ป.ป.ช.แม่ฮ่องสอนชี้ ‘โซลาร์เซลล์’ 12 แห่งของ กอ.รมน. ใช้การไม่ได้ทุกจุด จ่อสอบค่าอุปกรณ์ พบแพงเกินจริง
https://www.matichon.co.th/region/news_2585542
เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พันตำรวจโท
ศิระปรุฬห์ ปวเรศจิรวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า การตรวจสอบโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในหน่วยงานภาครัฐ สูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ดำเนินการ 12 จุด แบ่งเป็น อำเภอสบเมย 1 จุด และอำเภอแม่เรียง 11 จุด ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเสร็จสิ้นทุกจุดแล้ว พบว่าทั้ง 12 จุด ปัจจุบันไม่สามารถใช้การได้ และไม่ได้รับการดูแลรักษาทั้งอุปกรณ์และสภาพแวดล้อม
พ.ต.ท.
ศิระปรุฬห์กล่าวว่า จากการสอบถามชาวบ้าน ครู และผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ ปรากฏว่าหลังจากโครงการแล้วเสร็จเมื่อปี 2561 มีเพียง 2 จุดเท่านั้นที่ใช้การได้ และอีก 10 จุดใช้การไม่ได้ตั้งแต่ต้น
พ.ต.ท.
ศิระปรุฬห์กล่าวว่า จากการตรวจสอบโครงการ พบว่าหมดระยะเวลาประกันตั้งแต่ 2 ปีหลังแล้วเสร็จ ซึ่งในการส่งมอบงานระยะที่ 4 กำหนดว่า ต้องมีการฝึกอบรมแก่หน่วยงาน หรือชาวบ้าน ที่จะรับมอบโครงการไปดูแลต่อ ในเรื่องนี้ ป.ป.ช.ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน จะดำเนินการตรวจสอบต่อไปว่าได้มีการอบรมจริงหรือไม่ และมีการส่งมอบผู้ดูแลต่อแล้วหรือยัง
พ.ต.ท.
ศิระปรุฬห์กล่าวอีกว่า จากการตวจสอบในพื้นที่ดำเนินการแต่ละจุดได้ตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่โครงการใช้การไม่ได้ เนื่องจากบางจุดตั้งอยู่ไกลจากแหล่งน้ำธรรมชาติ จนเครื่องสูบน้ำมีแรงดันไม่เพียงพอต่อการผลักดันน้ำมากักเก็บ บางจุดตั้งอยู่ในพื้นที่น้ำหลาก เมื่อน้ำหลากมาเครื่องมือก็เสียหาย ซึ่งผู้รับเหมาดำเนินการไม่มีความรู้ในเรื่องของสภาพพื้นที่ และไม่มีการสอบถามผู้นำหมู่บ้านเป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าบางจุดมีไฟฟ้า และน้ำประปาภูเขาใช้อยู่แล้ว
“
ข้อมูลทั้งหมดที่ ป.ป.ช.ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รวบรวมและรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาตามลำดับ เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
นอกจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน จะตรวจสอบโครงการนี้ต่อในเรื่องของการเปรียบเทียบราคากลางของค่าวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินโครงการทั้งหมดด้วย เนื่องจากอุปกรณ์บางอย่างมีราคาสูงเกินความเป็นจริง“ พ.ต.ท.
ศิระปรุฬห์กล่าว
สำหรับโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในหน่วยงานภาครัฐ สูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ กอ.รมน.ภาค 3 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน วงเงินงบประมาณ 45,590,000 บาท ในการติดตั้งระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์แก้ปัญหาภัยแล้งพร้อมระบบกรองน้ำในพื้นที่ 20 หมู่บ้าน ได้แก่ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก 8 หมู่บ้าน อำเภอสบเมย 1 หมู่บ้าน และอำเภอแม่สะเรียง 11 หมู่บ้าน รวมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 12 หมู่บ้าน
ส่งออกอาหารอ่วมปัจจัยลบรุม ปี’63 เหลือ 9.8 แสนล้านบาท หดตัว 4.1% - ตกอันดับไปอยู่ที่ 13 ของโลก
https://www.khaosod.co.th/economics/news_5978596
ส่งออกอาหารอ่วมปัจจัยลบรุม ปี’63 เหลือ 9.8 แสนล้าน หดตัว 4.1% – ตกอันดับไปอยู่ที่ 13 ของโลก ลุ้นปี’64 ฝ่าปัจจัยเสี่ยงสู่เป้า 1.05 ล้านล้าน
ส่งออกอาหารอ่วม – นาง
อนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงสถานการณ์ธุรกิจเกษตรและอาหารในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต ว่า ในปี 2563 ภาคการผลิตอุตสาหกรรมอาหารของไทยหดตัวลง 6.5% เป็นผลมาจากการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกที่ลดลง เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ โดยเฉพาะในกลุ่มมันสำปะหลัง อ้อย (น้ำตาล) และสับปะรด
ส่วนภาคการส่งออกสินค้าอาหารไทยในปี 2563 มีมูลค่า 980,703 ล้านบาท ลดลง 4.1% หรือในรูปดอลลาร์คิดเป็นมูลค่าส่งออก 31,284 ล้านเหรียญสหรัฐลดลง 5.1% ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดโลกของไทยลดลงมาอยู่ที่ 2.32% จาก 2.49% ในปี 2562 และอันดับประเทศผู้ส่งออกอาหารของไทยตกลงมาอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก จากอันดับที่ 11 ในปีก่อนโดยจีนเป็นตลาดส่งออกอาหารอันดับที่ 1 ของไทย
นาง
อนงค์ กล่าวต่อว่า นอกจากอุตสาหกรรมอาหารของไทยจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แล้ว ยังมีแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาท ภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และต้นทุนขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มสินค้าอาหารแปรรูปมีมูลค่าส่งออก 581,533 ล้านบาท หดตัวลง 5.6% หรือมีสัดส่วนส่งออก 59.3% ของมูลค่าส่งออกอาหารโดยรวม ขณะที่กลุ่มสินค้าเกษตรวัตถุดิบมีมูลค่าส่งออก 399,170 ล้านบาท ลดลง 2.0% หรือมีสัดส่วน 40.7% ของมูลค่าส่งออกอาหารโดยรวม
ส่วนแนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารไทยปี 2564 คาดว่าจะมีมูลค่า 1,050,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.1% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจาก
1. สินค้าในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจหลังจากที่หลายประเทศเริ่มมีการให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 แก่ประชาชน
2. ราคาสินค้าเกษตรและอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าไก่ น้ำตาล ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และสับปะรด
3. การกำหนดมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโควิด-19 ในกระบวนการผลิตอาหารส่งออก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้าที่นำเข้าสินค้าอาหารจากไทย
นาย
พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มีความเป็นห่วงสถานการณ์ธุรกิจส่งออกอาหารของไทยทั้งระยะสั้น กลาง ยาว โดยสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขระยะสั้นคือ ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า เพราะเป็นอุปสรรคอย่างมากในการส่งออกของไทยวันนี้ควรประคองให้ค่าเงินอยู่ที่ 31.50-32.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จึงจะแข่งกับประเทศอื่นได้ รวมทั้งแก้ไขปัญหาโลจิสติกส์และการขนส่งทางเรือ คอนเทนเนอร์ที่ขาดแคลน และแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการขนส่ง รวมทั้งข้อตกลงทางการค้าต่างๆ ที่ต้องเร่งทำข้อตกลง เพราะไทยมีเพียงข้อตกลงอาร์เซป และยังเสียอัตราภาษีที่เคยได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี หรือจีเอสพี รวมทั้งเอฟทีเอ ที่ไทยยังไม่ได้ลงนามกับหลายประเทศ ก็ยิ่งทำให้ไทยสูญเสียความสามารถด้านการแข่งขัน
ส่วนในระยะกลางมีปัญหาเรื่องวัตถุดิบ ที่ไทยนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ เช่น ทูน่าที่ไทยต้องนำเข้า 90% เพื่อแปรรูปส่งออกไปต่างประเทศ รวมทั้งกุ้ง หมึก ซึ่งภาครัฐต้องสนับสนุนทั้งสองทาง คือ ทั้งการนำเข้าและส่งออก เพราะประเทศไทยต้องการเป็นครัวของโลก ซึ่งจะเป็นไม่ได้หากขาดแคลนวัตถุดิบ ประเทศไทยมีความชำนาญด้านการแปรรูปอาหาร โดยต้องมีความชัดเจนว่าจะนำเข้าสินค้าเกษตรมาเพื่ออะไรเพื่อไม่ให้กระทบต่อเกษตรกรภายในประเทศ ภาคเอกชนขออนุญาตมานานแต่ไม่ได้รับการอนุญาต เพราะห่วงเรื่องโรคติดต่อและกระทบต่อเกษตร
ส่วนปัญหาระยะยาวรัฐบาลต้องศึกษาความได้เปรียบเสียเปรียบโอกาสของประเทศเทียบกับทั่วโลก ทั้งด้านวัตถุดิบ การแปรรูป โดยเฉพาะสินค้าที่ผ่านการแปรรูปแล้ว และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตจะเป็นอย่างไรในอนาคตรัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนทั้งระบบ เพื่อให้เอกชนมีเข็มทิศที่เดินไปได้
“
เราหมดเวลาแล้วที่จะบอกว่าเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก ไม่สามารถนั่งอยู่จมกับอดีตที่หอมหวนอีกต่อไปได้น่ากลัวมากที่เราตกอันดับจากประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 11 เป็นอันดับที่ 13 ของโลกภายในปีเดียวและรัฐบาลควรกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติในการแก้ไขปัญหาในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารได้แล้ว” นายพจน์ กล่าว
นาย
วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อัตราแลกเปลี่ยนของไทยที่ทำให้ผู้ส่งออกไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่งเป็นอะไรที่เอกชนไม่สามารถยอมรับได้ยอดส่งออกในบางตลาดก็ลดต่ำลงคือตลาดยุโรปที่ไทยสูญเสียสิทธิจีเอสพีไปแล้วทำให้ประเทศที่ยังได้สิทธินี้และมีการลงนามเอฟทีเอส่งออกได้มากขึ้น เท่ากับว่าไทยสูญตลาดในส่วนนี้ไปอย่างมาก และหากปัญหาต่างๆ ที่ภาคเอกชนไม่ได้รับการแก้ไขก็จะทำให้ไทยตกขบวนการเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารหรือแม้กระทั่งการเป็นครัวของโลกไปให้กับประเทศคู่แข่ง คือ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอินเดีย เพราะประเทศเหล่านี้มีข้อตกลงทางการค้าเยอะมาก มีการนำเข้าวัตถุดิบเข้ามาแปรรูปและส่งออกจำนวนมาก
รถตู้ต่างจังหวัดเงียบ คนนั่งหด 80% วอนรัฐเหลียวแล
https://www.dailynews.co.th/economic/826148
คนใช้รถตู้ต่างจังหวัดยังหงอย พิษโควิดระบาดรอบใหม่ผู้โดยสารลด 80% ทุกเส้นทาง เส้นทางหมอชิต-ปักธงชัย เดิม 15 เที่ยววิ่งต่อวัน เหลือ 3 เที่ยวต่อวัน ลุ้นรัฐไฟเขียวเยียวยาขอขยายอายุรอบภาษีรถประจำปี 64 ที่ครบ มี.ค.นี้
นาย
บุญส่ง ศรีสกุล รองนายกสมาคมธุรกิจรถตู้ต่างจังหวัด เปิดเผยว่า จากผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 มีการระบาดระลอกใหม่พบว่ามีผู้โดยสารที่ใช้บริการรถตู้โดยสารหมวด 2 เส้นทางกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัด ระยะทางไม่เกิน 300 กม. ที่เป็นรถร่วมบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ลดลงเกือบทุกเส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางกรุงเทพฯ (หมอชิต)-ปักธงชัย เดิมก่อนโควิด-19 มีรถตู้ให้บริการ 18 คัน มีผู้โดยสารใช้บริการอยู่ที่ 300 คนต่อวัน จำนวน 15 เที่ยววิ่งต่อวัน แต่ปัจจุบันพบว่าลดลงเหลือ 3-8 เที่ยวต่อวัน ผู้โดยสารไม่ถึง 100 คนต่อวัน บางเที่ยววิ่งมีผู้โดยสารใช้บริการไม่ถึง 10 คน ถ้าเป็นรถตู้บรรทุกผู้โดยสารได้ 13 ที่นั่งต่อคัน ขณะที่เป็นรถโดยสารขนาดเล็ก (ไมโครบัส) บรรทุก 20 ที่นั่งต่อคัน
นาย
บุญส่ง กล่าวต่อว่า นอกจากนี้บางเส้นทางที่มีรถโดยสารขนาดใหญ่วิ่งคู่กับรถตู้ ได้หยุดวิ่งให้บริการชั่วคราวก่อน เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ (หมอชิต)-อรัญประเทศ และ กรุงเทพฯ (หมอชิต)-นครสวรรค์ ขณะที่บางเส้นทางได้ยกเลิกกิจการไป เพราะเดินรถไปก็ขาดทุน เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารลดลง รายได้ลดลงเช่นกัน สาเหตุหลักจะมาจากเศรษฐกิจไม่ดี บริษัท โรงงานต่างๆ เลิกจ้างงาน ทำให้ไม่มีการเดินทาง ทั้งที่เส้นทางปักธงชัย และ วังน้ำเขียว เป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม
ด้านนาง
ศิริพิศ เจตนาดี ประธานเครือข่ายผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะมีการคลายล็อกมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่มีการระบาดระลอกใหม่นั้น พบว่าภาพรวมในการใช้บริการรถตู้โดยสารหมวด 2 ที่มีประมาณ 2,000 คัน จากเดิมที่มีประมาณ 4,000 คัน จำนวนผู้โดยสารช่วงวันหยุดยาววันตรุษจีน วันที่ 12-14 ก.พ.64 เพิ่มขึ้นประมาณ 10-20% ขณะที่จากเดิมที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 รอบใหม่ลดลง 80% ในทุกเส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางท่องเที่ยว เช่น พัทยา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครราชสีมา ทำให้กลุ่มผู้โดยสารที่เป็นนักศึกษา และคนทำงานหายไป ตอนนี้มีแค่กลุ่มผู้โดยสารเดินทางในระยะสั้นเท่านั้น อาทิ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี บ้านนา นครนายก และ ชลบุรี
นาง
ศิริพิศ กล่าวต่อว่า จากปัญหาดังกล่าวได้ขอมาตรการเยียวยาผลกระทบจากภาครัฐ ประกอบด้วย การขอขยายอายุรอบภาษีรถประจำปี 64 ที่จะครบในเดือน มี.ค.นี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา นอกจากนี้ภาครัฐได้ช่วยเหลือผ่อนผันชำระค่างวดรถใน 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับบริษัทไฟแนนซ์หรือสถาบันการเงินนั้นๆ เช่น บางไฟแนนซ์หรือสถาบันการเงินให้จ่ายเฉพาะเงินต้นหรือดอกเบี้ยแล้วแต่มาตรการหน่วยงานที่จะช่วยได้ ซึ่งปกติต้องชำระค่ารถตู้ ประมาณ 25,000 บาทต่อเดือน ซึ่งมีต้นทุนคันละ 1.5 ล้านบาท ขณะที่รถไมโครบัสต้องชำระค่างวด 37,000 บาทต่อเดือน มีต้นทุนคันละ 2.2 ล้านบาท
JJNY : 6in1 โซลาร์เซลล์กอ.รมน.ใช้ไม่ได้ทุกจุด│ส่งออกอาหารอ่วม│รถตู้ตจว.เงียบ│จิรายุซัดศักดิ์สยาม│อัดนิพนธ์เอื้อเครือญาติ
https://www.matichon.co.th/region/news_2585542
พ.ต.ท.ศิระปรุฬห์กล่าวว่า จากการสอบถามชาวบ้าน ครู และผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ ปรากฏว่าหลังจากโครงการแล้วเสร็จเมื่อปี 2561 มีเพียง 2 จุดเท่านั้นที่ใช้การได้ และอีก 10 จุดใช้การไม่ได้ตั้งแต่ต้น
พ.ต.ท.ศิระปรุฬห์กล่าวว่า จากการตรวจสอบโครงการ พบว่าหมดระยะเวลาประกันตั้งแต่ 2 ปีหลังแล้วเสร็จ ซึ่งในการส่งมอบงานระยะที่ 4 กำหนดว่า ต้องมีการฝึกอบรมแก่หน่วยงาน หรือชาวบ้าน ที่จะรับมอบโครงการไปดูแลต่อ ในเรื่องนี้ ป.ป.ช.ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน จะดำเนินการตรวจสอบต่อไปว่าได้มีการอบรมจริงหรือไม่ และมีการส่งมอบผู้ดูแลต่อแล้วหรือยัง
พ.ต.ท.ศิระปรุฬห์กล่าวอีกว่า จากการตวจสอบในพื้นที่ดำเนินการแต่ละจุดได้ตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่โครงการใช้การไม่ได้ เนื่องจากบางจุดตั้งอยู่ไกลจากแหล่งน้ำธรรมชาติ จนเครื่องสูบน้ำมีแรงดันไม่เพียงพอต่อการผลักดันน้ำมากักเก็บ บางจุดตั้งอยู่ในพื้นที่น้ำหลาก เมื่อน้ำหลากมาเครื่องมือก็เสียหาย ซึ่งผู้รับเหมาดำเนินการไม่มีความรู้ในเรื่องของสภาพพื้นที่ และไม่มีการสอบถามผู้นำหมู่บ้านเป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าบางจุดมีไฟฟ้า และน้ำประปาภูเขาใช้อยู่แล้ว
“ข้อมูลทั้งหมดที่ ป.ป.ช.ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รวบรวมและรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาตามลำดับ เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
นอกจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน จะตรวจสอบโครงการนี้ต่อในเรื่องของการเปรียบเทียบราคากลางของค่าวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินโครงการทั้งหมดด้วย เนื่องจากอุปกรณ์บางอย่างมีราคาสูงเกินความเป็นจริง“ พ.ต.ท.ศิระปรุฬห์กล่าว
สำหรับโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในหน่วยงานภาครัฐ สูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ กอ.รมน.ภาค 3 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน วงเงินงบประมาณ 45,590,000 บาท ในการติดตั้งระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์แก้ปัญหาภัยแล้งพร้อมระบบกรองน้ำในพื้นที่ 20 หมู่บ้าน ได้แก่ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก 8 หมู่บ้าน อำเภอสบเมย 1 หมู่บ้าน และอำเภอแม่สะเรียง 11 หมู่บ้าน รวมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 12 หมู่บ้าน
ส่งออกอาหารอ่วมปัจจัยลบรุม ปี’63 เหลือ 9.8 แสนล้านบาท หดตัว 4.1% - ตกอันดับไปอยู่ที่ 13 ของโลก
https://www.khaosod.co.th/economics/news_5978596
ส่งออกอาหารอ่วมปัจจัยลบรุม ปี’63 เหลือ 9.8 แสนล้าน หดตัว 4.1% – ตกอันดับไปอยู่ที่ 13 ของโลก ลุ้นปี’64 ฝ่าปัจจัยเสี่ยงสู่เป้า 1.05 ล้านล้าน
ส่งออกอาหารอ่วม – นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงสถานการณ์ธุรกิจเกษตรและอาหารในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต ว่า ในปี 2563 ภาคการผลิตอุตสาหกรรมอาหารของไทยหดตัวลง 6.5% เป็นผลมาจากการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกที่ลดลง เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ โดยเฉพาะในกลุ่มมันสำปะหลัง อ้อย (น้ำตาล) และสับปะรด
ส่วนภาคการส่งออกสินค้าอาหารไทยในปี 2563 มีมูลค่า 980,703 ล้านบาท ลดลง 4.1% หรือในรูปดอลลาร์คิดเป็นมูลค่าส่งออก 31,284 ล้านเหรียญสหรัฐลดลง 5.1% ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดโลกของไทยลดลงมาอยู่ที่ 2.32% จาก 2.49% ในปี 2562 และอันดับประเทศผู้ส่งออกอาหารของไทยตกลงมาอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก จากอันดับที่ 11 ในปีก่อนโดยจีนเป็นตลาดส่งออกอาหารอันดับที่ 1 ของไทย
นางอนงค์ กล่าวต่อว่า นอกจากอุตสาหกรรมอาหารของไทยจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แล้ว ยังมีแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาท ภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และต้นทุนขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มสินค้าอาหารแปรรูปมีมูลค่าส่งออก 581,533 ล้านบาท หดตัวลง 5.6% หรือมีสัดส่วนส่งออก 59.3% ของมูลค่าส่งออกอาหารโดยรวม ขณะที่กลุ่มสินค้าเกษตรวัตถุดิบมีมูลค่าส่งออก 399,170 ล้านบาท ลดลง 2.0% หรือมีสัดส่วน 40.7% ของมูลค่าส่งออกอาหารโดยรวม
ส่วนแนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารไทยปี 2564 คาดว่าจะมีมูลค่า 1,050,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.1% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจาก
1. สินค้าในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจหลังจากที่หลายประเทศเริ่มมีการให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 แก่ประชาชน
2. ราคาสินค้าเกษตรและอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าไก่ น้ำตาล ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และสับปะรด
3. การกำหนดมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโควิด-19 ในกระบวนการผลิตอาหารส่งออก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้าที่นำเข้าสินค้าอาหารจากไทย
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มีความเป็นห่วงสถานการณ์ธุรกิจส่งออกอาหารของไทยทั้งระยะสั้น กลาง ยาว โดยสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขระยะสั้นคือ ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า เพราะเป็นอุปสรรคอย่างมากในการส่งออกของไทยวันนี้ควรประคองให้ค่าเงินอยู่ที่ 31.50-32.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จึงจะแข่งกับประเทศอื่นได้ รวมทั้งแก้ไขปัญหาโลจิสติกส์และการขนส่งทางเรือ คอนเทนเนอร์ที่ขาดแคลน และแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการขนส่ง รวมทั้งข้อตกลงทางการค้าต่างๆ ที่ต้องเร่งทำข้อตกลง เพราะไทยมีเพียงข้อตกลงอาร์เซป และยังเสียอัตราภาษีที่เคยได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี หรือจีเอสพี รวมทั้งเอฟทีเอ ที่ไทยยังไม่ได้ลงนามกับหลายประเทศ ก็ยิ่งทำให้ไทยสูญเสียความสามารถด้านการแข่งขัน
ส่วนในระยะกลางมีปัญหาเรื่องวัตถุดิบ ที่ไทยนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ เช่น ทูน่าที่ไทยต้องนำเข้า 90% เพื่อแปรรูปส่งออกไปต่างประเทศ รวมทั้งกุ้ง หมึก ซึ่งภาครัฐต้องสนับสนุนทั้งสองทาง คือ ทั้งการนำเข้าและส่งออก เพราะประเทศไทยต้องการเป็นครัวของโลก ซึ่งจะเป็นไม่ได้หากขาดแคลนวัตถุดิบ ประเทศไทยมีความชำนาญด้านการแปรรูปอาหาร โดยต้องมีความชัดเจนว่าจะนำเข้าสินค้าเกษตรมาเพื่ออะไรเพื่อไม่ให้กระทบต่อเกษตรกรภายในประเทศ ภาคเอกชนขออนุญาตมานานแต่ไม่ได้รับการอนุญาต เพราะห่วงเรื่องโรคติดต่อและกระทบต่อเกษตร
ส่วนปัญหาระยะยาวรัฐบาลต้องศึกษาความได้เปรียบเสียเปรียบโอกาสของประเทศเทียบกับทั่วโลก ทั้งด้านวัตถุดิบ การแปรรูป โดยเฉพาะสินค้าที่ผ่านการแปรรูปแล้ว และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตจะเป็นอย่างไรในอนาคตรัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนทั้งระบบ เพื่อให้เอกชนมีเข็มทิศที่เดินไปได้
“เราหมดเวลาแล้วที่จะบอกว่าเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก ไม่สามารถนั่งอยู่จมกับอดีตที่หอมหวนอีกต่อไปได้น่ากลัวมากที่เราตกอันดับจากประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 11 เป็นอันดับที่ 13 ของโลกภายในปีเดียวและรัฐบาลควรกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติในการแก้ไขปัญหาในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารได้แล้ว” นายพจน์ กล่าว
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อัตราแลกเปลี่ยนของไทยที่ทำให้ผู้ส่งออกไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่งเป็นอะไรที่เอกชนไม่สามารถยอมรับได้ยอดส่งออกในบางตลาดก็ลดต่ำลงคือตลาดยุโรปที่ไทยสูญเสียสิทธิจีเอสพีไปแล้วทำให้ประเทศที่ยังได้สิทธินี้และมีการลงนามเอฟทีเอส่งออกได้มากขึ้น เท่ากับว่าไทยสูญตลาดในส่วนนี้ไปอย่างมาก และหากปัญหาต่างๆ ที่ภาคเอกชนไม่ได้รับการแก้ไขก็จะทำให้ไทยตกขบวนการเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารหรือแม้กระทั่งการเป็นครัวของโลกไปให้กับประเทศคู่แข่ง คือ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอินเดีย เพราะประเทศเหล่านี้มีข้อตกลงทางการค้าเยอะมาก มีการนำเข้าวัตถุดิบเข้ามาแปรรูปและส่งออกจำนวนมาก
รถตู้ต่างจังหวัดเงียบ คนนั่งหด 80% วอนรัฐเหลียวแล
https://www.dailynews.co.th/economic/826148
คนใช้รถตู้ต่างจังหวัดยังหงอย พิษโควิดระบาดรอบใหม่ผู้โดยสารลด 80% ทุกเส้นทาง เส้นทางหมอชิต-ปักธงชัย เดิม 15 เที่ยววิ่งต่อวัน เหลือ 3 เที่ยวต่อวัน ลุ้นรัฐไฟเขียวเยียวยาขอขยายอายุรอบภาษีรถประจำปี 64 ที่ครบ มี.ค.นี้
นายบุญส่ง ศรีสกุล รองนายกสมาคมธุรกิจรถตู้ต่างจังหวัด เปิดเผยว่า จากผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 มีการระบาดระลอกใหม่พบว่ามีผู้โดยสารที่ใช้บริการรถตู้โดยสารหมวด 2 เส้นทางกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัด ระยะทางไม่เกิน 300 กม. ที่เป็นรถร่วมบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ลดลงเกือบทุกเส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางกรุงเทพฯ (หมอชิต)-ปักธงชัย เดิมก่อนโควิด-19 มีรถตู้ให้บริการ 18 คัน มีผู้โดยสารใช้บริการอยู่ที่ 300 คนต่อวัน จำนวน 15 เที่ยววิ่งต่อวัน แต่ปัจจุบันพบว่าลดลงเหลือ 3-8 เที่ยวต่อวัน ผู้โดยสารไม่ถึง 100 คนต่อวัน บางเที่ยววิ่งมีผู้โดยสารใช้บริการไม่ถึง 10 คน ถ้าเป็นรถตู้บรรทุกผู้โดยสารได้ 13 ที่นั่งต่อคัน ขณะที่เป็นรถโดยสารขนาดเล็ก (ไมโครบัส) บรรทุก 20 ที่นั่งต่อคัน
นายบุญส่ง กล่าวต่อว่า นอกจากนี้บางเส้นทางที่มีรถโดยสารขนาดใหญ่วิ่งคู่กับรถตู้ ได้หยุดวิ่งให้บริการชั่วคราวก่อน เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ (หมอชิต)-อรัญประเทศ และ กรุงเทพฯ (หมอชิต)-นครสวรรค์ ขณะที่บางเส้นทางได้ยกเลิกกิจการไป เพราะเดินรถไปก็ขาดทุน เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารลดลง รายได้ลดลงเช่นกัน สาเหตุหลักจะมาจากเศรษฐกิจไม่ดี บริษัท โรงงานต่างๆ เลิกจ้างงาน ทำให้ไม่มีการเดินทาง ทั้งที่เส้นทางปักธงชัย และ วังน้ำเขียว เป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม
ด้านนางศิริพิศ เจตนาดี ประธานเครือข่ายผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะมีการคลายล็อกมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่มีการระบาดระลอกใหม่นั้น พบว่าภาพรวมในการใช้บริการรถตู้โดยสารหมวด 2 ที่มีประมาณ 2,000 คัน จากเดิมที่มีประมาณ 4,000 คัน จำนวนผู้โดยสารช่วงวันหยุดยาววันตรุษจีน วันที่ 12-14 ก.พ.64 เพิ่มขึ้นประมาณ 10-20% ขณะที่จากเดิมที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 รอบใหม่ลดลง 80% ในทุกเส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางท่องเที่ยว เช่น พัทยา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครราชสีมา ทำให้กลุ่มผู้โดยสารที่เป็นนักศึกษา และคนทำงานหายไป ตอนนี้มีแค่กลุ่มผู้โดยสารเดินทางในระยะสั้นเท่านั้น อาทิ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี บ้านนา นครนายก และ ชลบุรี
นางศิริพิศ กล่าวต่อว่า จากปัญหาดังกล่าวได้ขอมาตรการเยียวยาผลกระทบจากภาครัฐ ประกอบด้วย การขอขยายอายุรอบภาษีรถประจำปี 64 ที่จะครบในเดือน มี.ค.นี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา นอกจากนี้ภาครัฐได้ช่วยเหลือผ่อนผันชำระค่างวดรถใน 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับบริษัทไฟแนนซ์หรือสถาบันการเงินนั้นๆ เช่น บางไฟแนนซ์หรือสถาบันการเงินให้จ่ายเฉพาะเงินต้นหรือดอกเบี้ยแล้วแต่มาตรการหน่วยงานที่จะช่วยได้ ซึ่งปกติต้องชำระค่ารถตู้ ประมาณ 25,000 บาทต่อเดือน ซึ่งมีต้นทุนคันละ 1.5 ล้านบาท ขณะที่รถไมโครบัสต้องชำระค่างวด 37,000 บาทต่อเดือน มีต้นทุนคันละ 2.2 ล้านบาท