หวั่นบ๊วยอาเซียน เอกชนยอมควัก "ค่าวัคซีน"
https://www.prachachat.net/economy/news-616668
ไทยบ๊วยอาเซียนนำเข้าวัคซีน “ส.อ.ท.” จี้รัฐเปิดเสรีนำเข้าวัคซีนโควิด-19 เพื่อความรวดเร็ว เอกชนยอมควักจ่ายเองหวังรักษาแรงงาน หวังสร้างความเชื่อมั่นกู้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังฟื้น ด้านกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าฯ แอร์ จับมือผู้ผลิตตู้แช่วัคซีนเตรียมคุย สมอ.-อย. ดันทำมาตรฐานเล็งส่งออกในอนาคต เปิด 7 รายชื่อผู้ผลิตนำร่องส่งมอบตู้แช่วัคซีน
นาย
สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ผลักดันให้ภาครัฐตั้งคณะทำงานเรื่องของวัคซีนโควิด-19 ขึ้นมา
และกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อที่รัฐจะกำหนดออกมาให้ชัดเจนถึงแผนการซื้อวัคซีนจากรายใด ยี่ห้อใด นำเข้ามาอย่างไร ปริมาณเท่าไร วิธีการกระจายวัคซีนให้ชัดเจนนั้น ล่าสุดภาคเอกชนยังเสนอให้รัฐเปิดเสรีการนำเข้าวัคซีน โดยให้เอกชนสามารถนำเข้าได้เองเพื่อความรวดเร็ว
และเอกชนจะเป็นผู้บริหารจัดการฉีดให้กับพนักงาน ลูกจ้างในองค์กรตนเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเพราะหากต้องรอตามลำดับการทยอยฉีดที่ภาครัฐกำหนดจะทำให้โรงงานที่มีแรงงานส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวได้รับวัคซีนเป็นลำดับสุดท้าย
“
ตอนนี้เหมือนไม่มีเจ้าภาพเรื่องวัคซีน เรากำลังจะได้บ๊วยในอาเซียน ตอนนี้ประเทศต้องเปิดกว้างเรื่องวัคซีนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ควรเข้าไปดูทุกยี่ห้อจะเอายังไง 30 ล้านโดส จะเอาจีน รัสเซีย ที่ไหน ยี่ห้อไหนก็เอา เราต้องการความเร็ว ความชัดเจน อย.เขาก็จะเข้ามาช่วยรับรองเอกชนก็ฉีดได้เลย
เพราะเอกชนเขาต้องรักษาแรงงานเอาไว้ เขาไปซื้อมา อย.ช่วยรับรองแล้วผมก็จะฉีดให้พนักงานเองอาจลงทุนควักเงินสัก 100,000 บาท จากนั้นเราก็สามารถบอกได้เลยว่าพนักงานของเราฉีดวัคซีนโควิดแล้วทั้งหมด มันสร้างความเชื่อมั่นได้มาก”
ทั้งนี้ ส.อ.ท.ยังระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมล่าสุดในเดือนมกราคม 2564 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 83.5 จากเดือน ธ.ค. 2563 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 85.8 นับเป็นการปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 2 ผลมาจากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ที่ขยายวงกว้างหลายจังหวัด และการรอความชัดเจนของวัคซีนนำเข้า การปิดภาคบริการกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สถานศึกษา
รวมถึงปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้คือขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และการแข็งค่าของค่าเงินบาท และคาดการณ์ว่า3 เดือนข้างหน้ายังคงปรับตัวลดลง เนื่องจากยังมีปัจจัยที่เอกชนกังวลอย่างการระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย ภาครัฐยังไม่มีวัคซีน การค้าการลงทุนยังไม่แน่นอน
ดังนั้น หากรัฐสามารถทำได้ตามที่เอกชนร้องขอ เชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปี 2563 โดยมีปัจจัยบวกจากการเริ่มฉีดวัคซีนกระจายไปหลายประเทศ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายดีขึ้น บวกกับแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งจาก พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อช่วยเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน พร้อมเสนอให้ภาครัฐพิจารณาการนำโครงการช้อปดีมีคืน กลับมาใช้ในปี 2564 เพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชนในกลุ่มที่ต้องเสียภาษี โดยคืนภาษีจากเดิมสูงสุด 30,000 บาท เป็น 50,000 บาท เพื่อนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปี 2564
ด้านนาง
กนิษฐ์ เมืองกระจ่าง รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม กล่าวว่า ได้ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น
เตรียมหารือกับทางสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และ อย. เพื่อจัดทำมาตรฐานตู้แช่วัคซีน ซึ่งในอนาคตจะทำให้ไทยกลายเป็นผู้ผลิตตู้แช่วัคซีนและสามารถส่งออกได้ สร้างมูลค่าได้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันตลาดตู้แช่ยาอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มของดีมานด์กำลังจะเพิ่มสูงขึ้น
โดยล่าสุดมีผู้ผลิตตู้แช่วัคซีน 7 ราย ได้แก่ บริษัท สยามอินเตอร์คูล จำกัด, บริษัท พัฒนาอินเตอร์คูล จำกัด, บริษัท ลัคกี้ สตาร์ ยูนิเวอร์แซล จำกัด, บริษัท ซันเด้น อินเตอร์คูล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท เทอมีเดซ จำกัด, บริษัท สุปรีม ซี เอ็น บี คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท สมาร์ท เฮลเทค จำกัด
ได้ร่วมกันกำหนดมาตรฐานของโรงพยาบาลราชวิถี และผลิตตู้เก็บวัคซีนเพื่อบริจาคให้แก่สถานพยาบาล 77 จังหวัด โดยระยะแรกจะส่งมอบตู้เก็บวัคซีนให้แก่สถานพยาบาล 21 แห่ง ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ระยะที่ 2 และ 3 จะส่งมอบให้แก่สถานพยาบาล 56 แห่ง ภายในเดือนมีนาคม และเมษายน 2564
นิด้าโพล พบคนส่วนใหญ่เห็นควรฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้จังหวัดที่แพร่ระบาดมากก่อน
https://www.infoquest.co.th/news/2021-e340e27ed8dcf123fe9ad3e7aff21968
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.พ. 64)
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง "ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ใครก่อนดี" ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-17 กุมภาพันธ์ 2564 จากประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,318 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ "นิด้าโพล" สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงจังหวัดที่ควรเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกในการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 56.90 ระบุว่า จังหวัดที่มีการแพร่ระบาดมากในรอบที่ 2 ที่ผ่านมา รองลงมา ร้อยละ 16.77 ระบุว่า เริ่มทุกจังหวัดพร้อม ๆ กัน ร้อยละ 10.70 ระบุว่า จังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ร้อยละ 10.39 ระบุว่า จังหวัดที่อยู่ติดกับชายแดนทั้งหมด และร้อยละ 5.24 ระบุว่า จังหวัดที่มีการลงทุนด้านอุตสาหกรรมสูง
ด้านกลุ่มอายุที่ควรเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกในการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 38.01 ระบุว่า กลุ่มวัยทำงาน ตั้งแต่ 20-59 ปี รองลงมา ร้อยละ 37.10 ระบุว่า กลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปี ขึ้นไป) ร้อยละ 15.10 ระบุว่า เริ่มทุกกลุ่มอายุพร้อม ๆ กัน และร้อยละ 9.79 ระบุว่า กลุ่มเด็กและเยาวชนที่อายุไม่เกิน 20 ปี
เมื่อถามถึงกลุ่มอาชีพที่ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นกลุ่มเป้าหมายแรก พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 40.48 ระบุว่าเป็น กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ การสาธารณสุข รองลงมา ร้อยละ 14.41 ระบุว่าเป็น กลุ่มผู้รับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 8.87 ระบุว่าเป็น กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านการท่องเที่ยวทุกรูปแบบ ร้อยละ 7.59 ระบุว่าเป็น เริ่มทุกกลุ่มอาชีพพร้อม ๆ กัน ร้อยละ 5.29 ระบุว่าเป็น กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านการเดินทางและขนส่งทุกชนิด ร้อยละ 4.93 ระบุว่าเป็น กลุ่มนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 4.85 ระบุว่าเป็น กลุ่มเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 4.38 ระบุว่าเป็น กลุ่มข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 3.82 ระบุว่าเป็น กลุ่มพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 3.49 ระบุว่าเป็น กลุ่มพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน ร้อยละ 1.41 ระบุว่าเป็น กลุ่มเกษตรกร ประมง และร้อยละ 0.48 ระบุว่าเป็น กลุ่มนักการเมือง
ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อการบังคับให้ชาวต่างชาติทุกคนในประเทศไทยฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 44.54 ระบุว่า ควรบังคับชาวต่างชาติทุกคนให้ฉีดวัคซีน รองลงมา ร้อยละ 28.22 ระบุว่า ควรเป็นไปตามความสมัครใจในการฉีดวัคซีน ร้อยละ 26.25 ระบุว่า ควรบังคับเฉพาะชาวต่างชาติกลุ่มเสี่ยงให้ฉีดวัคซีน และร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ความคิดเห็นของประชาชนต่อการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับชาวต่างชาติในประเทศไทย พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 38.92 ระบุว่า ชาวต่างชาติทุกคนต้องเสียเงินในการฉีดวัคซีนเอง รองลงมา ร้อยละ 31.72 ระบุว่า ชาวต่างชาติที่เสียภาษีถูกต้องเท่านั้นที่ควรได้รับการฉีดวัคซีนฟรี ร้อยละ 25.72 ระบุว่า ชาวต่างชาติทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนฟรี ร้อยละ 0.68 ระบุว่า ชาวต่างชาติกับรัฐบาลจ่ายคนละครึ่ง และร้อยละ 2.96 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์
JJNY : หวั่นบ๊วย เอกชนควัก"ค่าวัคซีน"│โพลพบควรฉีดวัคซีนให้จังหวัดระบาดก่อน│ฝุ่นพิษ!กทม.เกิน35พื้นที่│เมียนมาจับนักแสดง
https://www.prachachat.net/economy/news-616668
ไทยบ๊วยอาเซียนนำเข้าวัคซีน “ส.อ.ท.” จี้รัฐเปิดเสรีนำเข้าวัคซีนโควิด-19 เพื่อความรวดเร็ว เอกชนยอมควักจ่ายเองหวังรักษาแรงงาน หวังสร้างความเชื่อมั่นกู้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังฟื้น ด้านกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าฯ แอร์ จับมือผู้ผลิตตู้แช่วัคซีนเตรียมคุย สมอ.-อย. ดันทำมาตรฐานเล็งส่งออกในอนาคต เปิด 7 รายชื่อผู้ผลิตนำร่องส่งมอบตู้แช่วัคซีน
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ผลักดันให้ภาครัฐตั้งคณะทำงานเรื่องของวัคซีนโควิด-19 ขึ้นมา
และกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อที่รัฐจะกำหนดออกมาให้ชัดเจนถึงแผนการซื้อวัคซีนจากรายใด ยี่ห้อใด นำเข้ามาอย่างไร ปริมาณเท่าไร วิธีการกระจายวัคซีนให้ชัดเจนนั้น ล่าสุดภาคเอกชนยังเสนอให้รัฐเปิดเสรีการนำเข้าวัคซีน โดยให้เอกชนสามารถนำเข้าได้เองเพื่อความรวดเร็ว
และเอกชนจะเป็นผู้บริหารจัดการฉีดให้กับพนักงาน ลูกจ้างในองค์กรตนเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเพราะหากต้องรอตามลำดับการทยอยฉีดที่ภาครัฐกำหนดจะทำให้โรงงานที่มีแรงงานส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวได้รับวัคซีนเป็นลำดับสุดท้าย
“ตอนนี้เหมือนไม่มีเจ้าภาพเรื่องวัคซีน เรากำลังจะได้บ๊วยในอาเซียน ตอนนี้ประเทศต้องเปิดกว้างเรื่องวัคซีนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ควรเข้าไปดูทุกยี่ห้อจะเอายังไง 30 ล้านโดส จะเอาจีน รัสเซีย ที่ไหน ยี่ห้อไหนก็เอา เราต้องการความเร็ว ความชัดเจน อย.เขาก็จะเข้ามาช่วยรับรองเอกชนก็ฉีดได้เลย
เพราะเอกชนเขาต้องรักษาแรงงานเอาไว้ เขาไปซื้อมา อย.ช่วยรับรองแล้วผมก็จะฉีดให้พนักงานเองอาจลงทุนควักเงินสัก 100,000 บาท จากนั้นเราก็สามารถบอกได้เลยว่าพนักงานของเราฉีดวัคซีนโควิดแล้วทั้งหมด มันสร้างความเชื่อมั่นได้มาก”
ทั้งนี้ ส.อ.ท.ยังระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมล่าสุดในเดือนมกราคม 2564 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 83.5 จากเดือน ธ.ค. 2563 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 85.8 นับเป็นการปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 2 ผลมาจากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ที่ขยายวงกว้างหลายจังหวัด และการรอความชัดเจนของวัคซีนนำเข้า การปิดภาคบริการกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สถานศึกษา
รวมถึงปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้คือขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และการแข็งค่าของค่าเงินบาท และคาดการณ์ว่า3 เดือนข้างหน้ายังคงปรับตัวลดลง เนื่องจากยังมีปัจจัยที่เอกชนกังวลอย่างการระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย ภาครัฐยังไม่มีวัคซีน การค้าการลงทุนยังไม่แน่นอน
ดังนั้น หากรัฐสามารถทำได้ตามที่เอกชนร้องขอ เชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปี 2563 โดยมีปัจจัยบวกจากการเริ่มฉีดวัคซีนกระจายไปหลายประเทศ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายดีขึ้น บวกกับแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งจาก พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อช่วยเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน พร้อมเสนอให้ภาครัฐพิจารณาการนำโครงการช้อปดีมีคืน กลับมาใช้ในปี 2564 เพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชนในกลุ่มที่ต้องเสียภาษี โดยคืนภาษีจากเดิมสูงสุด 30,000 บาท เป็น 50,000 บาท เพื่อนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปี 2564
ด้านนางกนิษฐ์ เมืองกระจ่าง รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม กล่าวว่า ได้ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น
เตรียมหารือกับทางสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และ อย. เพื่อจัดทำมาตรฐานตู้แช่วัคซีน ซึ่งในอนาคตจะทำให้ไทยกลายเป็นผู้ผลิตตู้แช่วัคซีนและสามารถส่งออกได้ สร้างมูลค่าได้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันตลาดตู้แช่ยาอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มของดีมานด์กำลังจะเพิ่มสูงขึ้น
โดยล่าสุดมีผู้ผลิตตู้แช่วัคซีน 7 ราย ได้แก่ บริษัท สยามอินเตอร์คูล จำกัด, บริษัท พัฒนาอินเตอร์คูล จำกัด, บริษัท ลัคกี้ สตาร์ ยูนิเวอร์แซล จำกัด, บริษัท ซันเด้น อินเตอร์คูล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท เทอมีเดซ จำกัด, บริษัท สุปรีม ซี เอ็น บี คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท สมาร์ท เฮลเทค จำกัด
ได้ร่วมกันกำหนดมาตรฐานของโรงพยาบาลราชวิถี และผลิตตู้เก็บวัคซีนเพื่อบริจาคให้แก่สถานพยาบาล 77 จังหวัด โดยระยะแรกจะส่งมอบตู้เก็บวัคซีนให้แก่สถานพยาบาล 21 แห่ง ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ระยะที่ 2 และ 3 จะส่งมอบให้แก่สถานพยาบาล 56 แห่ง ภายในเดือนมีนาคม และเมษายน 2564
นิด้าโพล พบคนส่วนใหญ่เห็นควรฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้จังหวัดที่แพร่ระบาดมากก่อน
https://www.infoquest.co.th/news/2021-e340e27ed8dcf123fe9ad3e7aff21968
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.พ. 64)
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง "ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ใครก่อนดี" ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-17 กุมภาพันธ์ 2564 จากประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,318 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ "นิด้าโพล" สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงจังหวัดที่ควรเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกในการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 56.90 ระบุว่า จังหวัดที่มีการแพร่ระบาดมากในรอบที่ 2 ที่ผ่านมา รองลงมา ร้อยละ 16.77 ระบุว่า เริ่มทุกจังหวัดพร้อม ๆ กัน ร้อยละ 10.70 ระบุว่า จังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ร้อยละ 10.39 ระบุว่า จังหวัดที่อยู่ติดกับชายแดนทั้งหมด และร้อยละ 5.24 ระบุว่า จังหวัดที่มีการลงทุนด้านอุตสาหกรรมสูง
ด้านกลุ่มอายุที่ควรเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกในการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 38.01 ระบุว่า กลุ่มวัยทำงาน ตั้งแต่ 20-59 ปี รองลงมา ร้อยละ 37.10 ระบุว่า กลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปี ขึ้นไป) ร้อยละ 15.10 ระบุว่า เริ่มทุกกลุ่มอายุพร้อม ๆ กัน และร้อยละ 9.79 ระบุว่า กลุ่มเด็กและเยาวชนที่อายุไม่เกิน 20 ปี
เมื่อถามถึงกลุ่มอาชีพที่ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นกลุ่มเป้าหมายแรก พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 40.48 ระบุว่าเป็น กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ การสาธารณสุข รองลงมา ร้อยละ 14.41 ระบุว่าเป็น กลุ่มผู้รับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 8.87 ระบุว่าเป็น กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านการท่องเที่ยวทุกรูปแบบ ร้อยละ 7.59 ระบุว่าเป็น เริ่มทุกกลุ่มอาชีพพร้อม ๆ กัน ร้อยละ 5.29 ระบุว่าเป็น กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านการเดินทางและขนส่งทุกชนิด ร้อยละ 4.93 ระบุว่าเป็น กลุ่มนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 4.85 ระบุว่าเป็น กลุ่มเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 4.38 ระบุว่าเป็น กลุ่มข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 3.82 ระบุว่าเป็น กลุ่มพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 3.49 ระบุว่าเป็น กลุ่มพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน ร้อยละ 1.41 ระบุว่าเป็น กลุ่มเกษตรกร ประมง และร้อยละ 0.48 ระบุว่าเป็น กลุ่มนักการเมือง
ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อการบังคับให้ชาวต่างชาติทุกคนในประเทศไทยฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 44.54 ระบุว่า ควรบังคับชาวต่างชาติทุกคนให้ฉีดวัคซีน รองลงมา ร้อยละ 28.22 ระบุว่า ควรเป็นไปตามความสมัครใจในการฉีดวัคซีน ร้อยละ 26.25 ระบุว่า ควรบังคับเฉพาะชาวต่างชาติกลุ่มเสี่ยงให้ฉีดวัคซีน และร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ความคิดเห็นของประชาชนต่อการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับชาวต่างชาติในประเทศไทย พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 38.92 ระบุว่า ชาวต่างชาติทุกคนต้องเสียเงินในการฉีดวัคซีนเอง รองลงมา ร้อยละ 31.72 ระบุว่า ชาวต่างชาติที่เสียภาษีถูกต้องเท่านั้นที่ควรได้รับการฉีดวัคซีนฟรี ร้อยละ 25.72 ระบุว่า ชาวต่างชาติทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนฟรี ร้อยละ 0.68 ระบุว่า ชาวต่างชาติกับรัฐบาลจ่ายคนละครึ่ง และร้อยละ 2.96 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์