"พิชัย" จี้ "สตง.-ป.ป.ช." ตรวจการใช้งบประมาณ "กองทุนอนุรักษ์พลังงาน"
https://www.thairath.co.th/news/politic/2036315
พิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้า พรรคเพื่อไทย จี้ "สตง.-ป.ป.ช." ตรวจการใช้เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้กำกับของ "บิ๊กตู่" ชี้ ขนาดงบ 45 ล้าน ยังมีปัญหาเกือบทั้งหมด เผย มีการให้ กอ.รมน. และ ศอ.บต.กว่า 1,232 ล้าน
วันที่ 20 ก.พ. นาย
พิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เข้าตรวจสอบการใช้เงินในกองทุนอนุรักษ์พลังงานในทุกโครงการ เหมือนที่ สตง. และ ป.ป.ช. ได้เคยเข้าตรวจสอบในทุกโครงการในอดีตที่ตนเคยทำหลังการปฏิวัติ แต่ไม่พบว่าตนได้ทำอะไรผิดแต่อย่างใด น่าจะเป็นการกลั่นแกล้งตามคำสั่ง เพื่อต้องการให้ตนหยุดการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมากกว่า
"
ในปัจจุบันหลังจากที่ พิมรี่ พาย ได้บริจาคโซลาร์เซลล์ ให้กับที่ อ.อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ จนมีการนำมาเปรียบเทียบกับโครงการโซลาร์เซลล์ ของ กอ.รมน. และจากการตรวจสอบของสื่อมวลชนพบว่า เฉพาะโครงการในจังหวัดแม่ฮ่องสอน วงเงินงบประมาณ 45,590,000 บาท ในการติดตั้งระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ แก้ปัญหาภัยแล้ง พร้อมระบบกรองน้ำในพื้นที่ 20 หมู่บ้าน โดยมีการติดตั้ง 12 จุด ปรากฏว่า มีราคาแพงกว่าปกติมาก อุปกรณ์ไม่สามารถทำงานได้เกือบทั้งหมด โดย 9 จุด ไม่เคยใช้งานได้ตั้งแต่แรกติดตั้งเลย อีก 2 จุด พอใช้การได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่อีกจุดหนึ่งกลับล่องหน ไม่ปรากฏว่า มีการติดตั้งอุปกรณ์แต่อย่างไร ซึ่งแสดงถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันอย่างชัดเจน นี่เป็นแค่โครงการเดียว และ ป.ป.ช. จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้เข้าตรวจสอบแล้ว" รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว...
รองหัวหน้าเพื่อไทย กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบย้อนหลังตั้งแต่ปี 2558-2561 ปรากฏว่า กองทุนอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้มีการจัดสรรเงินกองทุนให้กับกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กอ.รมน. และ ศอ.บต. เป็นจำนวนเงินหลายพันล้านบาท แต่เฉพาะ กอ.รมน. และ ศอ.บต. ที่เป็นหน่วยงานภายการกำกับดูแลของพลเอก
ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีมีจำนวนเงินถึงกว่า 1,232 ล้านบาท โดยจากข้อมูลที่ได้รับพบว่ามีปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและปัญหาของอุปกรณ์ และปัญหาการตรวจรับโครงการเป็นจำนวนมาก ตามที่ นาย
วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทยได้อภิปรายในสภา ซึ่งเชื่อได้ว่าจะต้องมีการทุจริตอีกเป็นจำนวนมาก
นาย
พิชัย กล่าวอีกว่า ดังนั้นในฐานะที่ตนเป็นอดีต รมว.พลังงาน และ ยังเป็นผู้ถูกกลั่นแกล้งถูกตรวจสอบโครงการของกองทุนอนุรักษ์พลังงานนี้ จึงอยากขอเรียกร้องให้ สตง. และ ป.ป.ช. ใช้มาตรฐานเดียวกัน ในการเข้าตรวจสอบทุกโครงการ ที่มีการใช้เงินโดยเฉพาะโครงการของ กอ.รมน. และ ศอ.บต. ที่ปรากฏการทุจริตอย่างเห็นได้ชัดแล้ว และเนื่องจากทั้ง 3 หน่วยงานอยู่ภายใต้ พลเอก
ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงอยากขอเรียกร้องความรับผิดชอบของพลเอก
ประยุทธ์ ในเรื่องนี้ด้วย จะอ้างว่าไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยวข้อง คงไม่ได้ เพราะถ้าขนาดเรื่องแค่นี้ภายใต้การกำกับดูแลของตนเองทั้งหมด พลเอก
ประยุทธ์ยังควบคุมการทุจริตไม่ได้ จะไปควบคุมการทุจริตคอร์รัปชันในเรื่องอื่นๆ ได้อย่างไร ที่บอกว่ารังเกียจการทุจริตจะเป็นเพียงแค่ลมปากใช่หรือไม่ และอยากให้สื่อมวลชน และประชาชนในพื้นที่ได้ร่วมกันตรวจสอบโครงการของ กอ.รมน. และ ศอ.บต. ด้วย เพราะเชื่อว่าน่าจะมีความผิดปกติอีกเป็นจำนวนมาก
"
การใช้เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานที่เก็บจากประชาชนในทุกลิตรที่มีการใช้น้ำมันน่าจะต้องใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง" นาย
พิชัย กล่าว.
ปริญญา ชี้ การตรวจสอบรัฐบาลไม่ใช่แค่หน้าที่ฝ่ายค้าน แต่เป็นหน้าที่ผู้แทนทุกคน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2587778
ปริญญา ชี้ การตรวจสอบรัฐบาลไม่ใช่แค่หน้าที่ฝ่ายค้าน แต่เป็นหน้าที่ผู้แทนทุกคน
เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ แสดงความเห็นกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ระบุว่า
ส.ส.ทุกคนเป็น ผู้แทนปวงชน ประโยชน์ของปวงชนจึง มาก่อนประโยชน์พรรค และ ประโยชน์ของรัฐบาล ตามหลักการที่ควรจะเป็นของ ‘ระบอบประชาธิปไตยแบบผู้แทน’ ในระบบรัฐสภา ที่ให้ ส.ส. เลือกนายกรัฐมนตรีแทนประชาชนนั้น ยิ่งเป็น “
ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล” ยิ่งควรต้องตรวจสอบรัฐบาล
เพราะ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล เป็นคนเลือกนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจึงยิ่งต้องรับผิดชอบต่อประชาชนในการทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่ตนเลือกเข้าไป
ที่สำคัญ ส.ส. เป็น “
ผู้แทนปวงชน” ดังนั้น ส.ส.ทุกคนไม่ว่าฝ่ายไหน หรือสังกัดพรรคใด จึงต้องปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงประโยชน์ของปวงชนมากกว่าประโยชน์ของพรรคการเมืองที่สังกัด และดังนั้น แม้จะสังกัดพรรคร่วมรัฐบาล ก็ต้องเห็น ประโยชน์ของปวงชนมาก่อนประโยชน์ของรัฐบาล
แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีปัญหามาก ก็ยังรู้จักและรับรองหลักนี้ และให้เสรีภาพในการทำหน้าที่ผู้แทนปวงชนไว้ ไม่ให้ใครมาครอบงำโดยบัญญัติไว้ที่มาตรา 114 ว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร “
ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงําใด ๆ ..”
การไปเข้าใจว่าฝ่ายค้านเท่านั้นที่มีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ขณะที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลมีหน้าที่ต้องปกป้องรัฐบาล จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และเป็นจุดอ่อนของระบบรัฐสภาที่สร้างปัญหากับหลักการแบ่งแยกอำนาจและการตรวจสอบถ่วงดุลของประเทศไทยมาโดยตลอด
หน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลไม่ใช่แค่หน้าที่ของฝ่ายค้าน แต่เป็น หน้าที่ของผู้แทนปวงชนทุกคน ไม่ว่าจะสังกัดพรรคไหน ถ้านายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีคนใด ยิ่งทำหน้าที่ต่อไป บ้านเมืองยิ่งมีปัญหา ก็ต้องสมควรไม่ไว้วางใจ เพื่อให้มีคนใหม่ที่ไม่มีปัญหามาทำหน้าที่แทน
ท่านจะลงมติไว้วางใจหรือไม่ เป็นเสรีภาพของท่าน แต่พึงตัดสินใจด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เอาประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ยังไงก็ต้องไว้วางใจเพราะเป็น “
ฝ่ายรัฐบาล” ส.ส. ทุกคนคือ “
ฝ่ายปวงชน” ไม่ใช่แค่ “
ฝ่ายรัฐบาล” หรือ “
ฝ่ายค้าน” ที่จริงผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าท่านผู้แทนปวงชนของเราส่วนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นฝ่ายรัฐบาลจะเข้าใจความข้อนี้หรอกครับ
แต่อย่างน้อยขอเพียงบางคนเข้าใจ และทำหน้าที่ “
ผู้แทนปวงชน” อย่างแท้จริง ประชาธิปไตยที่มีปัญหาของเราก็จะเริ่มเกิดการ เปลี่ยนแปลง ได้ครับ
โควิดทำ SMEsไทย ชะลอลงทุน ซิสโก้ส่งแพ็กเกจใหม่ผ่อนยาว
https://www.prachachat.net/ict/news-614351
ซิสโก้เปิดผลศึกษา 5 ปี เอสเอ็มอีเอเชีย-แปซิฟิกลุยลงทุนด้านไอทีไม่ต่ำ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่พิษโควิดทำเอสเอ็มอีไทยชะลอลงทุน ส่งแพ็กเกจใหม่ผ่อน 0% ยาว เจาะตลาด
นาย
ทวีวัฒน์ จันทรเสโน รักษาการกรรมการผู้จัดการ ประจำประเทศไทย และภูมิภาคอินโดจีน บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จํากัด ผู้ให้บริการด้านไอทีและระบบเครือข่ายทั่วโลก กล่าวว่า จากรายงาน “
SME ICT Insights” ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดย Analysys Mason เก็บข้อมูลจากผู้บริหารระดับสูงในสายงานธุรกิจและไอทีของเอสเอ็มอี 1,600 ราย ที่มีพนักงาน 50-150 คน ใน 8 ประเทศ
(ออสเตรเลีย จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และประเทศไทย) พบว่า 41% ของเอสเอ็มอีในภูมิภาคนี้มีการเตรียมระบบ เพื่อรองรับการทำงานจากที่บ้านของพนักงาน ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุด ที่ช่วยให้เอสเอ็มอีบรรลุเป้าหมายในการดำเนินงานและการขยายธุรกิจในปีนี้
จากการศึกษาพบว่า เป้าหมายในการใช้เทคโนโลยีเอสเอ็มอีไทย คือ ลดต้นทุน 21% รองมาคือ ขยายตลาดใหม่ 16% ขณะที่ปัญหาท้าทาย คือ ช่องทางในการขาย จัดส่งสินค้า 59% และปรับปรุงประสิทธิภาพพนักงาน 50%
“
จากข้อมูล Analysys Masonยังคาดการณ์ว่า ช่วง 5 ปี (ปี 2563-2567) กลุ่มเอสเอ็มอีในเอเชีย-แปซิฟิก จะลงทุนด้านเทคโนโลยีไอที สูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ”
นาย
ทวีวัฒน์กล่าวต่อว่า การแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้วิธีการทำงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งปีนี้เอสเอ็มอีไทยก็กำลังเผชิญปัญหานี้เช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ การเร่งปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ดิจิทัล (digital transformation) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานแต่ส่วนใหญ่ติดปัญหาเรื่องเงินทุน
ด้วยแนวโน้มที่เกิดขึ้น ล่าสุดบริษัทได้เปิดบริการใหม่ “CisCo Capital” ที่ช่วยให้ลูกค้านำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ธุรกิจมากขึ้น ในราคาเริ่มต้น 3 แสนบาท เจาะองค์กรขนาดกลาง ผ่อน 0% นาน 24-60 เดือนตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็มีบริการ “
Cisco Solution” ประกอบด้วยหลายบริการในราคา 249,900 บาท เจาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีพนักงานไม่เกิน 50 คน
“
โควิด-19 ทำให้ปัจจุบันเอสเอ็มอีบางรายตัดสินใจชะลอลงทุนด้านไอที แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะไม่มีงบฯดังนั้น บริษัทได้ปรับบริการและราคาใหม่ให้หลากหลายขึ้นให้สอดรับกับความต้องการ ซึ่งคาดว่าจะได้การตอบรับที่ดีจากทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งเอสเอ็มอี หน่วยราชการระดับท้องถิ่น”
JJNY : "พิชัย"จี้ตรวจ"กองทุนอนุรักษ์พลังงาน"│ปริญญาชี้หน้าที่ผู้แทนทุกคน│โควิดทำ SMEsไทย ชะลอลงทุน│พิชายสรุปศึกซักฟอก
https://www.thairath.co.th/news/politic/2036315
วันที่ 20 ก.พ. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เข้าตรวจสอบการใช้เงินในกองทุนอนุรักษ์พลังงานในทุกโครงการ เหมือนที่ สตง. และ ป.ป.ช. ได้เคยเข้าตรวจสอบในทุกโครงการในอดีตที่ตนเคยทำหลังการปฏิวัติ แต่ไม่พบว่าตนได้ทำอะไรผิดแต่อย่างใด น่าจะเป็นการกลั่นแกล้งตามคำสั่ง เพื่อต้องการให้ตนหยุดการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมากกว่า
"ในปัจจุบันหลังจากที่ พิมรี่ พาย ได้บริจาคโซลาร์เซลล์ ให้กับที่ อ.อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ จนมีการนำมาเปรียบเทียบกับโครงการโซลาร์เซลล์ ของ กอ.รมน. และจากการตรวจสอบของสื่อมวลชนพบว่า เฉพาะโครงการในจังหวัดแม่ฮ่องสอน วงเงินงบประมาณ 45,590,000 บาท ในการติดตั้งระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ แก้ปัญหาภัยแล้ง พร้อมระบบกรองน้ำในพื้นที่ 20 หมู่บ้าน โดยมีการติดตั้ง 12 จุด ปรากฏว่า มีราคาแพงกว่าปกติมาก อุปกรณ์ไม่สามารถทำงานได้เกือบทั้งหมด โดย 9 จุด ไม่เคยใช้งานได้ตั้งแต่แรกติดตั้งเลย อีก 2 จุด พอใช้การได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่อีกจุดหนึ่งกลับล่องหน ไม่ปรากฏว่า มีการติดตั้งอุปกรณ์แต่อย่างไร ซึ่งแสดงถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันอย่างชัดเจน นี่เป็นแค่โครงการเดียว และ ป.ป.ช. จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้เข้าตรวจสอบแล้ว" รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว...
รองหัวหน้าเพื่อไทย กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบย้อนหลังตั้งแต่ปี 2558-2561 ปรากฏว่า กองทุนอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้มีการจัดสรรเงินกองทุนให้กับกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กอ.รมน. และ ศอ.บต. เป็นจำนวนเงินหลายพันล้านบาท แต่เฉพาะ กอ.รมน. และ ศอ.บต. ที่เป็นหน่วยงานภายการกำกับดูแลของพลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีมีจำนวนเงินถึงกว่า 1,232 ล้านบาท โดยจากข้อมูลที่ได้รับพบว่ามีปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและปัญหาของอุปกรณ์ และปัญหาการตรวจรับโครงการเป็นจำนวนมาก ตามที่ นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทยได้อภิปรายในสภา ซึ่งเชื่อได้ว่าจะต้องมีการทุจริตอีกเป็นจำนวนมาก
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ดังนั้นในฐานะที่ตนเป็นอดีต รมว.พลังงาน และ ยังเป็นผู้ถูกกลั่นแกล้งถูกตรวจสอบโครงการของกองทุนอนุรักษ์พลังงานนี้ จึงอยากขอเรียกร้องให้ สตง. และ ป.ป.ช. ใช้มาตรฐานเดียวกัน ในการเข้าตรวจสอบทุกโครงการ ที่มีการใช้เงินโดยเฉพาะโครงการของ กอ.รมน. และ ศอ.บต. ที่ปรากฏการทุจริตอย่างเห็นได้ชัดแล้ว และเนื่องจากทั้ง 3 หน่วยงานอยู่ภายใต้ พลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงอยากขอเรียกร้องความรับผิดชอบของพลเอกประยุทธ์ ในเรื่องนี้ด้วย จะอ้างว่าไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยวข้อง คงไม่ได้ เพราะถ้าขนาดเรื่องแค่นี้ภายใต้การกำกับดูแลของตนเองทั้งหมด พลเอกประยุทธ์ยังควบคุมการทุจริตไม่ได้ จะไปควบคุมการทุจริตคอร์รัปชันในเรื่องอื่นๆ ได้อย่างไร ที่บอกว่ารังเกียจการทุจริตจะเป็นเพียงแค่ลมปากใช่หรือไม่ และอยากให้สื่อมวลชน และประชาชนในพื้นที่ได้ร่วมกันตรวจสอบโครงการของ กอ.รมน. และ ศอ.บต. ด้วย เพราะเชื่อว่าน่าจะมีความผิดปกติอีกเป็นจำนวนมาก
"การใช้เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานที่เก็บจากประชาชนในทุกลิตรที่มีการใช้น้ำมันน่าจะต้องใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง" นายพิชัย กล่าว.
ปริญญา ชี้ การตรวจสอบรัฐบาลไม่ใช่แค่หน้าที่ฝ่ายค้าน แต่เป็นหน้าที่ผู้แทนทุกคน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2587778
ปริญญา ชี้ การตรวจสอบรัฐบาลไม่ใช่แค่หน้าที่ฝ่ายค้าน แต่เป็นหน้าที่ผู้แทนทุกคน
เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ แสดงความเห็นกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ระบุว่า
ส.ส.ทุกคนเป็น ผู้แทนปวงชน ประโยชน์ของปวงชนจึง มาก่อนประโยชน์พรรค และ ประโยชน์ของรัฐบาล ตามหลักการที่ควรจะเป็นของ ‘ระบอบประชาธิปไตยแบบผู้แทน’ ในระบบรัฐสภา ที่ให้ ส.ส. เลือกนายกรัฐมนตรีแทนประชาชนนั้น ยิ่งเป็น “ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล” ยิ่งควรต้องตรวจสอบรัฐบาล
เพราะ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล เป็นคนเลือกนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจึงยิ่งต้องรับผิดชอบต่อประชาชนในการทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่ตนเลือกเข้าไป
ที่สำคัญ ส.ส. เป็น “ผู้แทนปวงชน” ดังนั้น ส.ส.ทุกคนไม่ว่าฝ่ายไหน หรือสังกัดพรรคใด จึงต้องปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงประโยชน์ของปวงชนมากกว่าประโยชน์ของพรรคการเมืองที่สังกัด และดังนั้น แม้จะสังกัดพรรคร่วมรัฐบาล ก็ต้องเห็น ประโยชน์ของปวงชนมาก่อนประโยชน์ของรัฐบาล
แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีปัญหามาก ก็ยังรู้จักและรับรองหลักนี้ และให้เสรีภาพในการทำหน้าที่ผู้แทนปวงชนไว้ ไม่ให้ใครมาครอบงำโดยบัญญัติไว้ที่มาตรา 114 ว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร “ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงําใด ๆ ..”
การไปเข้าใจว่าฝ่ายค้านเท่านั้นที่มีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ขณะที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลมีหน้าที่ต้องปกป้องรัฐบาล จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และเป็นจุดอ่อนของระบบรัฐสภาที่สร้างปัญหากับหลักการแบ่งแยกอำนาจและการตรวจสอบถ่วงดุลของประเทศไทยมาโดยตลอด
หน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลไม่ใช่แค่หน้าที่ของฝ่ายค้าน แต่เป็น หน้าที่ของผู้แทนปวงชนทุกคน ไม่ว่าจะสังกัดพรรคไหน ถ้านายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีคนใด ยิ่งทำหน้าที่ต่อไป บ้านเมืองยิ่งมีปัญหา ก็ต้องสมควรไม่ไว้วางใจ เพื่อให้มีคนใหม่ที่ไม่มีปัญหามาทำหน้าที่แทน
ท่านจะลงมติไว้วางใจหรือไม่ เป็นเสรีภาพของท่าน แต่พึงตัดสินใจด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เอาประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ยังไงก็ต้องไว้วางใจเพราะเป็น “ฝ่ายรัฐบาล” ส.ส. ทุกคนคือ “ฝ่ายปวงชน” ไม่ใช่แค่ “ฝ่ายรัฐบาล” หรือ “ฝ่ายค้าน” ที่จริงผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าท่านผู้แทนปวงชนของเราส่วนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นฝ่ายรัฐบาลจะเข้าใจความข้อนี้หรอกครับ
แต่อย่างน้อยขอเพียงบางคนเข้าใจ และทำหน้าที่ “ผู้แทนปวงชน” อย่างแท้จริง ประชาธิปไตยที่มีปัญหาของเราก็จะเริ่มเกิดการ เปลี่ยนแปลง ได้ครับ
โควิดทำ SMEsไทย ชะลอลงทุน ซิสโก้ส่งแพ็กเกจใหม่ผ่อนยาว
https://www.prachachat.net/ict/news-614351
ซิสโก้เปิดผลศึกษา 5 ปี เอสเอ็มอีเอเชีย-แปซิฟิกลุยลงทุนด้านไอทีไม่ต่ำ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่พิษโควิดทำเอสเอ็มอีไทยชะลอลงทุน ส่งแพ็กเกจใหม่ผ่อน 0% ยาว เจาะตลาด
นายทวีวัฒน์ จันทรเสโน รักษาการกรรมการผู้จัดการ ประจำประเทศไทย และภูมิภาคอินโดจีน บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จํากัด ผู้ให้บริการด้านไอทีและระบบเครือข่ายทั่วโลก กล่าวว่า จากรายงาน “SME ICT Insights” ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดย Analysys Mason เก็บข้อมูลจากผู้บริหารระดับสูงในสายงานธุรกิจและไอทีของเอสเอ็มอี 1,600 ราย ที่มีพนักงาน 50-150 คน ใน 8 ประเทศ
(ออสเตรเลีย จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และประเทศไทย) พบว่า 41% ของเอสเอ็มอีในภูมิภาคนี้มีการเตรียมระบบ เพื่อรองรับการทำงานจากที่บ้านของพนักงาน ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุด ที่ช่วยให้เอสเอ็มอีบรรลุเป้าหมายในการดำเนินงานและการขยายธุรกิจในปีนี้
จากการศึกษาพบว่า เป้าหมายในการใช้เทคโนโลยีเอสเอ็มอีไทย คือ ลดต้นทุน 21% รองมาคือ ขยายตลาดใหม่ 16% ขณะที่ปัญหาท้าทาย คือ ช่องทางในการขาย จัดส่งสินค้า 59% และปรับปรุงประสิทธิภาพพนักงาน 50%
“จากข้อมูล Analysys Masonยังคาดการณ์ว่า ช่วง 5 ปี (ปี 2563-2567) กลุ่มเอสเอ็มอีในเอเชีย-แปซิฟิก จะลงทุนด้านเทคโนโลยีไอที สูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ”
นายทวีวัฒน์กล่าวต่อว่า การแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้วิธีการทำงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งปีนี้เอสเอ็มอีไทยก็กำลังเผชิญปัญหานี้เช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ การเร่งปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ดิจิทัล (digital transformation) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานแต่ส่วนใหญ่ติดปัญหาเรื่องเงินทุน
ด้วยแนวโน้มที่เกิดขึ้น ล่าสุดบริษัทได้เปิดบริการใหม่ “CisCo Capital” ที่ช่วยให้ลูกค้านำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ธุรกิจมากขึ้น ในราคาเริ่มต้น 3 แสนบาท เจาะองค์กรขนาดกลาง ผ่อน 0% นาน 24-60 เดือนตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็มีบริการ “Cisco Solution” ประกอบด้วยหลายบริการในราคา 249,900 บาท เจาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีพนักงานไม่เกิน 50 คน
“โควิด-19 ทำให้ปัจจุบันเอสเอ็มอีบางรายตัดสินใจชะลอลงทุนด้านไอที แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะไม่มีงบฯดังนั้น บริษัทได้ปรับบริการและราคาใหม่ให้หลากหลายขึ้นให้สอดรับกับความต้องการ ซึ่งคาดว่าจะได้การตอบรับที่ดีจากทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งเอสเอ็มอี หน่วยราชการระดับท้องถิ่น”