จับตาการเมืองไทย รอยร้าวเริ่มปริ หลัง 3 รัฐมนตรี ได้ดีเพราะนกหวีด พ้นตำแหน่ง
https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2040019
• จับตาการเมืองไทยนับจากนี้ จะเกิดอะไรขึ้น ภายหลังศาลมีคำพิพากษาจำคุกเหล่าแกนนำ กปปส. ทำให้ 3 คนที่เป็น ส.ส. ในปัจจุบันต้องสิ้นสภาพ เนื่องจากถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และ 3 รัฐมนตรีในรัฐบาล “บิ๊กตู่” ต้องพ้นจากเก้าอี้ในทันที
• ทั้ง “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามด้วย “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รมว.ศึกษาธิการ จากพรรคพลังประชารัฐ และ “ถาวร เสนเนียม” รมช.คมนาคม จากพรรคประชาธิปัตย์ กลายเป็นอดีตรัฐมนตรี ไปเสียแล้ว
• “ณัฏฐพล” นอกจากพ้นเก้าอี้รัฐมนตรี ยังสิ้นสถานภาพ ส.ส. ส่วน “พุทธิพงษ์” และ “ถาวร” สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ถูกเพิกถอนตามคำสั่งศาล มีการถกเถียงในแวดวงนักกฎหมาย จะต้อง “สิ้นสภาพ ส.ส.” หรือไม่ เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด เป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น
จากสิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย “
รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า เมื่อดูข้อกฎหมายแล้วทั้ง “
พุทธิพงษ์” และ “
ถาวร” พ้นสภาพ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (7) อย่างแน่นอน แม้คำพิพากษาของศาลสั่งจำคุกยังไม่ถึงที่สุด แต่ถูกคุมขังโดยหมายศาล และเมื่อไม่ได้ประกันตัวตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. ก็ต้องพ้นสภาพความเป็น ส.ส.ตามมาตรา 98 (6) ทำให้ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ของพรรคพลังประชารัฐ ขยับบัญชีรายชื่อขึ้นมาเป็น ส.ส.แทน “
พุทธิพงษ์” โดยอัตโนมัติ และเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สงขลา เขต 6 แทน “
ถาวร”
ขณะที่การเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร ต้องแยกเป็นการเมืองในสภาและนอกสภา เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดคิดจะมีการปรับ ครม. ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือแม้เกิดกรณีกลุ่มดาวฤกษ์ นำโดย
วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ งดออกเสียงให้ “
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จากพรรคภูมิใจไทย แต่เมื่อตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลงแน่นอนพรรคร่วมรัฐบาล จะเกิดการต่อรองขอโควตารัฐมนตรี
เริ่มจากพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อหัก
เทพไท เสนพงศ์ และ
ชุมพล จุลใส ซึ่งพ้นจากตำแหน่ง ทำให้เหลือ ส.ส. 50 ที่นั่ง และเมื่อคิดสัดส่วนส.ส. 7 คน ต่อรัฐมนตรี 1 คน นั่นหมายความว่าประชาธิปัตย์ จะได้สัดส่วนรัฐมนตรีเหลือเพียง 7 จากเดิมได้ 8 ที่นั่ง อาจทำให้การปรับ ครม.ครั้งใหม่ ไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยเพิ่ม
ส่วนพรรคภูมิใจไทย จะเคลื่อนไหวต่อรองทวงโควตารัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ควรได้มากกว่านี้ จากการมี ส.ส.เพิ่มขึ้น กรณียุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้มี ส.ส. 61 ที่นั่ง ซึ่งยังไม่รวม ส.ส.งูเห่า จากพรรคก้าวไกลอีก 4 คน อีกทั้งขณะนี้เกิดความไม่พอใจกลุ่มดาวฤกษ์ จากพรรคพลังประชารัฐ หากไม่ได้โควตารัฐมนตรีตามที่ขอ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยคืนมา อาจเห็นพรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลก็ได้ จนนำไปสู่การยุบสภา แต่น่าจะมีโอกาสน้อยมาก ส่วนนอกสภาจะมีการชุมนุมขับเคลื่อนมากขึ้นต่อเนื่อง อาจเหมือนปี 2563 เนื่องจากรัฐบาลขาดความชอบธรรม
“
ดูเหมือนบิ๊กป้อม ก็ไม่พอใจกลุ่มดาวฤกษ์ และมีบางส่วนในพรรคก็มองว่ากลุ่มของมาดามเดียร์ ไม่มีความผิดอะไรร้ายแรง แต่จะส่งผลต่อพรรคภูมิใจไทย อย่างที่เห็นมีการวอล์กเอาต์ออกจากที่ประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพราะไม่ขอร่วมพิจารณาร่าง พ.ร.บ. 2 ฉบับ ตามที่สภามีมติเสียงข้างมากให้เลื่อนขึ้นมาพิจารณา จากเดิมไม่เคยฝืนมติพรรคร่วมรัฐบาลมาก่อนเพื่อเป็นการตอบโต้ เพราะศักดิ์สยาม เป็นน้องเนวิน ชิดชอบ และเป็นแกนนำหลักของพรรค และเชื่อว่าจะเกิดการวอล์กเอาต์อย่างต่อเนื่องมากขึ้น เพราะภูมิใจไทย ต้องการอะไรจากพลังประชารัฐ โดยเฉพาะการทวงโควตารัฐมนตรีที่เคยได้ต่ำกว่าเกณฑ์”
ศึกนอกศึกใน รุมเร้า หวั่นเกิดทางตัน สู่ยุบสภา
เมื่อประเมินแล้วการเมืองไทยนับจากนี้ อาจมีโอกาสยุบสภาก็เป็นไปได้ และเกิดการเคลื่อนไหวการเมืองนอกสภามากขึ้น โดยการปรับ ครม.ที่จะเกิดขึ้นน่าจะปรับปานกลาง 5-7ตำแหน่ง ซึ่งพรรคภูมิใจไทยอาจได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยมาเพิ่ม แทนถาวร เสนเนียม ที่พ้นจากตำแหน่ง หรือถ้าเป็นไปตามข่าว 3 รัฐมนตรีช่วยของพรรคพลังประชารัฐ อาจขยับขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการ และจากจุดนี้จะทำให้รัฐบาลเจอทั้งศึกนอกและศึกใน จนไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดการผันผวนทางการเมืองอย่างรวดเร็วขนาดนี้มาก่อน จากเดิมที่ไม่เคยมีปัญหา และหากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีเพิ่ม อาจมีกลุ่มต่างๆ ในพรรคเคลื่อนไหว เพื่อขอตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย
สุดท้ายต้องจับตาการเมืองไทยจะร้อนระอุหรือไม่ เริ่มจากตัวแปรกรณีกลุ่มดาวกฤกษ์ อาจทำให้พรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากรัฐบาล แม้จะได้ส.ส.จากพรรคก้าวไกลมาเพิ่มก็ตาม เพราะฉะนั้นแล้วประมาณต้นเดือน มี.ค. จะเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ทั้งจากการปรับ ครม. หรืออาจมีการยุบสภา ซึ่งประเด็นหลังน่าจะเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่หากมีการยุบสภาจริงๆ นั่นจะทำให้พรรคพลังประชารัฐแตก เพราะคะแนนนิยมเริ่มร่วงตกลงไปทุกวัน.
ผู้เขียน : ปูรณิมา
ครั้งแรก! เจ้าสัว “ธนินท์ เจียรวนนท์” ร่วมวง “คลับเฮ้าส์” เอสเอ็มอีคลินิก
https://www.prachachat.net/economy/news-621187
ครั้งแรก! “ธนินท์ เจียวรนนท์” แลกเปลี่ยนมุมมองช่วยเอสเอ็มอีใน “คลับเฮ้าส์” คนฟัง 8 พันคน ชี้วิกฤตโควิดคือโอกาส เร่ง 4.0 มาเร็วขึ้น
แนะรัฐหนุนสตาร์ทอัพ “
เถ้าแก่เกิดใหม่” ปลดล็อกการตั้งกองทุน เว้นภาษี ผ่อนคลายกฎดึงคนเก่งทำงานในไทย “ซีพี” ลุยก่อนปั้นกองทุนสตาร์ทอัพ 100 ล้านเหรียญ เฟ้นหาธุรกิจใหม่ ตอบโจทย์ 4.0 พร้อมเสริมกองทุนใหญ่ดึงสู่เส้นทางธุรกิจ
ผู้สื่อข่าว “
ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 10.30 -12.05 น. นาย
ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้เข้าร่วมให้ความเห็นหัวข้อ SME Clinic ในแอปพลิเคชั่นคลับเฮ้าส์ โดยมี
หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ มีผู้เข้าร่วมฟัง 8,000 คน พร้อมแนะนำไอเดียนำธุรกิจฝ่าวิกฤตโควิด
“
ผมตื่นเต้นเหมือนกันที่ได้เข้าคลับเฮ้าส์ เพราะรู้สึกว่าในคลับเฮ้าส์มีคนที่ตั้งใจจริงๆที่จะมาฟังและพูด ซึ่งผมจะให้ความเห็นเรื่องเศรษฐกิจเพราะเป็นเรื่องถือผมถนัดและหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ” นาย
ธนินท์กล่าว
ประเด็นสำคัญที่ นาย
ธนินท์ ชี้ให้เห็นว่าโควิดเป็นตัวเร่งให้เข้าสู่ยุค 4.0 ได้เร็วขึ้น มีการพัฒนาเทคโนโลยีและมีการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตทำให้สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ในส่วนของธุรกิจเครือซีพีก็มีการปรับเปลี่ยนจุดนี้ไปอย่างมาก โดยเฉพาะการลงทุนในด้านสตาร์ทอัพ หรือเรียกว่า เถ้าแก่เกิดใหม่
“
ผมสนใจเรื่องสตาร์ทอัพ เพราะเด็กวันนี้จะเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า ยุค 4.0 จะทำให้ธุรกิจเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่โควิดทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดเร็วขึ้น ตลอดชีวิตของผมที่ผ่านมาผมมองว่าวิกฤตตามด้วยโอกาส และโอกาสก็ตามมาด้วยวิกฤตได้เช่นกัน ผมเจอมาตลอด”
หากเปรียบเทียบวิกฤตโควิดกับต้มยำกุ้ง ผมว่าวิกฤตครั้งนี้รุนแรงไปทั่วโลก ส่วนวิกฤตต้มยำกุ้งจำกัดเฉพาะในเอเซีย เมืองไทยยังมีโอกาสขยายการส่งออกสินค้า จริงๆแล้วตอนนั้นเมืองไทยจะไม่เสียหายมาก แต่ผู้นำประเทศบริหารไม่เป็นนโยบายก็ผิด เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่สกัดไฟแต่ต้นลม
สำหรับวิกฤตโควิดครั้งนี้ผมมองว่าจะเป็นโอกาสหลังจากนี้ทุกคนจะอยากมาลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทย มาใช้ชีวิตในประเทศไทย เพราะโควิดประกอบกับ 4.0 ทำให้สามารถทำงานและใช้ชีวิตที่ไหนก็ได้ เมื่อพ้นวิกฤตแล้วคนที่อัดอั้นก็จะมีการเดินทางมากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งสำคัญเราต้องเตรียมพร้อม
“
วันนี้สตาร์ทอัพประเทศไทยยังขาดการสนับสนุน ทั้งที่คนไทยเก่ง สตาร์ทอัพ หรือเถ้าแก่เกิดใหม่ แต่รัฐบาลไม่ได้เอื้อ ถึงบอกว่าจะส่งเสริมแต่ไม่ได้ทำจริง ทำให้สตาร์ทอัพต้องไปจดทะเบียนในต่างประเทศ สิงคโปร์ ฮ่องกง อเมริกา กองทุนไม่มาประเทศไทย เพราะรัฐบาลเก็บภาษี ทั้งที่ผมบอกว่าการลงทุนในสตาร์ทอัพยังมีความเสี่ยง ควรจะช่วยส่งเสริมให้ดึงคนเก่งจากทั่วโลกเข้ามา แต่ก็มีกฎระเบียบยุ่งยากต้องไปรายงานตัวทุก 3 เดือน”
เหตุผลที่ผมบอกว่าไทยต้องปรับตัว เพราะไทยจะไม่สามารถแข่งขันโดยใช้แรงงานราคาถูกได้เช่นเดิม แต่ต้องใช้เทคโนโลยีใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะ เราจะไม่มีเกษตรกร การขายสินค้าเกษตรจะทำบนเว็บไซต์ ต้องไปดูว่าประเทศไหนมีอะไร เปรียบเทียบกับเค้า แล้วพัฒนาต่อยอด
“
ประเทศไทยเต็มไปด้วยโอกาส โดยเฉพาะสตาร์ทอัพแต่รัฐบาลต้องเข้าใจจะมาเก็บภาษี เข้ามาทำงานก็ยาก ทุก 3เดือนต้องรายงานตัว เราต้องปรับโดยการดึงคนเก่งเข้ามา มาดึงให้คนไทยเก่งขึ้นไปอีก กองทุนสตาร์ทอัพต้องมาเมืองไทย ต้องไม่มีภาษี”
ในส่วนการลงทุนด้านสตาร์ทอัพนั้น ผมได้ตั้งกองทุน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ แนวทางการทำธุรกิจของผมคือการต่อยอด โดยผมจะเลือกดูธุรกิจสตาร์ทอัพที่เป็น 4.0 หรือไม่ เป็นธุรกิจใหม่หรือไม่ เพราะถ้าไปลงทุนแบบเก่าจะสู้คนเก่าได้อย่างไร เราต้องทำใหม่ และไปต่อยอด เช่น ถ้าจะเลือกของมาขายในเซเว่นฯ ต้องไปดูว่า สินค้านั้นเหมาะจะขายในเซเว่นไหม ผลิตได้ของดีราคาถูกไหม พอรู้ข้อมูลแล้วก็ต้องเข้าไปช่วย ส่งเสริม เช่น จะบริหารจัดการอย่างไร ซื้อวัตถุดิบอย่างไร เพื่อให้สินค้าที่มีคุณภาพ เราเน้นขายสินค้าที่มีคุณภาพ ถ้าไม่มีเราไม่ทำ
ประธานอาวุโส ยังให้คำแนะนำว่า เรื่องการพัฒนาคนถือเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะการพัฒนาทีมงาน เพราะยุค 4.0 นั้น หมดยุค One Man Show แล้ว ต้องมุ่งพัฒนาเทคโนโลยี ทำการตลาด และให้ความสำคัญกับการพัฒนาทีมงาน
“
หลักการของผมในการปลุกพลังคนทำงานคือ ให้โอกาส ให้อำนาจตัดสินใจ ให้เงิน ให้เวที ต้องให้เค้าลองผิดลองถูก สำคัญมากโดยเฉพาะการลองผิด แต่ผิดวันนี้ ต้องแก้พรุ่งนี้ และห้ามผิดซ้ำ แต่ผมจะไม่ไปครอบงำเค้าเพราะต้องเอาประสบการณ์คนรุ่นใหม่มาใช้ เราชี้แนะได้แต่อย่าชี้นำ ถ้าไปครอบงำก็ไม่เกิดการเปลียนแปลง คนที่ทำผิดมากคือคนที่ทำมาก คนที่ไม่ทำผิดเลยคือไม่ได้ทำอะไรก็ไม่ผิด”
นาย
ธนินท์ กล่าวอีกว่า หลังจากส่งเสริมสตาร์ทอัพประสบความสำเร็จแล้ว ทางกลุ่มซีพีมีแนวคิดที่จะตั้งกองทุนขึ้นมาอีกกองทุน เพื่อต่อยอดการลงทุนธุรกิจนั้นต่อ
“
ผมก็เพิ่งเริ่มเรื่องสตาร์ทอัด ถือว่าใหม่ แต่ผมชอบต่อยอด ไม่คิดจากศูนย์ ผมจะไปดูคนที่ประสบความสำเร็จ ไปร่วมลงทุนกับเค้า เช่น ที่เคยไปดูกุ้งขาวในอเมริกาและนำมาพัฒนาที่ไทย ก่อนส่งกลับไปขายที่อเมริกา หรือการลงทุนฟาร์มไก่เนื้อสายพันธุ์ใหม่ที่ได้ความรู้มาจากอเมริกาทำให้สามารถพัฒนาไก่ที่มีน้ำหนัก 1.5กก.ได้เร็วขึ้นจากเดิมเคยใช้เวลาเลี้ยง 5-6 เดือน ก็ลดลงเหลือ8อาทิตย์ ต่อยอดความรู้แล้วนำมาพัฒนาธุรกิจ จนผมส่งออกไก่ไปขายญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกาได้”
พร้อมกันนี้ นาย
ธนินท์ยังให้คำแนะนำธุรกิจเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหาจากโควิด 4-5 รายอาทิ ผู้ใช้ชื่อ
Joe ProPlugin ที่นำเข้าอุปกรณ์เครื่องดนตรีและอุปกรณ์สำหรับทำคอนเท็นต์ ที่ต้องการขยายธุรกิจ ได้รับคำแนะนำว่าต้องดูสินค้าพระเอกของเราเป็นหลัก ต้องเลี้ยงธุรกิจไว้ มองจังหวะการลงทุนหากพร้อมค่อยลงทุน หรือหากต้องลงทุนต้องหาทางผนึกกำลัง โดยให้แนวคิดว่าการทำธุรกิจในยุค 4.0 ต้องมีความรวดเร็วก็จริง แต่ก็ต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพด้วย
JJNY : รอยร้าวเริ่มปริ│เจ้าสัวธนินท์ร่วมวงคลับเฮ้าส์│อดีตผู้สมัครส.ส.ติงคนพปชร.│ส.ส.เมืองคอนลั่น ควรให้เก้าอี้รมต.คนใต้
https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2040019
• จับตาการเมืองไทยนับจากนี้ จะเกิดอะไรขึ้น ภายหลังศาลมีคำพิพากษาจำคุกเหล่าแกนนำ กปปส. ทำให้ 3 คนที่เป็น ส.ส. ในปัจจุบันต้องสิ้นสภาพ เนื่องจากถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และ 3 รัฐมนตรีในรัฐบาล “บิ๊กตู่” ต้องพ้นจากเก้าอี้ในทันที
• ทั้ง “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามด้วย “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รมว.ศึกษาธิการ จากพรรคพลังประชารัฐ และ “ถาวร เสนเนียม” รมช.คมนาคม จากพรรคประชาธิปัตย์ กลายเป็นอดีตรัฐมนตรี ไปเสียแล้ว
• “ณัฏฐพล” นอกจากพ้นเก้าอี้รัฐมนตรี ยังสิ้นสถานภาพ ส.ส. ส่วน “พุทธิพงษ์” และ “ถาวร” สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ถูกเพิกถอนตามคำสั่งศาล มีการถกเถียงในแวดวงนักกฎหมาย จะต้อง “สิ้นสภาพ ส.ส.” หรือไม่ เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด เป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น
จากสิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย “รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า เมื่อดูข้อกฎหมายแล้วทั้ง “พุทธิพงษ์” และ “ถาวร” พ้นสภาพ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (7) อย่างแน่นอน แม้คำพิพากษาของศาลสั่งจำคุกยังไม่ถึงที่สุด แต่ถูกคุมขังโดยหมายศาล และเมื่อไม่ได้ประกันตัวตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. ก็ต้องพ้นสภาพความเป็น ส.ส.ตามมาตรา 98 (6) ทำให้ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ของพรรคพลังประชารัฐ ขยับบัญชีรายชื่อขึ้นมาเป็น ส.ส.แทน “พุทธิพงษ์” โดยอัตโนมัติ และเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สงขลา เขต 6 แทน “ถาวร”
ขณะที่การเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร ต้องแยกเป็นการเมืองในสภาและนอกสภา เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดคิดจะมีการปรับ ครม. ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือแม้เกิดกรณีกลุ่มดาวฤกษ์ นำโดย วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ งดออกเสียงให้ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จากพรรคภูมิใจไทย แต่เมื่อตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลงแน่นอนพรรคร่วมรัฐบาล จะเกิดการต่อรองขอโควตารัฐมนตรี
เริ่มจากพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อหัก เทพไท เสนพงศ์ และชุมพล จุลใส ซึ่งพ้นจากตำแหน่ง ทำให้เหลือ ส.ส. 50 ที่นั่ง และเมื่อคิดสัดส่วนส.ส. 7 คน ต่อรัฐมนตรี 1 คน นั่นหมายความว่าประชาธิปัตย์ จะได้สัดส่วนรัฐมนตรีเหลือเพียง 7 จากเดิมได้ 8 ที่นั่ง อาจทำให้การปรับ ครม.ครั้งใหม่ ไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยเพิ่ม
ส่วนพรรคภูมิใจไทย จะเคลื่อนไหวต่อรองทวงโควตารัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ควรได้มากกว่านี้ จากการมี ส.ส.เพิ่มขึ้น กรณียุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้มี ส.ส. 61 ที่นั่ง ซึ่งยังไม่รวม ส.ส.งูเห่า จากพรรคก้าวไกลอีก 4 คน อีกทั้งขณะนี้เกิดความไม่พอใจกลุ่มดาวฤกษ์ จากพรรคพลังประชารัฐ หากไม่ได้โควตารัฐมนตรีตามที่ขอ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยคืนมา อาจเห็นพรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลก็ได้ จนนำไปสู่การยุบสภา แต่น่าจะมีโอกาสน้อยมาก ส่วนนอกสภาจะมีการชุมนุมขับเคลื่อนมากขึ้นต่อเนื่อง อาจเหมือนปี 2563 เนื่องจากรัฐบาลขาดความชอบธรรม
“ดูเหมือนบิ๊กป้อม ก็ไม่พอใจกลุ่มดาวฤกษ์ และมีบางส่วนในพรรคก็มองว่ากลุ่มของมาดามเดียร์ ไม่มีความผิดอะไรร้ายแรง แต่จะส่งผลต่อพรรคภูมิใจไทย อย่างที่เห็นมีการวอล์กเอาต์ออกจากที่ประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพราะไม่ขอร่วมพิจารณาร่าง พ.ร.บ. 2 ฉบับ ตามที่สภามีมติเสียงข้างมากให้เลื่อนขึ้นมาพิจารณา จากเดิมไม่เคยฝืนมติพรรคร่วมรัฐบาลมาก่อนเพื่อเป็นการตอบโต้ เพราะศักดิ์สยาม เป็นน้องเนวิน ชิดชอบ และเป็นแกนนำหลักของพรรค และเชื่อว่าจะเกิดการวอล์กเอาต์อย่างต่อเนื่องมากขึ้น เพราะภูมิใจไทย ต้องการอะไรจากพลังประชารัฐ โดยเฉพาะการทวงโควตารัฐมนตรีที่เคยได้ต่ำกว่าเกณฑ์”
ศึกนอกศึกใน รุมเร้า หวั่นเกิดทางตัน สู่ยุบสภา
เมื่อประเมินแล้วการเมืองไทยนับจากนี้ อาจมีโอกาสยุบสภาก็เป็นไปได้ และเกิดการเคลื่อนไหวการเมืองนอกสภามากขึ้น โดยการปรับ ครม.ที่จะเกิดขึ้นน่าจะปรับปานกลาง 5-7ตำแหน่ง ซึ่งพรรคภูมิใจไทยอาจได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยมาเพิ่ม แทนถาวร เสนเนียม ที่พ้นจากตำแหน่ง หรือถ้าเป็นไปตามข่าว 3 รัฐมนตรีช่วยของพรรคพลังประชารัฐ อาจขยับขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการ และจากจุดนี้จะทำให้รัฐบาลเจอทั้งศึกนอกและศึกใน จนไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดการผันผวนทางการเมืองอย่างรวดเร็วขนาดนี้มาก่อน จากเดิมที่ไม่เคยมีปัญหา และหากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีเพิ่ม อาจมีกลุ่มต่างๆ ในพรรคเคลื่อนไหว เพื่อขอตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย
สุดท้ายต้องจับตาการเมืองไทยจะร้อนระอุหรือไม่ เริ่มจากตัวแปรกรณีกลุ่มดาวกฤกษ์ อาจทำให้พรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากรัฐบาล แม้จะได้ส.ส.จากพรรคก้าวไกลมาเพิ่มก็ตาม เพราะฉะนั้นแล้วประมาณต้นเดือน มี.ค. จะเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ทั้งจากการปรับ ครม. หรืออาจมีการยุบสภา ซึ่งประเด็นหลังน่าจะเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่หากมีการยุบสภาจริงๆ นั่นจะทำให้พรรคพลังประชารัฐแตก เพราะคะแนนนิยมเริ่มร่วงตกลงไปทุกวัน.
ผู้เขียน : ปูรณิมา
ครั้งแรก! เจ้าสัว “ธนินท์ เจียรวนนท์” ร่วมวง “คลับเฮ้าส์” เอสเอ็มอีคลินิก
https://www.prachachat.net/economy/news-621187
ครั้งแรก! “ธนินท์ เจียวรนนท์” แลกเปลี่ยนมุมมองช่วยเอสเอ็มอีใน “คลับเฮ้าส์” คนฟัง 8 พันคน ชี้วิกฤตโควิดคือโอกาส เร่ง 4.0 มาเร็วขึ้น
แนะรัฐหนุนสตาร์ทอัพ “เถ้าแก่เกิดใหม่” ปลดล็อกการตั้งกองทุน เว้นภาษี ผ่อนคลายกฎดึงคนเก่งทำงานในไทย “ซีพี” ลุยก่อนปั้นกองทุนสตาร์ทอัพ 100 ล้านเหรียญ เฟ้นหาธุรกิจใหม่ ตอบโจทย์ 4.0 พร้อมเสริมกองทุนใหญ่ดึงสู่เส้นทางธุรกิจ
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 10.30 -12.05 น. นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้เข้าร่วมให้ความเห็นหัวข้อ SME Clinic ในแอปพลิเคชั่นคลับเฮ้าส์ โดยมีหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ มีผู้เข้าร่วมฟัง 8,000 คน พร้อมแนะนำไอเดียนำธุรกิจฝ่าวิกฤตโควิด
“ผมตื่นเต้นเหมือนกันที่ได้เข้าคลับเฮ้าส์ เพราะรู้สึกว่าในคลับเฮ้าส์มีคนที่ตั้งใจจริงๆที่จะมาฟังและพูด ซึ่งผมจะให้ความเห็นเรื่องเศรษฐกิจเพราะเป็นเรื่องถือผมถนัดและหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ” นายธนินท์กล่าว
ประเด็นสำคัญที่ นายธนินท์ ชี้ให้เห็นว่าโควิดเป็นตัวเร่งให้เข้าสู่ยุค 4.0 ได้เร็วขึ้น มีการพัฒนาเทคโนโลยีและมีการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตทำให้สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ในส่วนของธุรกิจเครือซีพีก็มีการปรับเปลี่ยนจุดนี้ไปอย่างมาก โดยเฉพาะการลงทุนในด้านสตาร์ทอัพ หรือเรียกว่า เถ้าแก่เกิดใหม่
“ผมสนใจเรื่องสตาร์ทอัพ เพราะเด็กวันนี้จะเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า ยุค 4.0 จะทำให้ธุรกิจเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่โควิดทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดเร็วขึ้น ตลอดชีวิตของผมที่ผ่านมาผมมองว่าวิกฤตตามด้วยโอกาส และโอกาสก็ตามมาด้วยวิกฤตได้เช่นกัน ผมเจอมาตลอด”
หากเปรียบเทียบวิกฤตโควิดกับต้มยำกุ้ง ผมว่าวิกฤตครั้งนี้รุนแรงไปทั่วโลก ส่วนวิกฤตต้มยำกุ้งจำกัดเฉพาะในเอเซีย เมืองไทยยังมีโอกาสขยายการส่งออกสินค้า จริงๆแล้วตอนนั้นเมืองไทยจะไม่เสียหายมาก แต่ผู้นำประเทศบริหารไม่เป็นนโยบายก็ผิด เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่สกัดไฟแต่ต้นลม
สำหรับวิกฤตโควิดครั้งนี้ผมมองว่าจะเป็นโอกาสหลังจากนี้ทุกคนจะอยากมาลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทย มาใช้ชีวิตในประเทศไทย เพราะโควิดประกอบกับ 4.0 ทำให้สามารถทำงานและใช้ชีวิตที่ไหนก็ได้ เมื่อพ้นวิกฤตแล้วคนที่อัดอั้นก็จะมีการเดินทางมากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งสำคัญเราต้องเตรียมพร้อม
“วันนี้สตาร์ทอัพประเทศไทยยังขาดการสนับสนุน ทั้งที่คนไทยเก่ง สตาร์ทอัพ หรือเถ้าแก่เกิดใหม่ แต่รัฐบาลไม่ได้เอื้อ ถึงบอกว่าจะส่งเสริมแต่ไม่ได้ทำจริง ทำให้สตาร์ทอัพต้องไปจดทะเบียนในต่างประเทศ สิงคโปร์ ฮ่องกง อเมริกา กองทุนไม่มาประเทศไทย เพราะรัฐบาลเก็บภาษี ทั้งที่ผมบอกว่าการลงทุนในสตาร์ทอัพยังมีความเสี่ยง ควรจะช่วยส่งเสริมให้ดึงคนเก่งจากทั่วโลกเข้ามา แต่ก็มีกฎระเบียบยุ่งยากต้องไปรายงานตัวทุก 3 เดือน”
เหตุผลที่ผมบอกว่าไทยต้องปรับตัว เพราะไทยจะไม่สามารถแข่งขันโดยใช้แรงงานราคาถูกได้เช่นเดิม แต่ต้องใช้เทคโนโลยีใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะ เราจะไม่มีเกษตรกร การขายสินค้าเกษตรจะทำบนเว็บไซต์ ต้องไปดูว่าประเทศไหนมีอะไร เปรียบเทียบกับเค้า แล้วพัฒนาต่อยอด
“ประเทศไทยเต็มไปด้วยโอกาส โดยเฉพาะสตาร์ทอัพแต่รัฐบาลต้องเข้าใจจะมาเก็บภาษี เข้ามาทำงานก็ยาก ทุก 3เดือนต้องรายงานตัว เราต้องปรับโดยการดึงคนเก่งเข้ามา มาดึงให้คนไทยเก่งขึ้นไปอีก กองทุนสตาร์ทอัพต้องมาเมืองไทย ต้องไม่มีภาษี”
ในส่วนการลงทุนด้านสตาร์ทอัพนั้น ผมได้ตั้งกองทุน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ แนวทางการทำธุรกิจของผมคือการต่อยอด โดยผมจะเลือกดูธุรกิจสตาร์ทอัพที่เป็น 4.0 หรือไม่ เป็นธุรกิจใหม่หรือไม่ เพราะถ้าไปลงทุนแบบเก่าจะสู้คนเก่าได้อย่างไร เราต้องทำใหม่ และไปต่อยอด เช่น ถ้าจะเลือกของมาขายในเซเว่นฯ ต้องไปดูว่า สินค้านั้นเหมาะจะขายในเซเว่นไหม ผลิตได้ของดีราคาถูกไหม พอรู้ข้อมูลแล้วก็ต้องเข้าไปช่วย ส่งเสริม เช่น จะบริหารจัดการอย่างไร ซื้อวัตถุดิบอย่างไร เพื่อให้สินค้าที่มีคุณภาพ เราเน้นขายสินค้าที่มีคุณภาพ ถ้าไม่มีเราไม่ทำ
ประธานอาวุโส ยังให้คำแนะนำว่า เรื่องการพัฒนาคนถือเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะการพัฒนาทีมงาน เพราะยุค 4.0 นั้น หมดยุค One Man Show แล้ว ต้องมุ่งพัฒนาเทคโนโลยี ทำการตลาด และให้ความสำคัญกับการพัฒนาทีมงาน
“หลักการของผมในการปลุกพลังคนทำงานคือ ให้โอกาส ให้อำนาจตัดสินใจ ให้เงิน ให้เวที ต้องให้เค้าลองผิดลองถูก สำคัญมากโดยเฉพาะการลองผิด แต่ผิดวันนี้ ต้องแก้พรุ่งนี้ และห้ามผิดซ้ำ แต่ผมจะไม่ไปครอบงำเค้าเพราะต้องเอาประสบการณ์คนรุ่นใหม่มาใช้ เราชี้แนะได้แต่อย่าชี้นำ ถ้าไปครอบงำก็ไม่เกิดการเปลียนแปลง คนที่ทำผิดมากคือคนที่ทำมาก คนที่ไม่ทำผิดเลยคือไม่ได้ทำอะไรก็ไม่ผิด”
นายธนินท์ กล่าวอีกว่า หลังจากส่งเสริมสตาร์ทอัพประสบความสำเร็จแล้ว ทางกลุ่มซีพีมีแนวคิดที่จะตั้งกองทุนขึ้นมาอีกกองทุน เพื่อต่อยอดการลงทุนธุรกิจนั้นต่อ
“ผมก็เพิ่งเริ่มเรื่องสตาร์ทอัด ถือว่าใหม่ แต่ผมชอบต่อยอด ไม่คิดจากศูนย์ ผมจะไปดูคนที่ประสบความสำเร็จ ไปร่วมลงทุนกับเค้า เช่น ที่เคยไปดูกุ้งขาวในอเมริกาและนำมาพัฒนาที่ไทย ก่อนส่งกลับไปขายที่อเมริกา หรือการลงทุนฟาร์มไก่เนื้อสายพันธุ์ใหม่ที่ได้ความรู้มาจากอเมริกาทำให้สามารถพัฒนาไก่ที่มีน้ำหนัก 1.5กก.ได้เร็วขึ้นจากเดิมเคยใช้เวลาเลี้ยง 5-6 เดือน ก็ลดลงเหลือ8อาทิตย์ ต่อยอดความรู้แล้วนำมาพัฒนาธุรกิจ จนผมส่งออกไก่ไปขายญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกาได้”
พร้อมกันนี้ นายธนินท์ยังให้คำแนะนำธุรกิจเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหาจากโควิด 4-5 รายอาทิ ผู้ใช้ชื่อ Joe ProPlugin ที่นำเข้าอุปกรณ์เครื่องดนตรีและอุปกรณ์สำหรับทำคอนเท็นต์ ที่ต้องการขยายธุรกิจ ได้รับคำแนะนำว่าต้องดูสินค้าพระเอกของเราเป็นหลัก ต้องเลี้ยงธุรกิจไว้ มองจังหวะการลงทุนหากพร้อมค่อยลงทุน หรือหากต้องลงทุนต้องหาทางผนึกกำลัง โดยให้แนวคิดว่าการทำธุรกิจในยุค 4.0 ต้องมีความรวดเร็วก็จริง แต่ก็ต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพด้วย