สมัครเรียนอย่างไรให้ติดที่ National University of Singapore (NUS) อันดับ 11 ของโลก

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ยินดีต้อนรับสู่กระทู้ของ nichyhan (นิชชี่ฮาน) วันนี้เราจะมารีวิวการสมัครเรียนอย่างไรให้ติดที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ National University of Singapore (NUS) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 แห่งเอเชีย และอันดับที่ 11 ของโลก [ที่มา QS World University Rankings] เราได้ทำคลิปวิดิโอเล่าเรื่องไว้ด้วยใน Youtube ช่อง nichyhan และเขียนลง บทความใน Medium ซึ่งรายละเอียดบทความจะเหมือนกับในกระทู้นี้นะคะ 



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยนี้มาบ้างในเรื่องของการแข่งขันที่สูงมากที่กว่าจะได้เข้าไปเรียนนั้นอ่านหนังสือเตรียมสอบเลือดตาแทบกระเด็น ยิ่งเฉพาะนักเรียนต่างชาติยิ่งยากมาก เพราะที่นั่งเรียนสำหรับนักเรียนต่างชาติมีจำกัดเพื่อให้นักเรียนสิงคโปร์มีโอกาสเรียน ซึ่งจะแตกต่างกับมหาวิทยาลัยในอังกฤษและอเมริกาที่เปิดที่นั่งให้นักเรียนต่างชาติมากกว่า ซึ่ง บทความใน Quora อันนี้ ได้อธิบายอย่างชัดเจนถึงความยากลำบากในการเข้าไปเรียนอย่างละเอียด

...หลักสูตรที่ไปเรียน…
สาขาที่เราสมัครเรียนต่อคือปริญญาโท MSc Data Science & Machine Learning ซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 โดยตัวหลักสูตรเน้นการเรียนเพื่อจบมาทำงานในสาย Data โดยเฉพาะ และแน่นอนว่าเป็นสาขาฮอตฮิตในยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้ การเรียนเป็นแบบ Coursework ที่ต้องเข้าห้องเรียนตามวิชาและทำงานส่ง ระยะเวลาเรียนคือ 1–2 ปี สำหรับเรียนแบบ Full time

หลักสูตรนี้น่าสนใจตรงที่ว่า มีวิชาบังคับให้เรียนอยู่เพียง 5 วิชา และอีก 5 วิชาเราสามารถเลือกที่จะเรียนในสาขาย่อยดังต่อไปนี้
1. Deep Learning for Data Scientists
2. Data Mining for Industry
3. Big Data for Industry
4. Data science in Computer Vision
5. Data science for Quantitative Finance
6. Data science for the Internet of Things
7. Health Informatics
จะเห็นได้ว่าวิชาเรียนเป็นการเรียนเพื่อ Industry จริงๆ และในหลักสูตรมีวิชาบังคับที่ต้องทำ Project เพื่อกับบริษัทต่างๆ เพราะฉะนั้นหลักสูตรนี้จึงไม่มีทุนการศึกษาจาก NUS เพราะไม่ใช่การเรียนไปเพื่อทำวิจัยต่อระดับปริญญาเอกนั่นเอง

สาขาย่อยที่เราเล็งว่าจะไปเรียนคือ Health Infomatics เนื่องจากเราสนใจเรื่องแนว Healthcare และมาตั้งแต่เด็ก (ที่บ้านก็ทำงานสายการแพทย์กัน) ก็เลยอยากเรียนเจาะลึกทางด้านนี้เลย ในประเทศไทยก็มีหลักสูตรที่คล้ายกันที่เดียวคือที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล ซึ่งเรียนสองปี ใครสนใจเรียนในไทยดูได้ ที่นี่

...ประสบการณ์ด้านวิชาการ (Academic Background) ต้องแน่นขนาดไหนถึงจะสมัครติด…
จากที่กล่าวไปว่าการแข่งขันเข้าเรียนนั้นสูงมาก หากเพื่อนๆหรือน้องๆที่กำลังเรียนปริญญาตรีอยู่ในไทยได้อ่านบทความนี้ก็ขอบอกเลยว่า "ควรได้เกียรตินิยมอันดับ 1" ช่วงที่เราสมัครเรียนป.โท เราไม่ได้สมัครแค่ NUS แต่สมัครมหาวิทยาลัยท็อปๆที่อังกฤษ เช่น Imperial College London (อันดับ 8), UCL (อันดับ 10) ด้วย ซึ่งเกณฑ์ของหลายมหาวิทยาลัยมีการเขียนบอกไว้ว่า ตอนป.ตรีต้องได้เกียรตินิยมอันดับ 1 หรือได้ GPA เกินเกณฑ์ที่เขากำหนดไว้จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในประเทศ สำหรับของ NUS ระบุไว้ว่าเกรดเฉลี่ยต้องเกิน 3.00 ขึ้นไป 

ตัวอย่าง เกณฑ์การรับเข้าศึกษา MSc Artificial Intelligence ของ Imperial College London ระบุว่าต้องได้เกียรตินิยมอันดับ 1
ตัวอย่าง เกณฑ์การรับนักศึกษาเข้าเรียน MSc Data Science ของ UCL ระบุไว้ว่าต้องได้เกรดเกิน 3.3/4.0

ส่วนประสบการณ์การเรียนของเรา เราไม่ได้จบโรงเรียนนานาชาติ… เราจบมัธยมปลายที่โรงเรียนราชินีบน หลักสูตรไทย ซึ่งเรียนไทยมา 14 ปี สมัยนั้นภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยดีมาก แต่เป็นวิชาที่ชอบเรียนที่สุด ตอนต่อระดับปริญญาตรีเลยเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาซอฟต์แวร์และความรู้ (หลักสูตรนานาชาติ) เป็นระยะเวลา 3 ปี

ช่วงระหว่างเรียนได้ไปเห็นว่าภาควิชาวิศวะเครื่องกลมีโปรแกรมแลกเปลี่ยนนักเรียนกับมหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ แต่ภาควิชาคอมพิวเตอร์ยังไม่มี เราเลยเสนอและผลักดันโปรแกรมนี้ พร้อมปรึกษาอาจารย์ จนในที่สุดก็ได้ไปแลกเปลี่ยนที่ Newcastle University ประเทศอังกฤษ ตอนปี 4 ตอนนั้นเราสนใจเกี่ยวกับ Biocomputing เลยเลือกทำโปรเจ็กเกี่ยวกับหัวข้อนี้ ก่อนจบเราต้องส่งโปรแกรม และเขียน Dissertation กว่า 12,000 words คนเดียว พร้อมกับทำงาน Part-time ที่ร้านอาหารไทย เพื่อฝึกภาษาอังกฤษ และหาเงินค่าขนมไปด้วย หลังจากเรียนปี 4 จบก็กลับไทยมาปริญญาของม.เกษตร พร้อมเกรดเฉลี่ย 3.65 เกียรตินิยมอันดับ 1

เรามองว่าการที่ได้แค่เกรดดีพร้อมเกียรตินิยมอันดับ 1 นั้นไม่พอ เราต้องแสดงให้ทางมหาวิทยาลัยเห็นผ่านทางการเขียน Statement of Purpose (ซึ่งจะกล่าวในเร็วๆนี้) ว่านอกจากการเรียนเราทำอะไรไปบ้าง เช่น การริเริ่มทำอะไรใหม่เพื่อมหาวิทยาลัย การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ หรือการเป็นคณะกรรมการสโมสร ฯลฯ

...ประสบการณ์ด้านการทำงานในองค์กร (Professional Background)...
ส่วนตัวแล้วเรารู้สึกว่าประสบการณ์ด้านการทำงานในองค์กรมีผลน้อยต่อการสมัครเรียนที่ NUS ถ้าไม่ใช่คอร์ส MBA ซึ่งในมหาวิทยาลัยหลายที่จะมีเกณฑ์ว่าต้องมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน 3–5 ปี ถึงจะสมัครเรียนได้ สำหรับการเรียนปริญญาโท (Master) สาขาอื่นๆ ไม่ได้ต้องการประสบการณ์การทำงานมากนัก

เนื่องจากเราจบป.ตรีจากมหาวิทยาลัยมานานแล้ว และทำงานด้าน IT ต่อที่บริษัทน้ำมันข้ามชาติแห่งหนึ่งเป็นระยะเวลา 3 ปี 3 เดือน ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่มากระดับหนึ่งและใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานเป็นหลัก เราเลยเลือกที่จะเขียนประสบการณ์และผลงานการทำงานเด่นๆของเราส่งให้มหาวิทยาลัยด้วย เพราะรู้สึกว่าถ้าเขียนแค่ประสบการณ์เรียนป.ตรีมันไม่ยิ่งใหญ่พอ สิ่งหนึ่งที่เราแปลกใจคือเวลาสมัครเรียนในหลายๆที่ เขาจะถามถึง “เงินเดือน” ในแต่ละตำแหน่งที่เราทำ เราเดาว่าเขาอาจจะวัดว่าผู้สมัครมีความสามารถการทำงานอย่างไรจากเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับผลประเมินงานของเรานั่นเอง ในส่วนของเราปรับขึ้นประมาณ 13%, 20%, 15% ในเวลาสามปีที่ทำงานมา

...จดหมายแนะนำจำเป็นไหม?...
โดยปกติแล้วเวลาสมัครมหาวิทยาลัยดังๆผู้สมัครจะต้องยื่นจดหมายแนะนำ (Recommendation Letter) จากอาจารย์หรือหัวหน้าด้วย ถ้าเป็นคอร์ส MBA จะใช้จดหมายจากหัวหน้างานเป็นหลัก แต่ถ้าเป็น Master อื่นก็จะเน้นจดหมายจากอาจารย์ ซึ่งระบุว่าสมัยเราเรียนและทำโปรเจ็กเป็นอย่างไรบ้าง

ถึงแม้ว่าสาขา Data Science ของ NUS จะระบุในหน้าเว็บว่าไม่ได้ต้องการหนังสือแนะนำก็ตาม แต่เราขอให้อาจารย์และหัวหน้างานเขียนจดหมายแนะนำให้ด้วย โดยได้จากอาจารย์ 1 ฉบับ และจากหัวหน้างานสองท่านอีก 2 ฉบับ (ภาษาอังกฤษทุกฉบับ) เป็นเอกสารประกอบเพิ่มเติมไป เพราะเวลาสมัครเรียนมหาวิทยาลัยดังๆที่อังกฤษก็ต้องใช้จดหมายแนะนำเช่นเดียวกัน ซึ่งเราเดาว่าปัจจัยนี้ก็มีส่วนที่ทำให้เราถูกเรียกตัวสัมภาษณ์ค่อนข้างรวดเร็วหลังจากยื่นสมัครเรียนไป

...การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ…
ปกติการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษมาตรฐานสำหรับเรียนต่อมีสอบระบบคือ ระบบ IELTS ที่ใช้สำหรับเรียนต่อประเทศในเครือสหราชอาณาจักร (UK) และ TOEFL ที่ใช้สำหรับเรียนต่อประเทศอเมริกา สำหรับบทความนี้ขออธิบายเฉพาะ IELTS เนื่องจากเราเคยไปอยู่อังกฤษมาเลยถนัดสอบ IELTS มากกว่า

ในหน้าเว็บ NUS เขียนไว้ว่านักเรียนต่างชาติควรจะได้ IELTS 6.0 ขึ้นไป ส่วน TOEFL มากกว่า 580 (Paper-based) หรือ 85 (Internet-based) แต่คะแนน 6.0 มันพอที่จะทำให้เราสมัครเรียนติดไหม คำตอบง่ายๆเลยคือ “ไม่น่าจะติด” เพราะอย่าลืมว่าเพื่อนๆกำลังลงแข่งกับนักเรียนสิงคโปร์ผู้ซึ่งพูดภาษาอังกฤษกันน้ำไหลไฟดับ ถ้าใครเคยทำงานกับคนสิงคโปร์จะรู้เลยว่า คนไทยพูดไม่ทันพวกเขาหรอก เพราะฉะนั้นควรทำคะแนนให้สูงกว่าเกณฑ์ที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้

เราสอบ IELTS แบบ Internet-based เนื่องจากรอบแรกที่เคยสอบตอนไปเรียนที่อังกฤษเรายังสอบในกระดาษและเจอปัญหาว่าเวลาเขียน Writing เราลบไปลบมาเสียเวลาและเขียนไม่ทัน การสอบในคอมพิวเตอร์เลยสะดวกกว่ามาก และเหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ถนัดการพิมพ์คอมอยู่แล้ว ส่วนคะแนนของเราเฉลี่ยอยู่ที่ 7.0 ซึ่งเป็นระดับที่บอกว่าแค่ Good เท่านั้น

...การสอบวัดระดับเพื่อเรียนป.โท…
ข้อสอบอีกสองตัวที่พลาดไม่ได้สำหรับการเรียนต่อป.โทที่มหาวิทยาลัยดังๆเลยคือ GMAT และ GRE ซึ่งเป็นข้อสอบวัดความรู้ด้านคณิตศาสตร์ การวิเคราะห์ การใช้ภาษาอังกฤษ และการเขียน ซึ่งบอกเลยว่ายากกว่า IELTS และ TOEFL หลายเท่าตัวมากๆๆๆๆๆ เพราะเป็นข้อสอบที่ออกมาเพื่อวัดความรู้ความเข้าใจภาษาอังกฤษของ Native speakers โดยแท้ทรู หากใครเคยลองเปิดข้อสอบเก่าดูจะพบกับคำศัพท์ที่เกิดมาชีวิตนี้ฉันไม่เคยเจอและไม่คิดจะเจอที่ไหนด้วย เหมือนหลุดออกมาจากวรรณคดีทั้งนั้น

ความแตกต่างระหว่างสองตัวนี้คือ GMAT จะใช้ยื่นใน Business School ส่วน GRE จะใช้ยื่นในคณะอื่นๆ สำหรับ NUS เขาเขียนอธิบายในนี้ไว้ว่าควรมีผลสอบระดับป.โทมาด้วย แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้สอบซักตัวทั้งๆที่ซื้อหนังสือมาทำโจทย์และท่องศัพท์ไว้หลายเดือนเพราะเตรียมตัวสอบไม่ทัน ต้องรีบยื่นสมัครเรียนพอดี

สำหรับใครที่ไม่ได้เรียนสาย Computer Science, Engineering, Maths, Statistics, Physhics มันสำคัญนะที่จะต้องมีคะแนน GRE เพราะอย่างน้อยเพื่อนๆต้องสอบวิชาเลข ซึ่งเป็นเลขระดับม.ต้น-ม.ปลาย ส่วนนี้สำหรับคนไทยคือไม่ยากเลยน่าจะทำกันได้สบายๆ ที่จะไปพลาดกันคือส่วนของวิชาภาษาอังกฤษนั่นเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่