เดือนมกราคม 1999 VGS ได้เปิดตัวต่อสาธารณะในงาน Mac World Expo 1999 และเปิดตัวอย่างไม่ธรรมดายิ่ง
เพราะผู้ที่บรรยายบนเวทีนั้นคือผู้บริหารระดับสูงของ Apple เอง บุรุษที่ต่อมากลายเป็นตำนานแห่งวงการไอทีและเปลี่ยนโลกของโทรศัพท์มือไปตลอดกาล
“คอเต่าทมิฬ” สตีฟ จอบส์
สาเหตุนั้นมาจาก Mac เสียเปรียบ Windows ในด้านเกมมาตลอด อีกทั้งยังล้มเหลวไม่เป็นท่าในโครงการร่วมกับ Bandai ในการสร้างเครื่องเกมคอนโซลอีกด้วย พอทาง Apple รู้เรื่องของ VGS ก็เลยให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่เพราะไม่แทบไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเลยจู่ ๆ Mac ก็จะมีจำนวนเกมให้เล่นเพิ่มในหลักหลายร้อยเกม ความนิยมในเครื่อง Mac จะต้องพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้อ่านสามารถดู VDO การบรรยาย VGS โดย สตีฟ จอบส์ ได้ที่ Link ข้างล่าง ลองฟังเสียงตอบรับของผู้ชมชาว Mac ดูสิ
https://www.youtube.com/watch?v=3OqMcqRI-xA
ในงาน Mac World Expo ครั้งนั้น VGS มียอดสั่งซื้อสูงเกิน 3000 ก๊อปปี้ด้วยราคาขายแบบกลม ๆ เพียง 50 USD
พอเทียบกับราคาแรกเปิดตัวของ ps คือ 299 ซึ่งต่อมาลดเหลือ 199 และ Ps one ที่เป็นรุ่นลดต้นทุนของ ps ที่ขายในราคา 99 USD แล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Sony ถึงกังวลกับการมาของ ps emulator ในเชิงพาณิชย์อย่างมาก
3 สัปดาห์หลังจากเปิดตัว Sony ก็ได้ยื่นฟ้อง Connectix รวมทั้งสิ้น 9 ข้อหา โดยข้อหาที่โดดเด่นคือการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและละเมิดสิทธิ์บัตร
ในข้อหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้นมาจากกระบวนการวิศวกรรมย้อนกลับการทำงานของ ps โดย Sony อ้างว่าในการวิศวกรรมย้อนกลับนั้น Connectix ได้มีการแปลง binary code (ภาษาเครื่องในรูปแบบเลขฐาน 2) ของ bios ออกมาเป็น Source Code (ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม มนุษย์อ่านออก) แล้วนำ Source Code ดังกล่าวไปใช้ในโปรแกรม VGS ซึ่งเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญารวมถึงมีการอ้างว่าบางฟังชั่นการทำงานของ ps bios นั้นไม่สามารถเข้าถึงและเลียนแบบได้ วิธีเดียวที่ VGS จะทำงานได้เช่นนี้ก็คือผู้พัฒนาจะต้องก๊อปปี้ bios ของ ps ไปใช้ใน VGS ซึ่ง Sony ไม่ยินยอมและเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
Connectix ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและเรื่องก็ขึ้นไปที่ชั้นศาล
สาเหตุที่ Sony ตัดสินใจล้มไม่ให้ VGS เกิดทั้งที่โปรแกรมนี้เกิดมาในช่วงปลายอายุของ ps และเครื่องรุ่นใหม่กำลังจะวางจำหน่ายอีกเพียงปีเดียวข้างหน้านั้น ผู้เขียนคาดว่ามาจากสาเหตุดังต่อไปนี้
1. เพื่อรักษารายได้จากค่าธรรมเนียมเกม
เป็นที่รู้กันว่าค่าธรรมเนียมการผลิตสื่อเกมรวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่บริษัทผู้สร้างเกมต้องจ่ายให้บริษัทเจ้าของเครื่องเพื่อให้เกมของตนลงเครื่องเกมคอนโซลดังกล่าวได้นั้นเป็นแหล่งรายได้สำคัญและมีมูลค่ามหาศาลมาก Sony กับ Nintendo เองก็แตกหักกันเพราะประเด็นส่วนแบ่งผลประโยชน์ค่าธรรมเนียมมาแล้ว
การมาของ VGS นั้นสามารถมองได้ว่าเป็นการเปิดช่องให้บริษัทผู้สร้างเกมสามารถสร้างเกมลง ps ได้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับ Sony หรือที่เลวร้ายที่สุดคือรายได้ดังกล่าวจะไปเข้ากระเป๋า Connectix แทน ซึ่ง Sony ไม่ยอมและไม่มีวันยอมแน่นอน
2. เพื่อปกป้องเครื่อง ps รุ่นใหม่
ตามแผนแล้ว เครื่อง ps รุ่นใหม่ของ Sony ที่กำลังจะออกในปี 2000 นั้นมีจุดเด่นที่เครื่องเกมคอนโซลในยุคก่อนและยุคเดียวกันไม่เคยมีและยังเป็นความสามารถที่ผู้เล่นหรือแม้แต่พ่อแม่ผู้ปกครองที่ซื้อเครื่องเกมให้ลูกหลานของตนเรียกร้องและต้องการมานาน นั้นคือ backward compatibility หรือความสามารถที่ทำให้เครื่องรุ่นใหม่นี้สามารถเล่นเกมจากเครื่องรุ่นก่อนหน้าได้ ด้วยฟังชั่นนี้ทำให้เกมของ ps ที่ผู้เล่นเคยซื้อไปไม่สูญเปล่าและจำนวนเกมที่เครื่องรุ่นใหม่นี้เล่นได้นั้นไม่ต้องเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ตั้งแต่ต้นแต่นับต่อจากเกมที่เคยออกมาได้เลย ซึ่งในปี 2000 นั้นจำนวนเกมของ ps เฉพาะที่วางจำหน่ายในอเมริกานั้นก็มีมากถึง 1142 เกมแล้ว ช่วยให้คนที่สนใจเครื่องรุ่นใหม่แต่ยังมีเกมที่อยากเล่นบน ps รุ่นเก่าอยู่ตัดสินใจซื้อเครื่องรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
แต่ ถ้า VGS ได้ออกวางตลาดละก็ จุดเด่นนี้นอกจากจะด้อยลงแล้วยังคาดว่าคนที่จะซื้อเครื่อง ps ก็จะหันไปซื้อ VGS ที่ราคาถูกกว่ามาใช้แทนซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายทั้งเครื่องรุ่นใหม่และ ps one หรือ ps รุ่นลดต้นทุนที่นำมาขายราคาถูกอีกด้วย
ในช่วงแรกของการฟ้องร้องนั้น Sony ประสบความสำเร็จในการยื่นขอระงับการวางจำหน่าย VGS ในเดือนเมษายน 1999 ทำให้ Connectix ต้องยุติการส่งแผ่นโปรแกรม VGS ไปเพิ่มยังร้านค้าจนกว่าจะมีคำสั่งศาลเป็นอื่น เสียโมเมนต์การตลาดไปอย่างน่าเจ็บปวด
จนกระทั้งเดือนกุมภาพันธ์ ปี2000 ศาลตัดสินออกมาว่า Connectix ไม่ผิดตามข้อหาที่ Sony ส่งฟ้อง สาเหตุหลักคือการวิศวกรรมย้อนกลับของ Connectix นั้นไม่มีการนำ Source Code หรือโปรแกรมใด ๆ ของทาง Sony มาใช้ใน VGS เลย บางข้อหาก็ยกประโยชน์ให้จำเลยไปเพราะหลักฐานจากทาง Sony ไม่เพียงพอให้เชื่อว่าทำผิดตามที่กล่าวหาและต่อมาได้ยกเลิกคำสั่งศาลที่ให้ระงับการวางจำหน่าย VGS ที่ออกไปก่อนหน้านี้
หลังจากตัดสินคดีแล้ว Sony พยายามที่จะสู้ต่อโดยฟ้องร้องไปยังศาลตามรัฐต่าง ๆ รวมถึงมีความพยายามที่จะอุทธรณ์คดีขึ้นศาลสูงสุดแต่ศาลไม่รับฟ้องและคดีต่าง ๆ ที่ฟ้องนั้นแพ้ในทุกศาล สถานะการณ์ยิ่งเลวร้ายลงอีกเพราะระหว่างที่ VGS ถูกฟ้องจนวางจำหน่ายไม่ได้นั้น ทาง Connectix ก็ใช้เวลาช่วงดังกล่างพัฒนา VGS สำหรับใช้งานบน Windows ขึ้นมาอีกตัวหนึ่งเพื่อขยายตลาด จากเดิมที่มีแต่เครื่อง Mac เท่านั้นกลายเป็นว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เกือบทุกเครื่องบนโลกจะสามารถเล่นเกม ps ได้แล้ว
ความ Chipหาย มาเยือนรำไร
ในพิชัยยุทธซุนวูนั้นมีการกล่าวถึงกลศึกไว้ว่าให้ใช้จุดแข็งของตนเองโจมตีไปที่จุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม
โดย Sony นั้นมีสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดแข็งเหนือ Connectix อย่างเทียบไม่ได้อยู่อย่างหนึ่งและเป็นสิ่งที่ Connectix ต้องสยบอย่างไม่ต้องสงสัย
นั้นคือ “เงิน”
แหล่งข้อมูลกล่าวว่าหลังจากคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและระหว่างที่คดีในศาลที่รัฐอื่น ๆ กำลังดำเนินไป Sony ที่รู้ตัวแล้วว่าวิธีทางกฎหมายใช้ไม่ได้ผลเริ่มติดต่อพูดคุยกับ Connectix และบรรลุข้อตกลงว่า Sony จะขอซื้อ VGS จาก Connectix โดยจำนวนเงินที่ Sony จ่ายนั้นยังไม่มีข้อมูลเล็ดลอดออกมาจนถึงปัจจุบัน เงื่อนไขการส่งมอบนั้น นอกจาก VGS ทุกเวอร์ชั่นและ Source Code ทั้งหมดแล้ว Connectix จะต้องส่งมอบเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา VGS ทั้งหมดให้แก่ Sony และล้างข้อมูลของ VGS ทุกอย่างออกจาก Server ด้วย
เดือนมีนาคม 2001 Sony และ Connectix ให้ข่าวถึงข้อตกลงความร่วมมือทางเทคโนโลยีโดยเน้นหนักไปที่การพัฒนาเทคโนโลยี Emulator ซึ่งรวมถึง VGS ด้วย โดย Sony จะสนับสนุนเงินทุนค่าพัฒนาให้(เงินจากสิ่งที่ผู้อ่านก็รู้ว่าอะไร)
ในเบื้องต้น VGS จะยุติการจำหน่ายในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน ส่วนการพัฒนาเวอร์ชั่นใหม่และกำหนดการวางจำหน่าย VGS อีกครั้งนั้นทาง Sony และ Connectix จะพูดคุยเพื่อหาข้อตกลงร่วมต่อไป
"As part of this joint technology agreement, we gain access to technical resources at Sony that we've never had before," said McDonald. "And we've also gained new cash resources that will enable us to fund new projects."
“ตามข้อตกลง, เราจะได้รับสิทธิการเข้าถึงทรัพยากรทางเทคนิคของโซนี่อย่างที่เราไม่เคยได้มาก่อน และ เรายังได้รับเงินทุนที่ช่วยให้เราสามารถดำเนินการในโปรเจคใหม่ ๆ ได้”
Roy McDonald ประธานของ Connectix กล่าว
"All further emulation development ... will proceed under the auspices of the joint agreement,"
“การพัฒนาอีมูเลเตอร์ต่อไปนั้น…กระบวนการจะดำเนินไปภายใต้กำหนดการตามข้อตกลงร่วม”
Shinichi Okamoto รองประธานอาวุโส ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ Sony กล่าว
ส่วนตัวแล้วผู้เขียนชอบประโยคนี้มาก ตอบยังไงให้ดูเหมือนว่าตอบแล้วแต่ก็ไม่มีคำตอบในนั้น
ต่อมา Microsoft ได้เข้ามาติดต่อซื้อ Virtual PC และ Virtual server โปรแกรมที่ทำให้เครื่อง Mac สามารถใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows บน Mac OS ได้จาก Connectix กระบวนการซื้อขายสมบูรณ์เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2003 Virtual PC ถูกนำไปให้ผู้ใช้งาน windows ใช้งานฟรีในชื่อ Virtual PC 2004 ในเดือนสิงหาคม 2006 และมีการออกเวอรชั่นใหม่มาเรื่อย ๆ จนกระทั้งถูกแทนที่ด้วย Hyper-V ในเดือนตุลาคม 2008 พร้อมกับการมาของ Windows 8
ทั้งนี้ Microsoft ยังซื้อตัวนักพัฒนา, ช่างเทคนิคและพนักงานของ Connectix อีกหลายคนไปพร้อม ๆ กับ Virtual PC และ Virtual Machine Technology ของ Connectix อีกด้วย ซึ่งคาดว่านี่เป็นสาเหตุทำให้ Connectix เลือกที่จะปิดกิจการไปในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันเพราะบุคลากรฝีมือดีนั้นได้กระจายกันไปหมดและไม่เหลือผลิตภัณฑ์ชูโรงของบริษัทแล้ว
และนั้นคือเรื่องราวในฝั่งของ VGS
ต่อไปก็จะเป็นตาของ Bleem อีกหนึ่งเรื่องราวของ ps Emulator ที่ส่งผลกระทบต่อวงการ Emulator ในแง่ที่ต่างกัน
หาก VGS นั้นคือ ps Emulator ที่สะเทือนวงการในยุคของมัน
Bleem นั้นคือ ps Emulator ที่ส่งต่อความฝันและความเป็นไปได้ของ Emulator สู่อนาคต
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/
GoC32 SideStory “Emulator Front, VGS” Part 2
เพราะผู้ที่บรรยายบนเวทีนั้นคือผู้บริหารระดับสูงของ Apple เอง บุรุษที่ต่อมากลายเป็นตำนานแห่งวงการไอทีและเปลี่ยนโลกของโทรศัพท์มือไปตลอดกาล
“คอเต่าทมิฬ” สตีฟ จอบส์
สาเหตุนั้นมาจาก Mac เสียเปรียบ Windows ในด้านเกมมาตลอด อีกทั้งยังล้มเหลวไม่เป็นท่าในโครงการร่วมกับ Bandai ในการสร้างเครื่องเกมคอนโซลอีกด้วย พอทาง Apple รู้เรื่องของ VGS ก็เลยให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่เพราะไม่แทบไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเลยจู่ ๆ Mac ก็จะมีจำนวนเกมให้เล่นเพิ่มในหลักหลายร้อยเกม ความนิยมในเครื่อง Mac จะต้องพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้อ่านสามารถดู VDO การบรรยาย VGS โดย สตีฟ จอบส์ ได้ที่ Link ข้างล่าง ลองฟังเสียงตอบรับของผู้ชมชาว Mac ดูสิ
https://www.youtube.com/watch?v=3OqMcqRI-xA
ในงาน Mac World Expo ครั้งนั้น VGS มียอดสั่งซื้อสูงเกิน 3000 ก๊อปปี้ด้วยราคาขายแบบกลม ๆ เพียง 50 USD
พอเทียบกับราคาแรกเปิดตัวของ ps คือ 299 ซึ่งต่อมาลดเหลือ 199 และ Ps one ที่เป็นรุ่นลดต้นทุนของ ps ที่ขายในราคา 99 USD แล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Sony ถึงกังวลกับการมาของ ps emulator ในเชิงพาณิชย์อย่างมาก
3 สัปดาห์หลังจากเปิดตัว Sony ก็ได้ยื่นฟ้อง Connectix รวมทั้งสิ้น 9 ข้อหา โดยข้อหาที่โดดเด่นคือการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและละเมิดสิทธิ์บัตร
ในข้อหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้นมาจากกระบวนการวิศวกรรมย้อนกลับการทำงานของ ps โดย Sony อ้างว่าในการวิศวกรรมย้อนกลับนั้น Connectix ได้มีการแปลง binary code (ภาษาเครื่องในรูปแบบเลขฐาน 2) ของ bios ออกมาเป็น Source Code (ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม มนุษย์อ่านออก) แล้วนำ Source Code ดังกล่าวไปใช้ในโปรแกรม VGS ซึ่งเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญารวมถึงมีการอ้างว่าบางฟังชั่นการทำงานของ ps bios นั้นไม่สามารถเข้าถึงและเลียนแบบได้ วิธีเดียวที่ VGS จะทำงานได้เช่นนี้ก็คือผู้พัฒนาจะต้องก๊อปปี้ bios ของ ps ไปใช้ใน VGS ซึ่ง Sony ไม่ยินยอมและเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
Connectix ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและเรื่องก็ขึ้นไปที่ชั้นศาล
สาเหตุที่ Sony ตัดสินใจล้มไม่ให้ VGS เกิดทั้งที่โปรแกรมนี้เกิดมาในช่วงปลายอายุของ ps และเครื่องรุ่นใหม่กำลังจะวางจำหน่ายอีกเพียงปีเดียวข้างหน้านั้น ผู้เขียนคาดว่ามาจากสาเหตุดังต่อไปนี้
1. เพื่อรักษารายได้จากค่าธรรมเนียมเกม
เป็นที่รู้กันว่าค่าธรรมเนียมการผลิตสื่อเกมรวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่บริษัทผู้สร้างเกมต้องจ่ายให้บริษัทเจ้าของเครื่องเพื่อให้เกมของตนลงเครื่องเกมคอนโซลดังกล่าวได้นั้นเป็นแหล่งรายได้สำคัญและมีมูลค่ามหาศาลมาก Sony กับ Nintendo เองก็แตกหักกันเพราะประเด็นส่วนแบ่งผลประโยชน์ค่าธรรมเนียมมาแล้ว
การมาของ VGS นั้นสามารถมองได้ว่าเป็นการเปิดช่องให้บริษัทผู้สร้างเกมสามารถสร้างเกมลง ps ได้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับ Sony หรือที่เลวร้ายที่สุดคือรายได้ดังกล่าวจะไปเข้ากระเป๋า Connectix แทน ซึ่ง Sony ไม่ยอมและไม่มีวันยอมแน่นอน
2. เพื่อปกป้องเครื่อง ps รุ่นใหม่
ตามแผนแล้ว เครื่อง ps รุ่นใหม่ของ Sony ที่กำลังจะออกในปี 2000 นั้นมีจุดเด่นที่เครื่องเกมคอนโซลในยุคก่อนและยุคเดียวกันไม่เคยมีและยังเป็นความสามารถที่ผู้เล่นหรือแม้แต่พ่อแม่ผู้ปกครองที่ซื้อเครื่องเกมให้ลูกหลานของตนเรียกร้องและต้องการมานาน นั้นคือ backward compatibility หรือความสามารถที่ทำให้เครื่องรุ่นใหม่นี้สามารถเล่นเกมจากเครื่องรุ่นก่อนหน้าได้ ด้วยฟังชั่นนี้ทำให้เกมของ ps ที่ผู้เล่นเคยซื้อไปไม่สูญเปล่าและจำนวนเกมที่เครื่องรุ่นใหม่นี้เล่นได้นั้นไม่ต้องเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ตั้งแต่ต้นแต่นับต่อจากเกมที่เคยออกมาได้เลย ซึ่งในปี 2000 นั้นจำนวนเกมของ ps เฉพาะที่วางจำหน่ายในอเมริกานั้นก็มีมากถึง 1142 เกมแล้ว ช่วยให้คนที่สนใจเครื่องรุ่นใหม่แต่ยังมีเกมที่อยากเล่นบน ps รุ่นเก่าอยู่ตัดสินใจซื้อเครื่องรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
แต่ ถ้า VGS ได้ออกวางตลาดละก็ จุดเด่นนี้นอกจากจะด้อยลงแล้วยังคาดว่าคนที่จะซื้อเครื่อง ps ก็จะหันไปซื้อ VGS ที่ราคาถูกกว่ามาใช้แทนซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายทั้งเครื่องรุ่นใหม่และ ps one หรือ ps รุ่นลดต้นทุนที่นำมาขายราคาถูกอีกด้วย
ในช่วงแรกของการฟ้องร้องนั้น Sony ประสบความสำเร็จในการยื่นขอระงับการวางจำหน่าย VGS ในเดือนเมษายน 1999 ทำให้ Connectix ต้องยุติการส่งแผ่นโปรแกรม VGS ไปเพิ่มยังร้านค้าจนกว่าจะมีคำสั่งศาลเป็นอื่น เสียโมเมนต์การตลาดไปอย่างน่าเจ็บปวด
จนกระทั้งเดือนกุมภาพันธ์ ปี2000 ศาลตัดสินออกมาว่า Connectix ไม่ผิดตามข้อหาที่ Sony ส่งฟ้อง สาเหตุหลักคือการวิศวกรรมย้อนกลับของ Connectix นั้นไม่มีการนำ Source Code หรือโปรแกรมใด ๆ ของทาง Sony มาใช้ใน VGS เลย บางข้อหาก็ยกประโยชน์ให้จำเลยไปเพราะหลักฐานจากทาง Sony ไม่เพียงพอให้เชื่อว่าทำผิดตามที่กล่าวหาและต่อมาได้ยกเลิกคำสั่งศาลที่ให้ระงับการวางจำหน่าย VGS ที่ออกไปก่อนหน้านี้
หลังจากตัดสินคดีแล้ว Sony พยายามที่จะสู้ต่อโดยฟ้องร้องไปยังศาลตามรัฐต่าง ๆ รวมถึงมีความพยายามที่จะอุทธรณ์คดีขึ้นศาลสูงสุดแต่ศาลไม่รับฟ้องและคดีต่าง ๆ ที่ฟ้องนั้นแพ้ในทุกศาล สถานะการณ์ยิ่งเลวร้ายลงอีกเพราะระหว่างที่ VGS ถูกฟ้องจนวางจำหน่ายไม่ได้นั้น ทาง Connectix ก็ใช้เวลาช่วงดังกล่างพัฒนา VGS สำหรับใช้งานบน Windows ขึ้นมาอีกตัวหนึ่งเพื่อขยายตลาด จากเดิมที่มีแต่เครื่อง Mac เท่านั้นกลายเป็นว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เกือบทุกเครื่องบนโลกจะสามารถเล่นเกม ps ได้แล้ว
ความ Chipหาย มาเยือนรำไร
ในพิชัยยุทธซุนวูนั้นมีการกล่าวถึงกลศึกไว้ว่าให้ใช้จุดแข็งของตนเองโจมตีไปที่จุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม
โดย Sony นั้นมีสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดแข็งเหนือ Connectix อย่างเทียบไม่ได้อยู่อย่างหนึ่งและเป็นสิ่งที่ Connectix ต้องสยบอย่างไม่ต้องสงสัย
นั้นคือ “เงิน”
แหล่งข้อมูลกล่าวว่าหลังจากคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและระหว่างที่คดีในศาลที่รัฐอื่น ๆ กำลังดำเนินไป Sony ที่รู้ตัวแล้วว่าวิธีทางกฎหมายใช้ไม่ได้ผลเริ่มติดต่อพูดคุยกับ Connectix และบรรลุข้อตกลงว่า Sony จะขอซื้อ VGS จาก Connectix โดยจำนวนเงินที่ Sony จ่ายนั้นยังไม่มีข้อมูลเล็ดลอดออกมาจนถึงปัจจุบัน เงื่อนไขการส่งมอบนั้น นอกจาก VGS ทุกเวอร์ชั่นและ Source Code ทั้งหมดแล้ว Connectix จะต้องส่งมอบเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา VGS ทั้งหมดให้แก่ Sony และล้างข้อมูลของ VGS ทุกอย่างออกจาก Server ด้วย
เดือนมีนาคม 2001 Sony และ Connectix ให้ข่าวถึงข้อตกลงความร่วมมือทางเทคโนโลยีโดยเน้นหนักไปที่การพัฒนาเทคโนโลยี Emulator ซึ่งรวมถึง VGS ด้วย โดย Sony จะสนับสนุนเงินทุนค่าพัฒนาให้(เงินจากสิ่งที่ผู้อ่านก็รู้ว่าอะไร)
ในเบื้องต้น VGS จะยุติการจำหน่ายในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน ส่วนการพัฒนาเวอร์ชั่นใหม่และกำหนดการวางจำหน่าย VGS อีกครั้งนั้นทาง Sony และ Connectix จะพูดคุยเพื่อหาข้อตกลงร่วมต่อไป
"As part of this joint technology agreement, we gain access to technical resources at Sony that we've never had before," said McDonald. "And we've also gained new cash resources that will enable us to fund new projects."
“ตามข้อตกลง, เราจะได้รับสิทธิการเข้าถึงทรัพยากรทางเทคนิคของโซนี่อย่างที่เราไม่เคยได้มาก่อน และ เรายังได้รับเงินทุนที่ช่วยให้เราสามารถดำเนินการในโปรเจคใหม่ ๆ ได้”
Roy McDonald ประธานของ Connectix กล่าว
"All further emulation development ... will proceed under the auspices of the joint agreement,"
“การพัฒนาอีมูเลเตอร์ต่อไปนั้น…กระบวนการจะดำเนินไปภายใต้กำหนดการตามข้อตกลงร่วม”
Shinichi Okamoto รองประธานอาวุโส ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ Sony กล่าว
ส่วนตัวแล้วผู้เขียนชอบประโยคนี้มาก ตอบยังไงให้ดูเหมือนว่าตอบแล้วแต่ก็ไม่มีคำตอบในนั้น
ต่อมา Microsoft ได้เข้ามาติดต่อซื้อ Virtual PC และ Virtual server โปรแกรมที่ทำให้เครื่อง Mac สามารถใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows บน Mac OS ได้จาก Connectix กระบวนการซื้อขายสมบูรณ์เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2003 Virtual PC ถูกนำไปให้ผู้ใช้งาน windows ใช้งานฟรีในชื่อ Virtual PC 2004 ในเดือนสิงหาคม 2006 และมีการออกเวอรชั่นใหม่มาเรื่อย ๆ จนกระทั้งถูกแทนที่ด้วย Hyper-V ในเดือนตุลาคม 2008 พร้อมกับการมาของ Windows 8
ทั้งนี้ Microsoft ยังซื้อตัวนักพัฒนา, ช่างเทคนิคและพนักงานของ Connectix อีกหลายคนไปพร้อม ๆ กับ Virtual PC และ Virtual Machine Technology ของ Connectix อีกด้วย ซึ่งคาดว่านี่เป็นสาเหตุทำให้ Connectix เลือกที่จะปิดกิจการไปในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันเพราะบุคลากรฝีมือดีนั้นได้กระจายกันไปหมดและไม่เหลือผลิตภัณฑ์ชูโรงของบริษัทแล้ว
และนั้นคือเรื่องราวในฝั่งของ VGS
ต่อไปก็จะเป็นตาของ Bleem อีกหนึ่งเรื่องราวของ ps Emulator ที่ส่งผลกระทบต่อวงการ Emulator ในแง่ที่ต่างกัน
หาก VGS นั้นคือ ps Emulator ที่สะเทือนวงการในยุคของมัน
Bleem นั้นคือ ps Emulator ที่ส่งต่อความฝันและความเป็นไปได้ของ Emulator สู่อนาคต
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/