การสื่อสารยามวิกฤติ จากระดับชาติสู่ระดับโลก
นายณัฐภาณุ นพคุณ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ
และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา รศ.ดร.ปกรณ์ ปรียากรณ์ อาจารย์นิด้า และประธานกรรมการบริหารมูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ลงในเฟสบุ๊กส่วนตัวของอาจารย์เกี่ยวกับการแถลงข่าวทุกวันของศูนย์บริการสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ในช่วงนี้ ว่าหน่วยงานต่างๆ สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์เป็นฐานในการจัดการความรู้ของการจัดการภาครัฐเชิงสร้างสรรค์ เพราะมีคุณลักษณะเฉพาะเชิงสหวิชาการ (interdisciplinary approach) องค์กรภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้เพื่อต่อยอดองค์ความรู้
ข้อคิดเห็นของอาจารย์ทำให้ผู้เขียนคิดขึ้นมาได้ว่า การสื่อสารยามวิกฤติ หรือ crisis communication มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ในประเทศไทย ในการสร้างความรับรู้ในหมู่ประชาชน การสนับสนุนต่อมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันภัยหรือความเสี่ยงต่อชีวิต ทรัพย์สิน สุขภาพ และความเป็นอยู่ทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งในสถานการณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง หรือเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น สึนามิ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ฯลฯ และจากที่ผู้เขียนพูดคุยกับเพื่อนอาจารย์คณบดีและเพื่อนสื่อมวลชนระดับชั้นนำของประเทศ ก็ทราบมาว่าประเทศไทยมีหลักสูตรวิชาหรือการวิจัยการสื่อสารยามวิกฤติแต่ไม่แพร่หลายนัก และยังไม่มีการคิดตั้งโมเดลการสื่อสารที่เหมาะกับประเทศในอดีต ประเทศไทยมีสถานการณ์ฉุกเฉิน ภัยน้ำท่วม และเหตุการณ์เฉพาะหน้าอีกมากมาย จนแทบนับไม่ถ้วน แต่การสื่อสารระหว่างหน่วยงานและการสื่อสารกับสาธารณชน มักไม่ได้เป็นไปอย่างมีระบบแบบแผนหรือครบวงจรด้านข้อมูล โดยมุ่งเน้นกลุ่มผู้ฟังเฉพาะกลุ่มเดียว เช่นกลุ่มผู้ฟังชนชั้นกลางในเมืองกรุง โดยกลุ่มผู้ฟังที่อยู่ในองค์รวมของสังคมไทยจะถูกมองข้ามในทุกครั้ง
สถานการณ์โควิด-19 เป็นบทพิสูจน์ว่าการสื่อสารยามวิกฤติมีความสำคัญ ควรมีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง ซึ่งในส่วนของการแถลงข่าวของ ศบค. มิได้ปราศจากความท้าทายหรือข้อที่ควรปรับปรุง แต่ถือได้ว่า เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในแนวทางการสื่อสารกับสาธารณชน ด้วยเหตุที่ว่า สถานการณ์กระทบทุกคนในสังคมและมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติในไทย นักเรียนหรือผู้สูงอายุ นักกีฬาหรือผู้พิการ ผู้ประกอบการ ผู้บริโภค หมอ คนไข้ ดังนั้น เนื้อหาและวิธีการนำเสนอจึงได้พยายามตอบสนองความต้องการของทุกกลุ่ม (inclusive) ในการบริโภคข้อมูลมากที่สุดเท่าที่ทำได้ และสร้างความรับรู้ในวงกว้างที่สุด
ในส่วนของประเทศอื่นๆ ในอาเซียนมีมาตรฐานและประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป เช่น สิงคโปร์ มีการจัดทำตารางรวม (matrix) ของภาครัฐเพื่อการแถลงข่าว โดยหน่วยงานต่างๆ ให้ข้อมูลเสริมซึ่งกันและกันในหัวข้อและจังหวะที่เหมาะสม ส่วนประเทศอาเซียนอื่นๆ จะมีระดับผู้นำออกโรงมาสื่อสารเองในยามวิกฤติระดับชาติ หรือหน่วยงานด้านการป้องกันสาธารณภัยมาให้ข้อมูลแก่ประชาชน
สำหรับประเทศไทย ผู้ที่รับฟังสิ่งที่ภาครัฐแถลงในยามวิกฤติมีหลากหลายกลุ่ม ซึ่งรวมถึงสื่อมวลชนต่างประเทศมีความรู้และความสนใจประเทศไทยที่จะต้องแปลข่าวไปออกในต่างประเทศ หัวใจสำคัญของการสื่อสารจึงเป็นเรื่องการสื่อสารโดยตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและสื่อสารแบบถูกที่ถูกเวลา และห่างออกจากประเด็นการเมืองให้มากที่สุด ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องกับสาธารณชน และเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่สมดุลต่อสายตาชาวโลกอีกทางหนึ่ง
การสื่อสารยามวิกฤติ จากระดับชาติสู่ระดับโลก โดยณัฐภาณุ นพคุณ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
นายณัฐภาณุ นพคุณ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ
และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา รศ.ดร.ปกรณ์ ปรียากรณ์ อาจารย์นิด้า และประธานกรรมการบริหารมูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ลงในเฟสบุ๊กส่วนตัวของอาจารย์เกี่ยวกับการแถลงข่าวทุกวันของศูนย์บริการสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ในช่วงนี้ ว่าหน่วยงานต่างๆ สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์เป็นฐานในการจัดการความรู้ของการจัดการภาครัฐเชิงสร้างสรรค์ เพราะมีคุณลักษณะเฉพาะเชิงสหวิชาการ (interdisciplinary approach) องค์กรภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้เพื่อต่อยอดองค์ความรู้
ข้อคิดเห็นของอาจารย์ทำให้ผู้เขียนคิดขึ้นมาได้ว่า การสื่อสารยามวิกฤติ หรือ crisis communication มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ในประเทศไทย ในการสร้างความรับรู้ในหมู่ประชาชน การสนับสนุนต่อมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันภัยหรือความเสี่ยงต่อชีวิต ทรัพย์สิน สุขภาพ และความเป็นอยู่ทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งในสถานการณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง หรือเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น สึนามิ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ฯลฯ และจากที่ผู้เขียนพูดคุยกับเพื่อนอาจารย์คณบดีและเพื่อนสื่อมวลชนระดับชั้นนำของประเทศ ก็ทราบมาว่าประเทศไทยมีหลักสูตรวิชาหรือการวิจัยการสื่อสารยามวิกฤติแต่ไม่แพร่หลายนัก และยังไม่มีการคิดตั้งโมเดลการสื่อสารที่เหมาะกับประเทศในอดีต ประเทศไทยมีสถานการณ์ฉุกเฉิน ภัยน้ำท่วม และเหตุการณ์เฉพาะหน้าอีกมากมาย จนแทบนับไม่ถ้วน แต่การสื่อสารระหว่างหน่วยงานและการสื่อสารกับสาธารณชน มักไม่ได้เป็นไปอย่างมีระบบแบบแผนหรือครบวงจรด้านข้อมูล โดยมุ่งเน้นกลุ่มผู้ฟังเฉพาะกลุ่มเดียว เช่นกลุ่มผู้ฟังชนชั้นกลางในเมืองกรุง โดยกลุ่มผู้ฟังที่อยู่ในองค์รวมของสังคมไทยจะถูกมองข้ามในทุกครั้ง
สถานการณ์โควิด-19 เป็นบทพิสูจน์ว่าการสื่อสารยามวิกฤติมีความสำคัญ ควรมีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง ซึ่งในส่วนของการแถลงข่าวของ ศบค. มิได้ปราศจากความท้าทายหรือข้อที่ควรปรับปรุง แต่ถือได้ว่า เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในแนวทางการสื่อสารกับสาธารณชน ด้วยเหตุที่ว่า สถานการณ์กระทบทุกคนในสังคมและมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติในไทย นักเรียนหรือผู้สูงอายุ นักกีฬาหรือผู้พิการ ผู้ประกอบการ ผู้บริโภค หมอ คนไข้ ดังนั้น เนื้อหาและวิธีการนำเสนอจึงได้พยายามตอบสนองความต้องการของทุกกลุ่ม (inclusive) ในการบริโภคข้อมูลมากที่สุดเท่าที่ทำได้ และสร้างความรับรู้ในวงกว้างที่สุด
ในส่วนของประเทศอื่นๆ ในอาเซียนมีมาตรฐานและประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป เช่น สิงคโปร์ มีการจัดทำตารางรวม (matrix) ของภาครัฐเพื่อการแถลงข่าว โดยหน่วยงานต่างๆ ให้ข้อมูลเสริมซึ่งกันและกันในหัวข้อและจังหวะที่เหมาะสม ส่วนประเทศอาเซียนอื่นๆ จะมีระดับผู้นำออกโรงมาสื่อสารเองในยามวิกฤติระดับชาติ หรือหน่วยงานด้านการป้องกันสาธารณภัยมาให้ข้อมูลแก่ประชาชน
สำหรับประเทศไทย ผู้ที่รับฟังสิ่งที่ภาครัฐแถลงในยามวิกฤติมีหลากหลายกลุ่ม ซึ่งรวมถึงสื่อมวลชนต่างประเทศมีความรู้และความสนใจประเทศไทยที่จะต้องแปลข่าวไปออกในต่างประเทศ หัวใจสำคัญของการสื่อสารจึงเป็นเรื่องการสื่อสารโดยตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและสื่อสารแบบถูกที่ถูกเวลา และห่างออกจากประเด็นการเมืองให้มากที่สุด ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องกับสาธารณชน และเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่สมดุลต่อสายตาชาวโลกอีกทางหนึ่ง