JJNY : 6in1 เสี่ยงตกงาน1-1.5ล.│ผู้ส่งออกอ่วม│น้ำโขงวิกฤตหนัก│พระเอกลิเกคิดสั้น│สุทินเผยวิปเตรียมเรียกคุย│‘เนวิน’ เดือด

โควิด-19 ระลอกใหม่ทำเสี่ยงตกงาน 1-1.5 ล้านคน
https://www.thansettakij.com/content/covid_19/469567
 
 

โควิด-19 ระลอกใหม่ทำเสี่ยงตกงาน 1-1.5 ล้านคน ระบุ 4-5 ล้านคนอาจมีรายได้ลดลง
 
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ผลของการแพร่ระบาดของโควิด-19 (Covid-19) ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เพราะภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจากต่างประเทศไม่สามารถรักษากิจการได้อีกต่อไปและจะทยอยเลิกจ้างคนจำนวนมาก โดยเริ่มต้นจากกิจการที่มีฐานะทางการเงินอ่อนแอ สภาพคล่องต่ำ ในการระบาดระลอกสองช่วงปลายเดือนธันวาคมต่อเนื่องจนถึงเดือนกุมภาพันธ์และยังไม่แน่ใจว่าจะคุมได้เมื่อไหร่นั้น ทำให้มีผู้ใช้แรงงานอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกเลิกจ้างเพิ่มเติมอีก 1-1.5 ล้านคน
 
มีคนไม่ต่ำกว่า 4-5 ล้านคนมีความเสี่ยงรายได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญและไม่ต่ำกว่า 30-40% อาจไม่สามารถชำระหนี้ได้เหมือนเดิม ฉะนั้นรัฐบาลควรมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมไปยังกลุ่มเปราะบางอีก หากใช้การแก้ไขปัญหาตามแนวทางที่ใช้อยู่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งทศวรรษจึงบรรเทาลงได้ หลังผลกระทบแผ่กระจายในวงกว้างทุกกิจการทุกอุตสาหกรรม ทุกพื้นที่และทุกครอบครัว
 
กับดักที่ใหญ่ที่สุดและแก้ยากที่สุดในประเทศไทยและหลายประเทศที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำติดอันดับโลกเกิดจาก กับดักของการผูกขาดอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจรวมทั้งการครอบงำทางวัฒนธรรมที่สร้างความเชื่อว่าคนไม่จำเป็นต้องเสมอภาคเท่าเทียมกัน หรือบูชากลไกตลาดมากเกินไปโดยไม่มองสภาพความเป็นจริงว่า การแข่งขันอย่างเสรีที่เป็นธรรมไม่มีอยู่จริง หรือบางครั้งก็อาจจะใช้อำนาจรัฐกระทำการแทรกแซงกลไกตลาดโดยไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของสาธารณชนแต่อ้างผลประโยชน์สาธารณะ” 
  
มีการสร้างสังคมแบบ แนวดิ่ง ไม่ใช่ แนวราบ หากไม่สามารถทลายโครงสร้างผูกขาดทางด้านการเมืองได้ด้วยประชาธิปไตย หากไม่สามารถทลายโครงสร้างการผูกขาดทางเศรษฐกิจ ด้วยการเปิดเสรีและให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม หากไม่สามารถทลายวัฒนธรรมความคิดความเชื่อและระบบการศึกษาแบบอำนาจนิยมได้ ก็เป็นการยากที่ประเทศไทยจะหลุดพ้นภาวะปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรงอันเป็นผลกระทบจากเศรษฐกิจหดตัวรุนแรงหลายไตรมาสติดต่อกันและการแพร่ระบาดของโควิด-19
  
รัฐบาลต้องนำเอาข้อมูลลงทะเบียนในการแจกเงินมาทำเป็นฐานข้อมูล Big Data เพื่อใช้ในการออกมาตรการและนโยบายที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิมและพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม วิกฤติสุขภาพล่าสุดพร้อมกับกับดักสุขภาพของผู้มีรายได้น้อยและแรงงานต่างด้าวทำให้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำซับซ้อนขึ้น ผู้ใช้แรงงานที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่ถูกสุขลักษณะอาจต้องหยุดงานหลายวันระหว่างการระบาดของ Covid ลูกหลานของคนเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจนกระทั่งเรียนไม่ได้ดี
 
หญิงที่ไม่สามารถรับสารอาหารอย่างเต็มที่ระหว่างการตั้งครรภ์และต้องคลอดลูกในสภาพแวดล้อมไม่ดีอาจทำให้ทารกสุขภาพย่ำแย่ ความโชคร้ายอันเกิดจากความยากจนและระบบเศรษฐกิจสังคมที่ไม่เป็นธรรมนำมาสู่ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นกับดักแห่งความยากจนและเหลื่อมล้ำที่ไม่สิ้นสุด หากไม่เดินหน้าปฏิรูประเทศนี้อย่างจริงจังยากจะแก้ปัญหาที่รากเหง้าของปัญหาได้ เรามีคนหลายสิบล้านคนที่ไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของที่ดินแม้นเพียงตารางเมตรเดียวในประเทศนี้
 
คนไทยที่พอมีที่ดินล้วนถือครองที่ดินไม่เกิน 1 ไร่ คนจนเมืองและแรงงานต่างด้าวต้องเช่าอาศัยอยู่กับครอบครัวในพื้นที่ห้องเช่าไม่เกินหนึ่งตารางเมตรในราคาที่ยังแพงอยู่ แต่ประเทศนี้ ข้อมูลล่าสุด ตนประมาณการคร่าวๆ หลังผลกระทบจาก Covid มีคนเพียง 5% ที่มีที่ดินมีโฉนด 85% ขึ้นไป ในจำนวน 5% นี้บางคนบางครอบครัวถือครองที่ดินมากกว่า 300,000 ไร่ ต่อคนหรือต่อครอบครัว และ คนกลุ่ม 1% แรกนี้ ถือครองความมั่งคั่งในประเทศนี้ไม่ต่ำกว่า 60% ในครอบครอง การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีการปฏิรูปภาษี ปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูปเศรษฐกิจ และ ปฏิรูปการเมืองด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ประเทศนี้เป็นของประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง
 
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/64 น่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3-4% โดยเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปีนี้น่าจะยังหดตัวและติดลบประมาณ 0.50 – ติดลบ 1% หากสามารถทยอยเปิดประเทศภายใต้การควบคุมตามมาตรฐานทางด้านสาธารณสุขและมาตรฐานองค์การอนามัยโลก การเปิดประเทศพร้อมกับการได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงของคนในประเทศจะทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาสสองจะขยายตัวเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส
 
ทั้งนี้ จากตัวเลขของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ พบว่า เศรษฐกิจไตรมาส4/63 หดตัวหรือติดลบน้อยกว่าคาดการณ์ คือ มีอัตราการขยายตัวติดลบ 4.2% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว ทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 63 ติดลบประมาณ 6.1%  การลงทุนภาครัฐและการบริโภคภาคเอกชนเริ่มขยายเป็นบวกเล็กน้อยอันเป็นผลจากการเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐและมาตรการโอนเงินชดเชยรายได้ประชาชนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
 
นอกจากนี้ ภาคส่งออกทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมจะปรับตัวทิศทางดีขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปลายไตรมาสหนึ่ง เศรษฐกิจโลกในไตรมาสแรกโดยเฉพาะประเทศที่เป็นตลาดสำคัญของสินค้าไทยฟื้นตัวชัดเจนหลังจากมีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างรวดเร็ว กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายประเทศทั้งการผลิต การบริโภค ยอดค้าปลีกกระเตื้องขึ้นจากการลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์จากไตรมาสสองปีที่แล้ว
 
โดยประเทศที่มีฟื้นตัวเร็วที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน เวียดนาม เกาหลีใต้ ไต้หวัน เป็นต้น การฟื้นตัวของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่และมีความสำคัญต่อตลาดโลกจะทำให้ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกน่าจะเติบโตได้มากกว่า 5% และ ปริมาณการค้าโลกน่าจะขยายตัวได้อย่างน้อย 6% ในปีนี้หลังจากที่ติดลบสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อปีที่แล้วที่ติดลบ 11%
 
ในปีนี้ โจทย์ของเศรษฐกิจไทย คือ ทำอย่างไรให้การลงทุนภาคเอกชนกลับมาเป็นบวกเพื่อรักษาการจ้างงาน รักษาระดับรายได้ของลูกจ้าง ซึ่งจะทำให้รักษาแรงเหวี่ยงโมเมนตันของภาคการบริโภคหลังจากมีกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านมาตรการการคลัง การเร่งฟื้นฟูการลงทุนและการจ้างงานมีความเร่งด่วนในการต้องทำให้เกิดผลก่อนเงินชดเชยรายได้หมดลงในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า การปล่อยเงินเข้ามาในระบบอย่างเต็มที่เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ตามความจำเป็นเป็นมาตรการหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและรักษาการจ้างงานเอาไว้ได้
 
ส่วนการท่องเที่ยวของไทยนั้นเคยเป็นแหล่งรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 1.82-1.85 ล้านล้านบาทนั้น หากสามารถทยอยเปิดประเทศได้ในไตรมาสสองและสามเป็นต้นมา จะมีรายได้ได้จากการท่องเที่ยวต่างชาติไม่เกิน 200,000-300,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นเพียง 10-11% ของรายได้เดิมที่เคยได้รับ ฉะนั้น กิจการการท่องเที่ยวต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติ การท่องเที่ยวระหว่างประเทศจะไม่เติบโตเท่าในอดีตเนื่องจากกำลังซื้อของผู้คนทั่วโลกลดลง การท่องเที่ยวต่างประเทศยังมีความไม่สะดวก ต้องมีการกักกันตัวเพื่อตรวจสอบโรค การเดินทางไม่สะดวกเหมือนเดิม ต้นทุนสูงขึ้น จึงกลายเป็นกิจกรรมของผู้มีรายได้สูง ที่ท่องเที่ยวแบบ New Normal หรือ เป็นแบบ Villa Quarantine ได้ ผู้มีรายได้ระดับปานกลางหรือรายได้น้อยนั้นหมดสิทธิ์ในระยะปีสองปีนับจากนี้
 
            อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยจะกระเตื้องขึ้นชัดเจนปลายไตรมาส 3/64 แต่ผลกระทบของการหดตัวอย่างรุนแรงปีที่แล้ว และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อเกิดการปรับเปลี่ยนของโครงสร้างธุรกิจอุตสาหกรรม ยังคงมีธุรกิจอุตสาหกรรมที่ไปต่อไม่ได้ตัดสินใจหยุดกิจการและเลิกจ้างพนักงานภาวะดังกล่าวจะยังเป็นแนวโน้มระยะปานกลางและระยะยาวต่อไปจนกว่าภาคธุรกิจอุตสาหกรรมไทยสามารถปรับตัวเข้ากับห่วงโซ่การผลิตข้ามชาติแบบใหม่ (New Global Supply Chain)
 
              อันเป็นผลจากการปรับเปลี่ยนให้เป็นดิจิทัล การผลิตโดยหุ่นยนต์อัตโนมัติและสมองกลอัจฉริยะ อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดภาวะโลกร้อน และ New Normal อันเกิดจากโรคอุบัติใหม่ต่างๆ เป็นต้น ธุรกิจอุตสาหกรรมไทยต้องพยายามก้าวข้ามการเป็นเพียง ผู้รับเหมาซัพพลายเออร์ (Turn-Key Supplier) ยกระดับตัวเองในห่วงโซ่การผลิต ยกระดับผลิตภัณฑ์ ยกระดับกระบวนการผลิต ลงทุนทางด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและทักษะแรงงาน จัดการทรัพย์สินทางปัญญาทั้งตัวนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และกระบวนการ งานวิจัยหลายชิ้นชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า การที่เรามีงบการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยรวมไม่ถึง 2% ของจีดีพีเป็นอุปสรรคสำคัญ นอกจากนี้ สัดส่วนในการทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) นั้นมาจาก SMEs ไม่ใช่รายใหญ่ มีรายใหญ่บางรายเท่านั้นที่ลงทุนใน R&D
 

 
ผู้ส่งออกอ่วมเรือขึ้นค่าระวาง ตู้สินค้าขาดลากยาวถึงปีหน้า
https://www.prachachat.net/economy/news-617254
  
ตู้คอนเทนเนอร์ขาดลากยาวถึงปีหน้า สายเดินเรือแฮปปี้ขึ้นค่าระวางกันสนุกสนาน หลังเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวส่อแววนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นจนตู้ไปกองปลายทางไม่กลับมาเหมือนเดิม ด้านสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือฯ เจรจาสมาคมเจ้าของเรือไทย หาทางนำเข้าตู้เปล่าจากฟิลิปปินส์-อินเดีย
 
ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดไปทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบถึงการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ส่งออก เนื่องจากมีตู้จำนวนมากตกค้างอยู่ที่สหรัฐ-สหภาพยุโรป ซึ่งเป็นประเทศปลายทาง ตู้ที่สินค้ากลับมายังเอเชียมีน้อยลง ส่วนที่หมุนเวียนกลับมาได้ก็ถูกจีน-เวียดนามแย่งไป โดยเฉพาะจีนผู้ใช้รายใหญ่มีความต้องการปีละกว่า 200 ล้านตู้ จนทำให้ค่าระวางขนสินค้าปรับขึ้นมากกว่า 5 เท่าตัว คาดการณ์ว่าตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนจะข้ามปีไปจนถึงปี 2565
 
ตู้ขาดลากยาวถึงปีหน้า
 
นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แม้ว่าเทศกาลตรุษจีนจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่สถานการณ์ขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ก็ยังรุนแรงและมีแนวโน้มจะรุนแรงต่อเนื่องขณะที่จีนเริ่มหันมาผลิตตู้คอนเทนเนอร์ใช้เอง แต่ตู้คอนเทนเนอร์ก็ยังไปตกค้างอยู่ที่ปลายทางไม่กลับมา และจากแนวโน้มตัวเลขการบริโภคของสหรัฐประจำเดือนมกราคมที่เติบโตขึ้นถึง 5.3% โดยเฉพาะการค้าปลีก คาดว่าจะทำให้มีความต้องการนำเข้าสินค้ามากขึ้น ส่งผลให้ตู้คอนเทนเนอร์จะขาดแคลนต่อไป
 
สรท.ได้ประสานไปยังสมาคมเจ้าของเรือไทย ให้เจรจานำเข้าตู้จากหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ เอเชียใต้ เพื่อเพิ่มซัพพลาย และประสานกับกรมเจ้าท่า ในการลดค่าใช้จ่ายเรื่องภาระหน้าท่าสำหรับเรือขนาด 20 ฟุตจาก 1,600 บาทลงเหลือ 600 บาทเพื่อจูงใจให้มีการนำเข้าตู้เรือมากขึ้น ส่วนมาตรการระยะกลาง-ยาว ต้องพยายามให้นำเรือใหญ่ขนาด 400 เมตรเข้ามาเพื่อเพิ่มปริมาณตู้ ซึ่งกรมเจ้าท่าอนุญาต
 
หากประเทศไทยต้องเพิ่มการส่งออกปี 2564 ให้ได้ 3-4% หมายความว่า ต้องหาตู้เพิ่มให้ได้ 3-4% จากปี 2563 ด้วย
 
นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า เดิม สรท.คาดการณ์สถานการณ์ตู้ขาดแคลนจะดีขึ้นหลังจบเทศกาลตรุษจีน แต่ปรากฏ “ลากยาวถึงกลางปีนี้เป็นอย่างน้อย” มีความเป็นไปได้ที่จะมีปัญหาต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีหรือต้นปีหน้า แม้ว่าจีนซึ่งเป็นแหล่งผลิตตู้ 90% ของการผลิตทั่วโลกจะเร่งผลิตที่อาจดีขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2564 แต่ปัญหาคงยังคงไม่หมด อย่างตอนนี้สายเรือยินดีที่ “ค่าระวาง” ถูกปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก หากมีซัพพลายตู้ใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มขึ้น จะมีผลทำให้ค่าระวางถูกปรับลดลง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่