หลังจากนั่งรถไฟที่แสนยาวนาน 5 วัน 4 คืน
กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เล่นเอาผมปวดตูดแล้วปวดตูดอีก อย่างไรก็ตามมันคุ้มค่ามากสำหรับการรอคอย เพราะรถไฟขบวนนี้พาผมเดินทางมาครึ่งโลกแล้ว "กรุงมอสโก"
- ตามอ่านกระทู้ย้อนหลัง -
Ep.6 : 5 วัน 4 คืน บนเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ไม่ปวดตูดก็ให้มันรู้ไป!!
และหากเพื่อนๆอยากทราบ
เรื่องราวและข้อมูลการเดินทางของผมแบบ
ละเอียดยิบ สามารถเข้าไปอ่านย้อนหลังได้ใน
เฟสบุ๊คเพจ : หาตังค์เที่ยวรอบโลก
หรือคลิ๊กลิ้งเพจได้เลยครับ
เส้นทางรถไฟทรานส์ไซบีเรียวิ่งผ่าน 4 โซนเวลาของโลก ผ่านทุ่งหญ้าสเตปป์ ผ่านทะเลสาบไบข่าน ผ่านผืนป่าอันกว้างใหญ่ไพศาล ผ่านหมู่บ้านเล็กๆสีสันน่ารักๆ ผ่านเมืองเล็กเมืองน้อยมากมาย ผ่านหลากหลายประเทศในทวีปเอเชีย จนตอนนี้ผมเดินทางมาถึงขอบสุดทางด้านทิศตะวันตกของแผ่นดินเอเชีย "กรุงมอสโก"
ผมท่องเที่ยวอยู่ในกรุงมอสโกประมาณ 4 วัน 3 คืน จากนั้นผมเดินทางไปยังชนบทห่างไกลจากกรุงมอสโกประมาณ 300 กิโลเมตร เพื่อเข้าไปทำงานแลกที่พักและอาหารฟรี ซึ่งทำให้ผมมีเวลาได้คลุคลีอยู่กับ คนรัสเซีย อีกทั้งได้มีเวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตและโมเมนท์ดีๆไว้ในความทรงจำ
หลังจาก 15 วันกับการใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆท่ามกลางผืนป่าล้อมรอบ ผมออกเดินทางกลับเข้าสู่ใจกลางกรุงมอสโกอีกครั้ง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับแผนการณ์โบกรถในเช้าวันรุ่งขึ้น
คงไม่มีประสบการณ์การเดินทางครั้งไหนที่จะน่าตื่นเต้นและน่าหวาดเสียวเท่าครั้งนี้อีกแล้ว ความบ้าระห่ำที่สุดในชีวิตเกิดขึ้นหลังจากได้แรงบันดาลใจจากเพื่อนชาวเยอรมัน การตัดสินใจในครั้งนี้จะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับตัวผมเองได้ตลอดเวลา ไม่มีใครช่วยผมได้นอกจากโชคชะตาและทักษะการเอาตัวรอดของผมเอง
เพื่อนชาวเยอรมันที่เคยใช้ชีวิตสั้นๆร่วมกันในชนบทของรัสเซีย ได้ถ่ายทอดเทคนิคและวิธีการโบกรถให้ผมโดยละเอียด เขาแนะนำให้ผมรู้จักกับเว็บไซต์โบกรถ www.hitchwiki.org ซึ่งสามารถให้ความช่วยเหลือเรื่องเส้นทางในการโบกรถ อีกทั้งยังช่วยวางแผนการโบกรถจากกรุงมอสโควไปยังประเทศจอร์เจียได้อีกด้วย เช่น ควรเลือกเส้นทางไหนจึงจะดีที่สุด? ต้องแวะค้างคืนที่ไหนบ้าง? ถือเป็นเว็บไซต์ที่มีประโยชน์มากเลยทีเดียว
จริงๆผมวางแผนที่จะโบกรถตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แผนของผมคือโบกรถในยุโรป แต่หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าการเดินทางด้วยการโบกรถจากประเทศเยอรมณี-ชายแดนรัสเซียของเพื่อนชาวเยอรมันคนนี้ ผมรู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมบางอย่างที่เข้ากระแทกไปยังจิตใจของผม มันรู้สึกอึกเหิ่มขึ้นมาทันทีจนอยากจะเริ่มโบกรถตั้งแต่ตอนนี้เลย
ิ แต่ในรัสเซียไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ จากการสอบถามเพื่อนชาวเยอรมันเขาบอกว่า แทบไม่มีใครกล้าโบกรถในรัสเซียเลย เขากับเพื่อนอีกหนึ่งคนยอมแพ้ตั้งแต่ชายแดนรัสเซียแล้ว เนื่องจากยืนโบกอยู่ 5 ชั่วโมงโดยที่ไม่มีใครจอดรับสักคน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนที่นี่ค่อนข้างไม่เป็นมิตร ถ้าเขาไม่รู้จักคุณมาก่อน คงเป็นเรื่องยากที่เขาจะให้คุณโดยสารรถไปด้วย อีกอย่างหนึ่งคือประเทศรัสเซียค่อนข้างอันตรายเพราะขึ้นชื่อเรื่องของมาเฟีย
จะยังไงก็ช่างแต่ตอนนี้ไม่ทันแล้วครับ ใจมันไปแล้ว ผมออกเดินทางเข้าสู่กรุงมอสโกมาแล้วเมื่อวานนี้ วันนี้ผมต้องเริ่มต้นแผนการทั้งหมดที่วางเอาไว้ โดยเริ่มจากเก็บเต้นท์ที่นำมากางนอนในป่ากลางกรุงมอสโกก่อน จากนั้นแบกเป้เดินไปยังถนนทางหลวงที่จะมุ่งหน้าไปยังเมืองปลายทางของวันนี้ให้ได้
การหาทำเลที่ดีในการโบกรถ มันยากพอๆกับการโบกรถเลยนะ เพราะใช่ว่าจะโบกรถได้ทุกที่ ยิ่งคุณโบกรถในเมืองนี่แล้วใหญ่เลย โอกาสที่จะมีคนจอดรับคุณแทบเป็นศูนย์ อย่าลืมว่าคนที่อยู่ในเมืองส่วนใหญ่ก็จะมีบ้านอยู่ในเมืองนี่แหละ ขับรถวนไปวนมาอยู่ในเมือง อีกทั้งในเมืองมีรถโดยสารสาธารณะเยอะแยะมากมาย เช่น รถแท็กซี่ รถเมล์ รถไฟ ทำไมคุณไม่ไปใช้บริการรถเหล่านั้นหล่ะ "นี่คือความคิดของชาวเมือง"
ดังนั้นเทคนิคแรกที่ใช้ในการโบกรถคือ หาเส้นทางหลวงที่จะไปยังเมืองปลายทางให้เจอ จากนั้นทำยังไงก็ได้เพื่อนำตัวคุณเองออกจากเมืองแต่ยังคงอยู่บนเส้นทางหลวงไปยังเมืองปลายทาง รอยต่อระหว่างจุดเข้าเมืองและออกจากเมืองถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีในการโบกรถ
ถ้าจะให้ดีกว่านี้ พยายามมองหาจุดที่มีพื้นที่จอดรถ จุดที่รถวิ่งไม่เร็วมากนัก จุดที่ไม่เป็นเนินสูงๆต่ำๆ จุดจอดแวะพักรถ เช่น ปั้มน้ำมัน คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น การเริ่มต้นการโบกรถในตรงจุดแวะพักรถถือเป็นโอกาสดีในการเสนอตัวเพื่อขอความช่วยเหลือตรงๆ
ผมใช้เวลาเดินไปยังถนนทางหลวงนอกเมืองประมาณ 2 ชั่วโมง กว่าจะถึงทำเลที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งเป้ที่หนัก 30 กิโลบนหลังผมอีก เดินกันขาลากครับพี่น้อง ทำเลแรกที่ผมเลือกคือปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งบนถนนทางหลวง ซึ่งคิดว่าที่นี่น่าจะเวิร์คที่สุด
ผมเริ่มจากการเดินเข้าไปในปั้มน้ำมัน จากนั้นเล็งร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่งเอาไว้ ซึ่งมีคนเดินไปมาหน้าร้านอย่างพลุกพล่าน จากนั้นรวบรวมความกล้าและความหน้าด้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คว้าแผ่นกระดาษลังที่อยู่ในกระเป๋าเป้ออกมา ตวัดปากกาลงบนกระดาษ "Voronezh"
เมื่อได้ชื่อเมืองที่จะไปทั้งภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษ ผมเดินเข้าไปถามผู้คนที่เดินไปมาหน้าร้านสะดวกซื้อทันที พร้อมทั้งยกแผ่นชื่อเมืองที่จะไปให้เขาดูด้วย ความหน้าด้านทำให้ผมเดินเข้าไปถามทุกคนโดยไม่เลือกหน้า บอกตามตรงว่าแรกๆเขินมากแต่พอทำไปสักแปบรู้สึกความเขินหายไป
หน้าด้านขอความช่วยเหลือก็แล้ว แต่ทุกคนกลับตอบปฎิเสธ งานนี้ไม่ได้หมูอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ เมื่อเทคนิคนี้ใช้ไม่ได้ผล ผมจึงต้องเปลี่ยนยุทธวิธีในการขอความช่วยเหลือใหม่ จริงๆมันจำใจมากกว่าเพราะหน้าร้านสะดวกซื้อเขาปฎิเสธผมทุกคน
ผมเปลี่ยนมายังจุดขาออกจากปั้มน้ำมัน เพราะคิดว่าช่วงที่คนขับกำลังขับรถออกน่าจะเป็นจังหวะดีที่คนขับสามารถมองเห็นเด็กบ้ายืนโบกรถอยู่ เมื่อเขามองเห็นก็น่าจะจอดรับผมทันที
เเค่คิดหน่ะมันง่าย 3 ชั่วโมงกว่าแล้วกับการโบกรถโดยที่ไม่มีใครจอดรับเลยสักคน แต่ยังดีที่มีรอยยิ้มจากคนขับบ้าง ถือเป็นกำลังใจที่ดีที่ทำให้ผมฮึ๊ดสู้ต่อไป
14.30 น. 5 ชั่วโมงผ่านไปก็ยังไม่มีใครจอดรับสักที ผมเริ่มชักจะรู้สึกถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากยืนนานท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็นของรัสเซีย ความหนาวเริ่มคลืบคลานเข้าสู่ภายใน มันเริ่มเสียวๆตรงหัวใจ "เราจะตายไม่ได้นะบอกกับตัวเอง ฮ่าๆๆ"
ท่องไว้ในใจ "ต้องยิ้มๆ ไม่เหนื่อยๆ" ทั้งๆที่ความเป็นจริงคือเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว เพื่อนผมบอกไว้ว่า "ใครเขาจะกล้ารับคนที่หน้าตาบึ้งตึงหล่ะจริงมั้ย? การยิ้มให้คนขับเป็นการเพิ่มโอกาสที่คนขับจะตัดสินใจจอดรับเรา" ยิ้มจนเหงือกแห้งแล้วครับพี่
16.00 น. เกือบ 7 ชั่วโมงในการโบกรถโดยที่ไม่มีใครจอดรับสักคน อาการเริ่มไม่ค่อยดีเพราะร่างกายเริ่มมีอาการเหน็บชา อากาศเริ่มดิ่งลดลงเข้าสู่อุณหภูมิเลขตัวเดียวอีกทั้งมีลมแรงเข้ามาปะทะตัวตลอดเวลา ยิ่งเพิ่มระดับความหนาวยะเยือกเข้าสู่ร่างกาย ผมได้แต่ท่องว่า "ตรูจะตายไม่ได้ๆ ฮ่าๆๆ"
ยอมรับเลยว่าการโบกรถเป็นประเภทการเดินทางที่เหนื่อยมากที่สุดของทริปนี้ มันไม่ใช่แค่คำว่าเหนื่อยเท่านั้น แต่มีทั้งความกังวล ความกดดัน สภาพอากาศหนาวเย็น ฝุ่นควันมลพิษ ความคาดหวังต่างๆ ทุกอย่างปะดังปะดาเข้ามารุมล้อมอยู่ในหัวเต็มไปหมด เชื่อมั้ยว่าหลังจากการโบกรถ 4 ชั่วโมงผ่านไป ผมต้องคอยสะกดจิตตัวเองตลอดเวลา บางครั้งถึงขั้นหลอกสมองตัวเอง ถ้าไม่ทำแบบนั้นผมคงยอมแพ้ไปตั้งนานแล้ว ผมคงไม่สามารถยืนโบกอยู่ได้จนถึงตอนนี้หรอก "7 ชั่วโมงครึ่งที่แสนทรหด"
ขอบ่นกับตัวเองแปบ "นี่เราจะโบกรถล้มเหลวตั้งแต่ครั้งแรกเลยหรอ? ถ้าหากครั้งแรกล้มเหลว กำลังใจในการโบกรถครั้งต่อไปคงลดหายลงไปแน่เลย คล้ายๆกับการเสียขวัญ ภาษาใต้เรียก หราบ ดังนั้นผมจะสู้ต่อไปทาเคชิ คืนนี้ผมจะไม่ยอมนอนที่นี่เด็ดขาด ตรูจะไปนอนที่ Voronezh"
16.45 น. ด้วยความเชื่อมั่นว่าวันนี้ผมจะได้นอนที่เมือง Voronezh มีเสียงเรียกจากผู้ชายคนหนึ่งจากด้านหลั
ง
"Hey, What are you doing?(สวัสดี,คุณกำลังทำอะไรอยู่ครับเนี่ย?)"
"Hitchhiking!! You know?(โบกรถ!! คุณรู้จักมั้ย?)"
"Of course, but It's a crazy things for here. Nobody do like this(รู้จักแน่นนอน แต่มันเป็นเรื่องบ้ามากเลยนะสำหรับที่นี่ ไม่มีใครเขาทำแบบนี้กันหรอก)"
เขาบอกให้ผมรอตรงนี้สักครู่และเดินเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อ จากนั้นเดินกลับออกมาพร้อมถาดใบหนึ่ง โดยภายในถาดมีแก้วกาแฟอยู่สองแก้ว "I give you (ผมให้คุณ)" เขายื่นกาแฟมาให้ผมหนึ่งแก้ว ด้วยความซาบซึ้งผมขอบคุณเขาไปยกใหญ่เลย
ผู้ชายคนนี้พาผมไปส่งแค่เพียง 20 กิโลเมตรเท่านั้น จากจุดใหม่ผมต้องใช้เวลาโบกรถต่ออีกประมาณ 3 ชั่วโมง จึงจะมีลุงคนหนึ่งจอดรับผมและพาผมไปส่งถึงเมือง Voronezh
01.30 น. คุณลุงขับรถพาผมมาส่งถึงเมือง Voronezh ในสภาพที่ผมง่วงนอน

เมื่อลงจากรถคุณลุงแล้ว ผมรีบเดินหาทำเลดีๆในการกางเต้นท์นอน ท่ามกลางความมืดมิดผมเจอป่าเล็กๆแห่งหนึ่งข้างถนน ไม่รอช้ารีบควักไฟฉายออกมาจากในเป้ รัดตรงศีรษะ พร้อมกางเต้นท์นอน!!
สรุปการโบกรถจากมอสโก-กรุงทบิลิซี (รัสเซีย-จอร์เจีย) 4 วัน 3 คืน
วันที่1 : Moscow - Voronezh โบกรถ 10 ชั่วโมง
วันที่2 : Voronezh - Rostov-on-Don โบกรถ 4 ชั่วโมงครึ่ง
วันที่3 : Rostov-on-Don - Vladikavkaz โบกรถ 12 ชั่วโมง
วันที่4 : Vladikavkaz - Tbilisi, Georgia โบกรถ 3 ชั่วโมง
- โปรดติดตามตอนต่อไป -
Ep.7 : โบกรถ 7 วัน 6 คืน จากกรุงมอสโก-ทบิลิซี-อิสตันบูล (รัสเซีย-จอร์เจีย-ตุรกี) กว่า 3,000 กิโลเมตร *ตอนที่1*
คงไม่มีประสบการณ์การเดินทางครั้งไหนที่จะน่าตื่นเต้นและน่าหวาดเสียวเท่าครั้งนี้อีกแล้ว ความบ้าระห่ำที่สุดในชีวิตเกิดขึ้นหลังจากได้แรงบันดาลใจจากเพื่อนชาวเยอรมัน การตัดสินใจในครั้งนี้จะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับตัวผมเองได้ตลอดเวลา ไม่มีใครช่วยผมได้นอกจากโชคชะตาและทักษะการเอาตัวรอดของผมเอง
เพื่อนชาวเยอรมันที่เคยใช้ชีวิตสั้นๆร่วมกันในชนบทของรัสเซีย ได้ถ่ายทอดเทคนิคและวิธีการโบกรถให้ผมโดยละเอียด เขาแนะนำให้ผมรู้จักกับเว็บไซต์โบกรถ www.hitchwiki.org ซึ่งสามารถให้ความช่วยเหลือเรื่องเส้นทางในการโบกรถ อีกทั้งยังช่วยวางแผนการโบกรถจากกรุงมอสโควไปยังประเทศจอร์เจียได้อีกด้วย เช่น ควรเลือกเส้นทางไหนจึงจะดีที่สุด? ต้องแวะค้างคืนที่ไหนบ้าง? ถือเป็นเว็บไซต์ที่มีประโยชน์มากเลยทีเดียว
ิ แต่ในรัสเซียไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ จากการสอบถามเพื่อนชาวเยอรมันเขาบอกว่า แทบไม่มีใครกล้าโบกรถในรัสเซียเลย เขากับเพื่อนอีกหนึ่งคนยอมแพ้ตั้งแต่ชายแดนรัสเซียแล้ว เนื่องจากยืนโบกอยู่ 5 ชั่วโมงโดยที่ไม่มีใครจอดรับสักคน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนที่นี่ค่อนข้างไม่เป็นมิตร ถ้าเขาไม่รู้จักคุณมาก่อน คงเป็นเรื่องยากที่เขาจะให้คุณโดยสารรถไปด้วย อีกอย่างหนึ่งคือประเทศรัสเซียค่อนข้างอันตรายเพราะขึ้นชื่อเรื่องของมาเฟีย
จะยังไงก็ช่างแต่ตอนนี้ไม่ทันแล้วครับ ใจมันไปแล้ว ผมออกเดินทางเข้าสู่กรุงมอสโกมาแล้วเมื่อวานนี้ วันนี้ผมต้องเริ่มต้นแผนการทั้งหมดที่วางเอาไว้ โดยเริ่มจากเก็บเต้นท์ที่นำมากางนอนในป่ากลางกรุงมอสโกก่อน จากนั้นแบกเป้เดินไปยังถนนทางหลวงที่จะมุ่งหน้าไปยังเมืองปลายทางของวันนี้ให้ได้
การหาทำเลที่ดีในการโบกรถ มันยากพอๆกับการโบกรถเลยนะ เพราะใช่ว่าจะโบกรถได้ทุกที่ ยิ่งคุณโบกรถในเมืองนี่แล้วใหญ่เลย โอกาสที่จะมีคนจอดรับคุณแทบเป็นศูนย์ อย่าลืมว่าคนที่อยู่ในเมืองส่วนใหญ่ก็จะมีบ้านอยู่ในเมืองนี่แหละ ขับรถวนไปวนมาอยู่ในเมือง อีกทั้งในเมืองมีรถโดยสารสาธารณะเยอะแยะมากมาย เช่น รถแท็กซี่ รถเมล์ รถไฟ ทำไมคุณไม่ไปใช้บริการรถเหล่านั้นหล่ะ "นี่คือความคิดของชาวเมือง"
ดังนั้นเทคนิคแรกที่ใช้ในการโบกรถคือ หาเส้นทางหลวงที่จะไปยังเมืองปลายทางให้เจอ จากนั้นทำยังไงก็ได้เพื่อนำตัวคุณเองออกจากเมืองแต่ยังคงอยู่บนเส้นทางหลวงไปยังเมืองปลายทาง รอยต่อระหว่างจุดเข้าเมืองและออกจากเมืองถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีในการโบกรถ
ถ้าจะให้ดีกว่านี้ พยายามมองหาจุดที่มีพื้นที่จอดรถ จุดที่รถวิ่งไม่เร็วมากนัก จุดที่ไม่เป็นเนินสูงๆต่ำๆ จุดจอดแวะพักรถ เช่น ปั้มน้ำมัน คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น การเริ่มต้นการโบกรถในตรงจุดแวะพักรถถือเป็นโอกาสดีในการเสนอตัวเพื่อขอความช่วยเหลือตรงๆ
ผมใช้เวลาเดินไปยังถนนทางหลวงนอกเมืองประมาณ 2 ชั่วโมง กว่าจะถึงทำเลที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งเป้ที่หนัก 30 กิโลบนหลังผมอีก เดินกันขาลากครับพี่น้อง ทำเลแรกที่ผมเลือกคือปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งบนถนนทางหลวง ซึ่งคิดว่าที่นี่น่าจะเวิร์คที่สุด
เมื่อได้ชื่อเมืองที่จะไปทั้งภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษ ผมเดินเข้าไปถามผู้คนที่เดินไปมาหน้าร้านสะดวกซื้อทันที พร้อมทั้งยกแผ่นชื่อเมืองที่จะไปให้เขาดูด้วย ความหน้าด้านทำให้ผมเดินเข้าไปถามทุกคนโดยไม่เลือกหน้า บอกตามตรงว่าแรกๆเขินมากแต่พอทำไปสักแปบรู้สึกความเขินหายไป
หน้าด้านขอความช่วยเหลือก็แล้ว แต่ทุกคนกลับตอบปฎิเสธ งานนี้ไม่ได้หมูอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ เมื่อเทคนิคนี้ใช้ไม่ได้ผล ผมจึงต้องเปลี่ยนยุทธวิธีในการขอความช่วยเหลือใหม่ จริงๆมันจำใจมากกว่าเพราะหน้าร้านสะดวกซื้อเขาปฎิเสธผมทุกคน
ผมเปลี่ยนมายังจุดขาออกจากปั้มน้ำมัน เพราะคิดว่าช่วงที่คนขับกำลังขับรถออกน่าจะเป็นจังหวะดีที่คนขับสามารถมองเห็นเด็กบ้ายืนโบกรถอยู่ เมื่อเขามองเห็นก็น่าจะจอดรับผมทันที
เเค่คิดหน่ะมันง่าย 3 ชั่วโมงกว่าแล้วกับการโบกรถโดยที่ไม่มีใครจอดรับเลยสักคน แต่ยังดีที่มีรอยยิ้มจากคนขับบ้าง ถือเป็นกำลังใจที่ดีที่ทำให้ผมฮึ๊ดสู้ต่อไป
14.30 น. 5 ชั่วโมงผ่านไปก็ยังไม่มีใครจอดรับสักที ผมเริ่มชักจะรู้สึกถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากยืนนานท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็นของรัสเซีย ความหนาวเริ่มคลืบคลานเข้าสู่ภายใน มันเริ่มเสียวๆตรงหัวใจ "เราจะตายไม่ได้นะบอกกับตัวเอง ฮ่าๆๆ"
16.00 น. เกือบ 7 ชั่วโมงในการโบกรถโดยที่ไม่มีใครจอดรับสักคน อาการเริ่มไม่ค่อยดีเพราะร่างกายเริ่มมีอาการเหน็บชา อากาศเริ่มดิ่งลดลงเข้าสู่อุณหภูมิเลขตัวเดียวอีกทั้งมีลมแรงเข้ามาปะทะตัวตลอดเวลา ยิ่งเพิ่มระดับความหนาวยะเยือกเข้าสู่ร่างกาย ผมได้แต่ท่องว่า "ตรูจะตายไม่ได้ๆ ฮ่าๆๆ"
ยอมรับเลยว่าการโบกรถเป็นประเภทการเดินทางที่เหนื่อยมากที่สุดของทริปนี้ มันไม่ใช่แค่คำว่าเหนื่อยเท่านั้น แต่มีทั้งความกังวล ความกดดัน สภาพอากาศหนาวเย็น ฝุ่นควันมลพิษ ความคาดหวังต่างๆ ทุกอย่างปะดังปะดาเข้ามารุมล้อมอยู่ในหัวเต็มไปหมด เชื่อมั้ยว่าหลังจากการโบกรถ 4 ชั่วโมงผ่านไป ผมต้องคอยสะกดจิตตัวเองตลอดเวลา บางครั้งถึงขั้นหลอกสมองตัวเอง ถ้าไม่ทำแบบนั้นผมคงยอมแพ้ไปตั้งนานแล้ว ผมคงไม่สามารถยืนโบกอยู่ได้จนถึงตอนนี้หรอก "7 ชั่วโมงครึ่งที่แสนทรหด"
ขอบ่นกับตัวเองแปบ "นี่เราจะโบกรถล้มเหลวตั้งแต่ครั้งแรกเลยหรอ? ถ้าหากครั้งแรกล้มเหลว กำลังใจในการโบกรถครั้งต่อไปคงลดหายลงไปแน่เลย คล้ายๆกับการเสียขวัญ ภาษาใต้เรียก หราบ ดังนั้นผมจะสู้ต่อไปทาเคชิ คืนนี้ผมจะไม่ยอมนอนที่นี่เด็ดขาด ตรูจะไปนอนที่ Voronezh"
16.45 น. ด้วยความเชื่อมั่นว่าวันนี้ผมจะได้นอนที่เมือง Voronezh มีเสียงเรียกจากผู้ชายคนหนึ่งจากด้านหลั
ง
"Hey, What are you doing?(สวัสดี,คุณกำลังทำอะไรอยู่ครับเนี่ย?)"
"Hitchhiking!! You know?(โบกรถ!! คุณรู้จักมั้ย?)"
"Of course, but It's a crazy things for here. Nobody do like this(รู้จักแน่นนอน แต่มันเป็นเรื่องบ้ามากเลยนะสำหรับที่นี่ ไม่มีใครเขาทำแบบนี้กันหรอก)"
เขาบอกให้ผมรอตรงนี้สักครู่และเดินเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อ จากนั้นเดินกลับออกมาพร้อมถาดใบหนึ่ง โดยภายในถาดมีแก้วกาแฟอยู่สองแก้ว "I give you (ผมให้คุณ)" เขายื่นกาแฟมาให้ผมหนึ่งแก้ว ด้วยความซาบซึ้งผมขอบคุณเขาไปยกใหญ่เลย
วันที่1 : Moscow - Voronezh โบกรถ 10 ชั่วโมง
วันที่2 : Voronezh - Rostov-on-Don โบกรถ 4 ชั่วโมงครึ่ง
วันที่3 : Rostov-on-Don - Vladikavkaz โบกรถ 12 ชั่วโมง
วันที่4 : Vladikavkaz - Tbilisi, Georgia โบกรถ 3 ชั่วโมง