ทำไมต้องให้ มากกว่ารับ? | วิธีหาเงินและทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

ทำไมต้องให้ มากกว่ารับ?  | วิธีหาเงินและทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ


การเป็นทั้งผู้ให้ และผู้รับ คุณตั้งเส้นแบ่งแห่งความพอดีนั้นอยู่ตรงไหน?! รับมากกว่าให้ รับเท่ากับให้ หรือ ให้มากกว่ารับ แล้วแบบไหนจะดีกว่ากัน ในแง่ของการใช้ชีวิต การทำงาน แม้กระทั่งการทำธุรกิจให้สมดุลกัน วันนี้เราลองมาลงรายละเอียดตรงจุดนี้ดู ว่าทั้งสามแบบนั้นมันส่งผลกระทบแบบไหน?! อย่างไร?! เพราะทั้งสามแบบต่างเริ่มต้นและเลือกที่จะกระทำได้จากตัวคุณเอง ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ และวินาทีนี้หลังจากคุณอ่านบทความนี้เสร็จ!!
 
เพี้ยนหืม
ไม่ว่าจะอยู่ยุคไหน ๆ รายได้ที่เป็นตัวเงิน หรือ “เงินเดือน” ที่ไม่เพียงพอนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องหางานเสริมเพื่อเลี้ยงตัวเองและค่าใช้จ่ายของคนในครอบครัว แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สำคัญอยู่ไม่น้อยในหลักของการทำงาน นั่นก็คือ ความตั้งใจ จริงใจ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพนักงานเงินเดือน ฟรีแลนซ์ พนักงานขาย เมื่อคุณได้ส่งมอบงานหรือสินค้าและบริการอะไรไปสักชิ้นให้กับเจ้านายหรือลูกค้าคุณ แต่คนรับกลับรู้สึกว่าไม่คุ้มค้ากับเงินที่เขาเสียไป ฉะนั้น อาจจะเกิดปัญหาขึ้นกับคุณทันที วันนี้ผมจึงอยากจะมาแชร์ข้อดี ข้อเสีย ของการทำงานในเรื่องของ การทำมากกว่าที่ได้รับ ทำเท่ากับที่ได้รับหรือทำน้อยกว่าที่ได้รับ สามารถส่งผลกับคุณอย่างไรมาดูกันเลยครับ

โดยที่ผมจะเริ่มจาก มุมมองของ “ลูกจ้างหรือพนักงานประจำ” ก่อนว่าเพราะอะไร คุณถึงไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ในหน้าที่การงาน 
ทำไมเงินเดือนที่ได้รับถึงอยู่เท่าเดิม ทั้งที่ทุ่มเท ตั้งใจ ทำงานอย่างหนักแล้วต้องทำงานหนักแค่ไหน นั่นอาจเป็นเพราะ…
ทำงาน > ที่ได้รับ : เมื่อคุณทำสิ่งนี้เป็นประจำแน่นอนว่าเจ้านายหรือคนให้งาน เมื่อเขาเห็นความสามารถของคุณอย่างไรก็ต้องเพิ่มเงินเดือนหรือเลื่อนตำแหน่งให้คุณอยู่แล้ว แต่ถ้าในกรณีที่คุณอยู่ภายใต้คำสั่งของหัวหน้างานแล้วถูกกดผลงาน ไว้ แต่คุณยังคงทำงานให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง อย่างไรเจ้านายก็ต้องเห็นความสามารถของคุณและสุดท้ายก็ต้องเพิ่มเงินเดือนหรือเลื่อนตำแหน่งให้คุณอยู่ดี ทว่าคุณรู้สึกว่าไม่สามารถเป็นไปได้เลยในการเพิ่มเงินเดือนในการทำงานครั้งนี้เพราะคุณก็มีโอกาสได้ร่วมงานใกล้ชิดกับเจ้านายคุณเป็นประจำและเค้าก็เห็นว่าคุณทุ่มเทให้กับงานของเขามาโดยตลอด แต่เงินเดือนก็ไม่มีวี่แววว่าจะขยับ มิหนำซ้ำขู่ว่าจะไล่ออกเสียด้วยซ้ำเพราะอ้างว่าเศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งในความโชคร้ายก็อาจจะมีความโชคดีอยู่ถ้าคุณยังทำงานเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ก็อาจจะมีคนเห็นความสามารถและขอ “ซื้อตัว” คุณมาทำงานด้วยและให้เงินเดือนมากกว่าที่เดิมหลายเท่าก็เป็นได้ แต่ส่วนใหญ่บุคคลที่อยู่ในสถานะนี้เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำ ๆ ก็มักจะมีความคิดที่ว่า อยากออกมาทำอะไรด้วยตัวเอง  เพราะเริ่มมีไฟและมีประสบการณ์มากขึ้นนั่นเอง

เพี้ยนแคปเจอร์
ทำงาน = ที่ได้รับ : แสดงว่าผลที่จะได้รับ นั่นก็คือ เงินเดือนเท่าเดิม ตำแหน่งก็จะยังคงเหมือนเดิมเพราะเจ้านายไม่ได้เห็นความก้าวหน้าหรือความตั้งใงคุณมากพอ และที่สำคัญตัวคุณเองก็ยังรู้สึกว่าเฉย ๆ ไม่ได้มีไฟในการทำงานนี้สักเท่าไหร่ ทำเท่าที่คุณจะทำได้เพียงเท่านั้น
 

ทำงาน < ที่ได้รับ : แน่นอนว่าเงินที่คุณจะได้รับ ก็ต้องได้น้อยลงตามที่คุณเป็น ในบางครั้งผลลัพธ์ที่คุณอาจจะได้เพิ่มก็คือ การลดตำแหน่ง หรืออีกนัยนึงก็คือย้ายตำแหน่งนั่นเอง เพราะเจ้านายเห็นว่าคุณไม่มีไฟในการทำงาน แต่ถ้าคุณพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาคนกลุ่มนี้ก็มีสิทธิที่จะได้รับการเพิ่มเงินเดือนง่ายกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ 


ต่อมาก็จะเป็นมุมมองของ “การทำธุรกิจ” ว่าในการที่คุณทำอะไรในแต่ละลักษณะนั้น 
จะส่งผลลัพธ์ที่ดีหรือส่งผลเสียให้กับธุรกิจของคุณอย่างไรโดยเริ่มจาก…

เพี้ยนเสียงสูง

สินค้า/บริการ > ลูกค้าจ่าย : สิ่งแรกที่ลูกค้าจะรู้สึกได้เลย นั่นก็คือ คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป และอยากจะกลับมาใช้สินค้าและบริการของคุณอีกอย่างแน่นอน ยกตัวอย่าง ร้านบุฟเฟ่ต์อาหารทะเลที่มีของสด และสินค้ามีคุณภาพ การบริการประทับใจ แต่ราคา 690 บาท ซึ่งฟังเหมือนจะแพงแต่เมื่อได้เข้ามาใช้บริการกับรู้สึกดีคุ้มค่าและอยากบอกต่อ 
 
สินค้า/บริการ = ลูกค้าจ่าย : สำหรับใครที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ถ้าคุณคิดว่าคุณอยากรักษาลูกค้าหรือคนจ้างงานให้มีอยู่เรื่อย ๆ ไม่ขาดหาย คุณก็ไม่ควรที่จะมีมาตรฐานในการทำสินค้าและบริการให้ต่ำกว่านี้ ยกตัวอย่าง ร้านบุฟเฟ่ต์อาหารทะเล ที่คุณยังเน้นการบริการที่ดี คุณภาพของสินค้าก็อยู่ในระดับกลาง ราคาสามารถจับต้องได้ ฉะนั้น ลูกค้าก็อาจจะกลับมาใช้บริการเพราะพอใจไม่ได้รู้สึกว่าดีแต่ก็ไม่ได้แย่

สินค้า/บริการ < ลูกค้าจ่าย : ถึงแม้ในบางธุรกิจอาจจะใช้ “กลยุทธ์ในการเน้นราคาถูก” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะประสบความสำเร็จได้ อาจจะจริงที่ในครั้งแรกคนอาจจะเดินเข้าไปซื้อสินค้าและบริการของคุณ แต่ถ้าสินค้าของคุณไม่ได้แก้ไขปัญหาหรือความต้องการให้กับลูกค้าได้ แน่นอนว่าคงไม่มีลูกค้าคนไหนอยากจะกลับไปใช้บริการของคุณอีก ยกตัวอย่าง ร้านบุฟเฟ่ต์อาหารทะเล ที่คุณได้ติดป้ายราคาไว้ 250 บาท แต่สินค้าของคุณไม่มีคุณภาพ ของไม่สด ต้องคอยแย่งอาหารกับลูกค้าคนอื่น ถ้าเจอเหตุการณ์เหล่านี้ถึงจะเป็นราคา 250 บาท สำหรับลูกค้าเองก็คงคิดว่าไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป

ดังนั้น หากคุณอยากจะประสบความสำเร็จใน “หน้าที่การงาน” หรือ “ธุรกิจ” สิ่งที่จะทำให้คุณไปถึงเป้าหมายได้ นั่นก็คือ การที่ให้มากกว่ารับ  ซึ่งถ้าคุณสามารถทำได้อย่างนี้แล้วไม่ใช่แค่ว่าคุณจะได้รับประโยชน์แค่คุณเท่านั้น แต่คนรอบข้างหรือคนทั้งโลกก็จะดีขึ้นด้วย ที่สำคัญคุณก็ยังคงมีกำไรจากการทำธุรกิจของคุณอยู่และจะได้รับมากขึ้นเรื่อย ๆ จากที่คุณเป็นคนมอบสิ่งดี ๆ ให้กับลูกค้านั่นเอง หรือคุณคิดว่าอย่างไรสามารถคอมเมนต์มาได้ตามด้านล่างนี้เลยนะครับ 

เพี้ยนกินกล้วย
=============================================================

สำหรับใครที่อยากได้รับอรรถรสเพิ่มมากขึ้น สามารถคลิกวีดีโอได้ตามด้านล่างนี้นะครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่