้เอารายได้มาจุนเจือครอบครัวด้วยค่ะ 

ตอนนี้ยังเหลืออีกเยอะมั้ย ?
มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกค่ะ มันเป็นเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ มันเป็นเรื่องของธุรกิจด้วยค่ะ กรีนไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเลขเหลืออีกเท่าไหร่ เอาเป็นว่ากรีนก็ต้องจ่าย 


ทำให้เราทำธุรกิจเยอะขึ้นด้วย ?
ใช่ค่ะ จากแต่ก่อนที่พ่อส่งเงินมาให้ตลอด เราก็ใช้ไม่ถึงกับฟุ่มเฟือย แน่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว พอเริ่มรู้เรื่องหนี้สินที่มันมากขึ้นแล้วบวกกับคุณพ่อเสียมันยิ่งเยอะขึ้น ก็เลยปรับวิธีคิดตัวเองว่าแบบอะไรไม่จำเป็นก็อดเปรี้ยวไว้กินหวาน อดไปก่อน ไม่เป็นไรเราไม่ตายหรอก เรายังอยู่ได้ โควิดมันดีตรงที่กรีนไม่ต้องออกไปใช้เงิน มันทำให้กรีนเกิดวิธีคิดใหม่ๆ เราลดบางสิ่งที่ไม่จำเป็น ใช้แต่สิ่งที่จำเป็นจริงค่ะ 

คาดไว้ว่าจะเคลียร์หนี้ได้หมดกี่ปี ?
มันมาจากหลายทางเลยค่ะ พยายามหมดภายใน 10 ปีค่ะ ซึ่งมันต้องไม่กระทบคนอื่นๆ และตัวเราด้วย ถึงเราจะต้องใช้หนี้สินแต่เราก็มีความฝันเหมือนกัน กรีนต้องแบ่งเรื่องงานและเรื่องหนี้สินให้มันบาลานซ์กันด้วยค่ะ กับทางเจ้าหนี้เราก็คุยกันได้ค่ะ เรามีทนายของฝั่งครอบครัวเราที่คุยให้อยู่ค่ะ



ส่วนเรื่องแผนในอนาคตกับแฟนหนุ่ม ธันวา สุริยจักร ที่คบหาดูใจกันมานานกว่า 6 ปี สาวกรีน ยอมรับว่า เคยคุยกับธันวาว่าถ้าอยากใช้ชีวิตร่วมกันจริง ๆ ต้องมาอยู่ที่บ้านเรา ไม่ใช่เราไปอยู่บ้านเขา เพราะอยากดูแลคุณแม่ ซึ่งทางคุณแม่ก็เคยพูดว่า 
"เดี๋ยวพวกแกก็ไปหมดแล้ว ฉันต้องอยู่คนเดียว" ทำให้เราอยากอยู่กับแม่มากขึ้น พร้อมให้น้อง ๆ แต่งงานไปก่อน ต่อให้ต้องสูญเสียความสุขบางสิ่งบางอย่างไปก็ขอเลือกความสุขที่ใหญ่กว่าและเป็นประโยชน์กับทุก ๆ คนดีกว่า ตอนแรกธันวาเขาก็เงียบไปสักพัก แต่เขาก็เข้าใจความคิดเรา และรู้ว่าเรามีเป้าหมายยังไง และวางแผนด้วยกันว่าถ้าธุรกิจแต่ละคนได้ 100 ล้านเมื่อไหร่จะแต่งงานกัน
https://women.kapook.com/view237036.html
https://www.newtv.co.th/m/news/?id=78037
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่