JJNY : 4in1 เทียบแถลงการณ์‘แพทยสภา’│‘เยียวยา’ไม่ใช่‘โปรยทาน’│พิชัยเตือนวัคซีนช้า ศก.ฟื้นช้า│ทัพเมียนมาขู่ ห้ามหมิ่นนายพล

ชาวเน็ตขุด! เทียบแถลงการณ์‘แพทยสภา’ ชัดๆ ปี 56 กับปี 64 หลังแสดงจุดยืน 
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_5956585

ชาวเน็ตติง! แถลงการณ์ แพทยสภา มีท่าทีกล่าวโทษผู้ชุมนุมว่ายั่วยุ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง และเพิกเฉยต่อกลุ่มที่ไม่ใช่บุคลากร
 
เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 64 ชาวเน็ตในโซเชียลมีเดีย ได้แชร์ภาพแถลงการณ์แพทยสภา โดยมีการเปรียบเทียบระหว่าง แถลงการณ์แพทยสภา ฉบับปี พ.ศ. 2556  และฉบับปี พ.ศ.2564 ซึ่งพบว่า มีความแตกต่างกันในรายละเอียดและจุดยืนอย่างเห็นได้ชัด
 
สำหรับแถลงการณ์ ปี 2564 มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก และ ถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า แก่นของแถลงการณ์ มุ่งเน้นเพียงคำว่า “ยั่วยุ” เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ กล่าวโทษว่า สาเหตุความรุนแรงมาจากกลุ่มผู้ชุมนุม กล่าวโทษว่า ผู้ชุมนุมละเมิดกฎหมาย และกล่าวโทษว่า ไม่ระมัดระวังตัวเอง ทั้งยังยอมรับต่อการใช้ความรุนแรงที่เหมาะสม และต่อต้านการใช้ความรุนแรงเฉพาะกับกลุ่มทางการแพทย์เท่านั้น แต่ไม่ได้ต่อต้านการใช้ความรุนแรงโดยทั่วกัน ซึ่งประชาชนคาดหวังว่า กลุ่มวิชาชีพแพทย์ ควรจะมีการตอบรับที่มี มนุษยธรรม มากกว่านี้
 
โดย ในแถลงการณ์ฉบับ ปีพ.ศ.2556 ระบุว่า 
 
“แถลงการณ์ แพทยสภา เนื่องจากขณะนี้ เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นในประเทศ มีการใช้อาวุธทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง แพทยสภา ขอให้ทุกฝ่ายหยุดทำร้ายบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงรถพยาบาล ตามหลักกาชาดสากล และ ขอให้บุคลากรทางการแพทย์ ที่เข้าไปปฏิบัติการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ต้องไม่มีการเลือกฝ่าย ต้องถือความเป็นกลาง มีคุณธรรมจริยธรรม ปฏิบัติตามจรรยาบรรณแพทย์ไทยอย่างเคร่งครัด
  
อนึ่ง แพทยสภา ขอแสดงความชื่นชมต่อบุคลากรทางการแพทย์ ที่เสียสละและมีจิตอาสาเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในครั้งนี้ โดยมิได้หวังผลตอบแทนใด ๆ
  
ศาสตราจารย์นายแพทย์สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา 27 ธันวาคม 2556”
  
ขณะที่แถลงการณ์ฉบับปี พ.ศ.2564 ระบุว่า 
 
“แถลงการณ์อนุกรรมการบริหารแพทยสภา เนื่องจากขณะนี้เกิดเหตุการณ์ชุมนุมโดยกลุ่มคน หลายครั้งในประเทศไทย จนเป็นเหตุให้ประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ และอาสาสมัครทางการแพทย์ ได้รับบาดเจ็บ ดังปรากฏอย่างต่อเนื่อง กรรมการบริหรแพทยสภาในฐานะองค์กรวิชาชีพทางด้านสุขภาพ ขอแถลงจุดยืนเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว คือ
 
1. ขอแสดงความไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่เป็นการยั่วยุ การละเมิดกฎหมาย และการใช้กำลังที่เกินความเหมาะสมของทุกฝ่าย ซึ่งอาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้น ส่งผลต่อสุขภาวะของผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชนชนที่อยู่ในบริเวณ หรือสัญจรผ่านพื้นที่ใกล้เคียง
 
2. ขอให้ทุกฝ่ายให้เกียรติและระมัดระวังที่จะไม่ทำให้เกิดอันตราย หรือความเสียหายใด ๆ ต่อบุคลากร และอาสาสมัครทางการแพทย์ ตลอดจนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และรถพยาบาลตามหลักกาชาดสากล
 
3. ขอหน่วยงานที่รับผิดชอบ จัดให้มีระบบการให้การดูแลทางการแพทย์ที่เหมาะสม มีการติดสัญลักษณ์ที่ระบุว่าเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ชัดเจน เพื่อให้บุคลากรเหล่านี้ สามารถปฏิบัติการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้อย่างปลอดภัย ตามหลักสากล ที่สำคัญคือ ไม่เลือกปฏิบัติ ยึดถือความเป็นกลาง มีคุณธรรม จริยธรรม และปฏิบัติตามจรรยาบรรณของวิชาชีพอย่างเคร่งครัด
 
4. ขอแสดงความชื่นชมต่อบุคลากรและอาสาสมัครทางการแพทย์ทุกท่าน ที่เสียสละและมีจิตอาสาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ชุมนุมต่าง ๆ โดยมิได้หวังผลตอบแทนใด ๆ
 
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา ประธานอนุกรรมการบริหารแพทยสภา 15 กุมภาพันธ์ 2564
 

 
‘เยียวยา’ ไม่ใช่ ‘โปรยทาน’ เสียงสะท้อนประชาชนผ่าน ‘เราชนะ’
https://voicetv.co.th/read/_gGKNaGXq
 
ประชาชน สะท้อนลงทะเบียนโครงการ ‘เราชนะ’ ซ้ำซ้อน เปรียบเหมือนการ ‘โปรยทาน’ วอนเยียวยาให้ตรงจุด หลังกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษแห่ลงทะเบียนวันแรกแน่นธนาคารกรุงไทย
 
ภายหลังที่เปิดให้ประชาชนกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ อาทิ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ที่เข้าไม่ถึงระบบอินเทอร์เน็ต หรือ สมาร์ตโฟน สามารถลงทะเบียนขอรับการเยียวยาในโครงการ ‘เราชนะ’ ที่สาขาของธนาคารกรุงไทยทั้งประเทศวันนี้ (15 ก.พ. 2564) เป็นวันแรก พบว่า มีประชาชนจำนวนมากเดินทางไปลงทะเบียนต่อเนื่อง ตั้งแต่ที่สาขายังไม่เปิดทำการ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่เข้าไม่ถึงสมาร์ตโฟน
 
ลงทะเบียนซ้ำซ้อน
 
หนึ่งในผู้ที่พาแม่ซึ่งต้องนั่งรถเข็นมาลงทะเบียนวันนี้ ระบุว่า เดินมาถึงธนาคารกรุงไทย สาขาสะพานขาว ในเวลา 07.00 น. ซึ่งตนเองมีบ้านอยู่มีนบุรี แต่ต้องมารับแม่ที่อยู่แยกมหาราช เพื่อพามาลงทะเบียนรับสิทธิดังกล่าว โดยเธอมองว่าการลงทะเบียนครั้งนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากต่อทั้งตนและแม่ของเธอ ถือเป็นการลงทะเบียนที่ซ้ำซ้อน ไม่สะดวกต่อผู้สูงอายุที่ต้องนั่งรถเข็น ทั้งที่รัฐบาลมีข้อมูลอยู่แล้ว จากการสำรวจผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือคนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เหตุใดจึงไม่นำข้อมูลที่มีอยู่แล้วออกมาใช้ เพื่อลดความซ้ำซ้อนและลดความแออัด ณ จุดที่ลงทะเบียน
 
โดยส่วนตัวมองว่าหน่วยงานรัฐมีบุคลากรมากเพียงพอ ในเมื่อมีสถิติในการสำรวจ มีจำนวนคน และมีกลุ่มประเภทที่ชัดเจนตามที่ได้สำรวจเอาไว้ ดังนั้นควรช่วยเหลือให้ตรงจุด รวมถึงเปิดการลงทะเบียนแบบกระจายมากกว่า เช่น ถ้าเป็นคนบ้านยากไร้ ไม่มีบ้านก็ควรมีจุดบริการ อาทิ บริเวณพื้นที่สนามหลวง เพื่อให้คนกลุ่มดังกล่าวเข้าถึงการช่วยเหลือได้ครบถ้วน และสามารถนำเงินไปใช้จ่ายในพื้นที่รอบๆที่เขาอยู่ได้เลยน่าจะมีความสะดวกมากกว่า
 
“จริงๆเขามีการสำรวจคนแก่ คนพิการ หรือว่าคนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แบบนี้ มันมีรายละเอียดตรงนี้ที่เขาทำกันซ้ำซ้อนกันอยู่ ทำไมไม่เอาข้อมูลตรงนั้นมาใช้”
 
‘เยียวยา’ ไม่ใช่ ‘โปรยทาน’
 
นอกจากนี้ประชาชนยังมองว่า การเยียวยารอบนี้ผ่านโครงการ ‘เราชนะ’ คือ ‘สวัสดิการ’ ซึ่งสวัสดิการคือการช่วยเหลือแบบตรงจุด เปรียบเสมือนของขวัญ หรือเป็นอะไรที่เข้ามาช่วยเหลือ แต่ที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ คือ ต้องมาต่อคิว มาแย่งคิว และต้องมารอ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ตรงจุด รัฐควรจะทันสมัยเหมือนที่ประกาศไว้ แต่กลับเป็นว่ายิ่งโฆษณาว่าทันสมัยเท่าไหร่ แต่การกระทำยิ่งตรงกันข้ามเท่านั้น ได้แต่บอกให้ประชาชนพัฒนา แต่รัฐบาลไม่ได้พัฒนาตามเลย
 
ขณะเดียวกันประชาชนมองว่า ระบบอินเตอร์เน็ตของไทยไม่ได้เสถียรมากพอที่จะรองรับการลงทะเบียนต่างๆ เพื่อเข้าถึงการขอรับสิทธิในการช่วยเหลือที่ผ่านมา เมื่อไม่ได้เสถียรก็เปรียบเสหมือนการ ‘โปรยทาน’ ให้กับประชาชน หรือนับเป็นเพียงการเสี่ยงโชค เสี่ยงดวง ว่าจะได้รับการเยียวยาหรือไม่ เป็นสิ่งที่คาดหวังไม่ได้ หรือได้แต่เฝ้ารอ
 
“เขาเรียกว่าเหมือนพ่อแม่ให้ลูก ให้เอาไปแค่นี้นะ แต่ต้องมารายงานตัวก่อนนะ รู้สึกว่าเราเป็นเด็กนักเรียนอีกรอบ ถูกเช็คชื่อ ข้อมูลถูกต้องหรือไม่ แล้วเราจะให้คุณแค่นี้นะ คุณเอาไปใช้ แล้วเราให้ใช้แบบนี้นะ เรามองว่าอย่างคุณแม่อายุเยอะแล้ว เขาตัดสินได้”
 
‘ย้อนแย้ง’ ลดเสี่ยงเลี่ยงโรค
 
หนึ่งในประเด็นที่ประชาชนสะท้อนออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า การช่วยเหลือครั้งนี้ไม่ตรงจุด จากการที่รัฐบาลบอกว่าไม่ให้เป็นเงินสด เนื่องจากต้องการลดการสัมผัสเงิน เพื่อลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ความเป็นจริงยังมีกลุ่มคนที่ไม่เข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ตอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้เห็นภาพคนหมู่มากต้องมาแออัดเพื่อลงทะเบียนที่สาขาเพียงอย่างเดียว และที่สำคัญคือการช่วยเหลือแบบวงเงินไม่คลอบคลุมการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้วย
 
“มันก็ค่อนข้างย้อนแย้งนะ เพราะบอกว่าไม่ให้เรามาอยู่รวมกันเพื่อจะป้องกัน แต่ที่มาออ แล้วก็นั่งติดๆกันแบบนี้ ถามว่าระยะห่างก็ไม่ได้ห่างนะ สมมติว่าคนนึงไอจามก็ติดได้เหมือนกัน มันตรงข้ามกับสิ่งที่พูด คือเราก็มองการพัฒนาก็คือระบบไม่พัฒนา พัฒนาแต่คำพูด”
 
ล่าสุดกระทรวงการคลังได้ขยายระยะเวลาลงทะเบียนสำหรับประชาชนในกลุ่มดังกล่าวจากที่สิ้นสุดวันที่ 25 ก.พ. เป็น 5 มี.ค. 2564 โดยประชาชนที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติและได้รับอนุมัติจะได้รับวงเงินสิทธิสนับสนุนเป็นรายสัปดาห์ จำนวนไม่เกิน 3,500 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน โดยสามารถใช้จ่ายวงเงินผ่านบัตรประจำตัวประชาชน สำหรับการซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการจากร้านค้าในโครงการธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ร้านค้า ในโครงการคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ และผู้ประกอบการ/ร้านค้า/บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยสามารถสะสมวงเงิน และใช้จ่ายได้ไม่เกินวันที่ 31 พ.ค. 2564
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่