สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาขอแต่งเรื่องสั้นดู โดยการอ้างอิงจาก เรื่องสั้น ความรักของ เดือนเอก ซึ่งไม่รู้ว่าพี่แกเอาชีวิตรักในอดีตของตัวเองมาเขียนหรือเปล่า อิอิ
เลยมาขอถ่ายทอดในมุมมองของเรา
อาจจะแต่งได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ต้องขออภัยให้มือใหม่พยายามหัดแต่งด้วยนะเจ้าคะ
วันนี้ ก็เหมือนทุกวัน ที่ฉันต้องตื่นแต่เช้า เพื่อไปทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ขณะที่ฉันเดินผ่านบริเวณ
ที่มีม้าหินอ่อนให้นั่งพักอยู่ตามซุ้มต่างๆของที่นั่งแต่ละสาขานั้น สายตาของฉัน ก็บังเอิญไปเห็นใครคนหนึ่ง ที่แสนจะคุ้นตา ใครคนหนึ่งซึ่งคงเป็นคนที่ฉันยังคงคิดถึงและยังจดจำไม่เคยลืมเสมอมา
เรื่องราวต่างๆในอดีต ผ่านเข้ามาอีกครั้ง
ย้อนกลับไปในสมัยมัธยมปลาย ณ โรงเรียนประจำจังหวัด
ตอนนั้นฉันเป็นเพียงสาวน้อยหน้าตาสดใส ตาตี่ๆ
ไว้ผมม้า ใส่แว่นตากลมโตแบบโบราณ หัวเราะเสียงดัง ผิวขาวเพราะเป็นลูกคนเชื้อสายจีน ชอบทำตัวติ๊งต๊อง โก๊ะๆ เปิ่นๆ ซุ่มซ่าม ไร้ความอ่อนหวาน เป็นม้าดีดกะโหลก ไม่สุภาพเรียบร้อย ไร้ซึ่งความสวย เพื่อนๆชอบบอกฉันว่าฉันสวยนะ ถ้าเอาแว่นส่องจุลทรรศน์มาส่องดู ไม่เหมือน
เหมือนกับสาวที่อยู่รายล้อมรอบๆตัวเขาที่ทั้งสวย น่ารัก อ่อนหวาน น่าทะนุถนอม
ส่วนตัวเขาคนนั้นน่ะเหรอ เป็นคนที่ค่อนข้างหล่อ ดูดี เป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงจังกับทุกเรื่อง
เขาเป็นคนที่ทำกิจกรรมทุกอย่าง
เล่นกีฬา เรียนเก่ง เล่นดนตรีไทย แต่งกลอนเก่ง ถือว่าครบเครื่องทุกอย่าง ทำให้มีสาวไม่คอยตามกรี๊ดอยู่เสมอ
เขามักจะชอบเอาการบ้านมานั่งทำในห้องอยู่เสมอ พอถึงตอนที่ฉันมีเวรต้องทำความสะอาดซี่งเขามักจะทำการบ้านเสร็จพอดี ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเขาอยากใกล้ชิดฉัน ก็เข้ามาช่วยยกเก้าอี้ขึ้นโต๊ะจนเสร็จ
"ขอบใจนะ”
ฉันทำทีเป็นเอาไม้กวาดในมือกวาดขยะที่อยู่รอบๆเอ่ย เสียงเบาๆ พร้อมขยับแว่น
เมื่อเก้าอี้ตัวสุดท้ายถูกเขายกขึ้นจนเสร็จ พร้อมรับหมุนตัวถอยห่างเขา แต่ท่ากลับตัวบนพื้นไม้ขัดมันที่ลื่นด้วยถุงเท้านักเรียน
ทำให้ฉันเสียหลักตัวเอียงโยนไม้กวาดขึ้นไป หลายๆท่านอาจจะคิดว่า จะมีฉากพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอกเหมือนในนิยายใช่มั้ยหล่ะ ต้องเสียใจด้วย เพราะ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีเลยจริงๆ
อ้อแต่ความจริงก็มีนะ พอฉันร้องเฮ้ยจบ เขาคนนั้นก็เดินเข้ามาถามว่า
เป็นอะไรไหมยัยหมวยเปิ่น?
ลองมาล้มเองบ้างไหมหล่ะ
ฉันไม่เอ่ยปากพูดออกไปนะเพียงเเค่คิดในใจ แล้วก็รีบลุกเก็บไม้กวาดแล้วรีบคว้าเอากระเป๋าบนโต๊ะเดินปิดหน้า แล้วเดินดุ่มๆออกไป ด้วยความทั้งเจ็บ ทั้งอาย ทั้งเขิน ยัยบ้าเอ้ย ไม่เคยจะทำตัวให้เค้าประทับใจเลยสักครั้ง มีแต่ทำตัวเปิ่นตลอด
ในคืนนั้น ไม่รู้ว่าอะไรบางอย่างมาดลใจ ให้ฉันตัดสินใจหยอดเหรียญตู้โทรศัพท์สาธารณะโทรไปขอเพลงเรามีเราของพี่แหวน กับพี่ดีเจเพื่อมอบให้กับเขาคนนั้น เพราะรู้มาว่าเขามักจะชอบฟังวิทยุก่อนนอน โดยขอให้พี่ดีเจเปิดเพลงนี้ก่อนปิดสถานี
ครับสำหรับสายที่โทรเข้ามาขอเพลงเรามีเราเพลงสุดท้ายวันนี้นะครับ
ขอมาจากเด็กหญิงหลังห้องคนหนึ่ง อยากจะบอกคุณ........ม.6/1 รร..........
ว่า ขอบคุณนะวันนี้ ขอให้นอนหลับฝันดีนะครับ”
พอฉันได้ฟังพี่ดีเจพูดจบ ฉันก็ยิ้มและนอนหลับไปอย่างฝันดี
วันเวลาผ่านไป จนกระทั่ง ในวันใกล้ปิดภาคเรียนที่สองหรือเทอมสุดท้ายของปีการศึกษาซึ่งเป็นปีสุดท้ายของเขากับฉันในโรงเรียนแบบสหศึกษา
เมื่อผลการสอบโควตาของมหาวิทยาลัยมาถึงที่โรงเรียน ชื่อของเขาได้ถูกเรียกให้ไปยืนหน้าเสาธง
เขาเป็นนักเรียนสิบกว่าคนที่ได้เข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในคณะวิศวกรรมศาสตร์
พร้อมๆกับเพื่อนคนอื่นๆ ในคณะและสาขาที่เลือกแตกต่างกันออกไป
ส่วนฉันซึ่งเลือกที่จะไปสอบเอนทรานซ์ต่อเพราะไม่ติดในคณะที่อยากเรียนในระบบโควต้าภาคครั้งนี้ได้แต่นั่งมองเขาตาแป๋วพร้อมส่งยิ้มให้เมื่อเห็นเขามองมา
ช่วงเช้าหลังแยกแถว
ความโกลาหลก็เกิดขึ้นในห้องเรียนของชั้นมัธยมปีที่3และปีที่6 ทุกห้อง
ภาพของเด็กนักเรียนชายหญิงเดินกันวุ่นวาย
ในมือถือสมุดเฟรนด์ชิป และปากกาสีต่างๆ
รวมทั้งสติ๊กเกอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรูปหัวใจ
และของที่ระลึกประเภทตุ๊กตาหรือดอกไม้เท่าที่จะหามาได้
เสื้อขาวของเครื่องแบนักเรียน
ก็กลายเป็นที่ลงชื่อและที่แสดงความรู้สึกของเพื่อนๆ
ที่อยากจะเข้ามาเขียนความรู้สึกให้ในวันสุดท้ายที่จะได้เจอกันในโรงเรียน
พวกสาวๆก็เขียนด้วยตัวเล็กๆน่ารัก ตามประสาวัยรุ่นในยุคนั้นส่วนที่ใช้สีออกจะเลอะเทอะนั้นคงเป็นเพื่อนผู้ชายที่บางครั้ง แอบเขียนคำสัปดนคำใหญ่ๆให้หัวเราะกัน
โดยที่บางคนแอบยิ้มนึกว่าสาวๆในโรงเรียนทำไมส่งยิ้มให้มากกว่าปกติในวันนี้ เนื่องจากไม่รู้ว่าตัวอักษรถูกเขียนจากด้านหลังของเสื้อที่ไม่สามารถมองเห็นได้นั้นคือคำว่าอะไร
ฉันเห็นเขานั่งลงที่เก้าอี้
หลังจากที่ไปลงชื่อในสมุดเฟรนด์ชิปของเพื่อนผู้หญิงเกือบทุกคนแล้ว
ฉันจึงไปวานให้เพื่อนหนุ่มหัวใจสาวนามว่ามานพ ที่ชอบมาแอบแซวฉันบ่อยๆให้ไปบอกเขาให้นั่งนิ่งๆหน่อย ก่อนที่ฉันจะเห็นเพื่อนสาวของฉันโอบกอดเขาไว้
จากนั้นฉันจึงเดินเข้าไปเขียนบนเสื้อว่า
ดีใจด้วยนะหวังว่าคงได้เจอกันอีก
ฉันไม่ได้ลงชื่อ
แต่เขียนรูปแว่นตากลมๆไว้
พร้อมเส้นโค้งข้างล่างที่ทำเป็นรูปรอยยิ้มเล็กๆทิ้งไว้
พอเขียนเสร็จ ฉันก็รีบเดินออกไป
วันเวลาผ่านไป ..จนกระทั่ง เขาได้เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ภาคอิสาน
ส่วนฉันได้เข้าเป็นนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก
ด้วยความที่อยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร ฉันจึงตัดสินใจเขียนจดหมายไปหาเขา
ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาทุกครั้ง เราสองคน คุยกัน ในยุคที่โทรศัพท์ตั้งโต๊ะจับเวลาเป็นนาทีตามหน้าหอ ส่วนใหญ่เราสองคนจะคุยกันผ่านทางจดหมาย
บางทีเขาก็ส่งกลอนมาให้ฉัน คอยห่วงใย ใส่ใจสารพัด เช่น
ฝากดวงดาว ที่พร่างพราว บนฟากฟ้า
เป็นดวงตา คอยเฝ้ามอง แทนตัวฉัน
ฝากสายลม ช่วยดูแล ใส่ใจกัน
ฝากดวงจันทร์ บอกเธอว่า คิดถึงจัง
เนี่ยส่งมาแบบนี้ทุกฉบับ ใครไม่หวั่นไหวก็บ้าแล้ว แต่ฉันก็ไม่กล้าคิดไปไกลหรอกนะ เพียงได้คุยกันแค่นี้ ก็ดีมากมายแล้วสำหรับฉัน
ในทุกๆวัน ฉันจะต้องมานั่งรอไปรษณีย์มาส่งจดหมายของเขา ในช่วงเวลาที่รอ จดหมายจากเขา แม้ว่ามันจะยาวนานแต่มันก็เป็นการรอคอยที่แสนจะคุ้มค่าที่จะรอ
วันเวลาผ่านไป จนฉันใกล้จะเรียนจบ และกำลังฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ด้วยความที่อยากอยากจะรู้ความนัยใจของเขา ว่ามีฉันอยู่บ้างไหมในหัวใจดวงนั้น ฉันจึงตัดสินใจ เขียนจดหมายไปลองใจเขาว่า
ฉันได้ไปแอบชอบรุ่นพี่ที่ทำงานที่ฉันฝึกงานอยู่ แต่ไม่กล้าจะบอกพี่เขา เลยจึงส่งจดหมายมาปรึกษาเพื่อนคนนี้ว่าจะทำอย่างไรดี
หลังจากที่ส่งจดหมายไปแล้ว ฉันก็ได้แต่เฝ้านับวันเวลา ตั้งหน้าตั้งตา เฝ้ารอ การตอบกลับของเขาอย่างใจดใจจ่อ
และเเล้วจดหมายฉบับนั้นก็มาถึง เธอรีบแกะจดหมายฉบับนั้นอ่านอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มหวาน
เพียงเพื่อจะเห็นว่า เขาคนนั้น จะบอกให้เธอเปลี่ยนใจ และบอกความนัยใจของเขามา แต่พอเปิดจดหมายขึ้นมาอ่าน กลับพบเขาเขียนตอบมาว่า
ขอให้เธอทำตามหัวใจเธอ เพราะเพื่อนคนนี้ยินดีเสมอที่เธอมีความสุข
ถ้อยคำดูเรียบง่ายแต่ฉันไม่อยากจะคิดว่ามันแฝงด้วยความรู้สึกใดเจือปนมาอีกหรือเปล่า?
เรื่องราวต่างๆ ผ่านเข้ามาอีกครั้ง
ตั้งแต่ จดหมายฉบับแรก
หมวกไหมพรม
เสื้อกันหนาวที่ถักให้
ภาพที่ต้องไปอัดรูปที่ร้านเพื่อที่จะได้ส่งไปให้ดูว่าไปไหนทำอะไรมาบ้าง
ไม่เคยรู้เลยเหรอ ว่าอยากจะบอกว่าอะไร?
ทำไมผู้ชายเป็นพวกติดเพื่อนฝูงขนาดนี้เลยเหรอ?
ไม่เคยรับรู้ใส่ใจอะไรเลย
ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยเหรอ ?
แหละนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้คุยกัน
หลังจากวันนั้น ฉันก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากเขาอีกเลย จนกระทั่งวันนี้ วันที่ฉันมาเห็นเขาโดยบังเอิญอีกครั้ง ขณะที่ฉันกำลังตัดสินใจว่าจะทำยังไงต่อไปดี จะเข้าไปทักทายดีไหม
ทันใดนั้น
ก็มีร่างเล็กๆของเด็กผู้หญิงวัย5ขวบ เหมือนส่งเสียงเรียกฉันว่าแม่ให้หันกลับไป เธอวิ่งมาหาพร้อมอ้าแขนเข้ามาที่ฉัน
ฉันหันกลับมาแล้วอ้าแขนรอ
เด็กผู้หญิงวิ่งเข้าไปกอดแล้วยืนนิ่งสักครู่พร้อมส่งรอยยิ้มที่ใครมองเห็น
ก็สามารถดูออกได้เลยว่ามีความสุขอย่างแน่นอน
สักพักก็มีผู้ชายหน้าตาดีใส่เสื้อกาว์นเดินตามมาสมทบเราสองคนแม่ลูก
พร้อมกับโอบเราทั้งสองคน พร้อมกับพูดว่า
"ว่าไงจ้ะแม่จ๋า พ่อจ๋าเห็นแม่จ๋า ยืนมองอะไรอยู่เหรอ "
ใช่ค่ะเขาคนนี้คือสามีของฉันเอง หลังจากได้รับจดหมายฉบับนั้น พออีกไม่กี่วัน ฉันก็เลยรีบขึ้นรถเมล์ไปหาเขาที่มหาวิทยาลัย แต่กลับพบว่า เขาคนนั้นมีสาวสวยอยู่เคียงข้างกาย ฉันจะไม่คิดอะไรมากเลย ถ้าไม่ได้เห็นเธอคนนั้น เดินควงแขนเขาออกมาจากห้องของเขาคนนั่น ฉันก็เลยหอบใจที่เจ็บกลับมหาวิทยาลัย
หลังจากวันนั้นหลังจากที่เรียนจบและได้ไปทำงานที่ทางอิสาน ก็มีคนมาตามจีบฉันอยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพี่หมอแต่ฉันก็ไม่เคย ตกลงปลงใจกับใคร
จนกระทั่ง 5 ปีที่แล้ว ด้วยความดีของพี่หมอ ก็เอาชนะใจฉันได้ ฉันจึงได้ตัดสินใจลงมือสร้างครอบครัวกันจนมีเจ้าหญิงน้อยคนนี้
ฉันหันมายิ้มให้พี่หมอ พร้อมตอบว่า
แม่จ๋าเหมือนเจอคนรู้จักค่ะพ่อจ๋า นี่ก็เริ่มสายแล้ว เรารีบเข้าไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสายไปกว่านี้ แม่จ๋าจะเข้าสอนไม่ทัน
พูดจบก็พากันเดินจูงมือกันออกไป
ใจจริงฉันก็อยากจะเข้าไปทักทายเขานะ แต่ดูเขาทำเหมือนไม่อยากจะมาหา มาทักทายฉันเท่าไหร่
ฉันอยากจะบอกเขาเหลือเกิน แต่ก็ทำได้เเค่เพียงบอกแค่ในใจ ว่า
ยังรักและคิดถึงเสมอ รักแรกของฉัน
วันเวลาผ่านไป เกือบๆครึ่งปี ฉันก็ได้รับการ์ดเชิญไปงานแต่งของมานพ เอ๊ะไม่ใช่สิ ตินนี้นางเปลี่ยนชื่อ เป็นเมนี้แล้ว เเละเจ้าบ่าวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคนนั้นนั้นแหละ ทั้งคู่ควงแขนกันมาแจกการ์ด ฉันกับเขาได้เปิดใจคุยกัน ถึงอดีตที่ ผ่านมา เขาบอกว่า ที่เลือกแต่งกับเมนี้ก็เพราะว่า
ผู้ชายย่อมเข้าใจผู้ชายด้วยกัน
ฉันดีใจกับเพื่อนรักทั้งสองด้วยใจจริง และสัญญาว่า จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป ไม่มีวันทอดทิ้งกัน
เรื่องสั้น ความรัก ตอน รักครั้งแรก
เลยมาขอถ่ายทอดในมุมมองของเรา
อาจจะแต่งได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ต้องขออภัยให้มือใหม่พยายามหัดแต่งด้วยนะเจ้าคะ
วันนี้ ก็เหมือนทุกวัน ที่ฉันต้องตื่นแต่เช้า เพื่อไปทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ขณะที่ฉันเดินผ่านบริเวณ
ที่มีม้าหินอ่อนให้นั่งพักอยู่ตามซุ้มต่างๆของที่นั่งแต่ละสาขานั้น สายตาของฉัน ก็บังเอิญไปเห็นใครคนหนึ่ง ที่แสนจะคุ้นตา ใครคนหนึ่งซึ่งคงเป็นคนที่ฉันยังคงคิดถึงและยังจดจำไม่เคยลืมเสมอมา
เรื่องราวต่างๆในอดีต ผ่านเข้ามาอีกครั้ง
ย้อนกลับไปในสมัยมัธยมปลาย ณ โรงเรียนประจำจังหวัด
ตอนนั้นฉันเป็นเพียงสาวน้อยหน้าตาสดใส ตาตี่ๆ
ไว้ผมม้า ใส่แว่นตากลมโตแบบโบราณ หัวเราะเสียงดัง ผิวขาวเพราะเป็นลูกคนเชื้อสายจีน ชอบทำตัวติ๊งต๊อง โก๊ะๆ เปิ่นๆ ซุ่มซ่าม ไร้ความอ่อนหวาน เป็นม้าดีดกะโหลก ไม่สุภาพเรียบร้อย ไร้ซึ่งความสวย เพื่อนๆชอบบอกฉันว่าฉันสวยนะ ถ้าเอาแว่นส่องจุลทรรศน์มาส่องดู ไม่เหมือน
เหมือนกับสาวที่อยู่รายล้อมรอบๆตัวเขาที่ทั้งสวย น่ารัก อ่อนหวาน น่าทะนุถนอม
ส่วนตัวเขาคนนั้นน่ะเหรอ เป็นคนที่ค่อนข้างหล่อ ดูดี เป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงจังกับทุกเรื่อง
เขาเป็นคนที่ทำกิจกรรมทุกอย่าง
เล่นกีฬา เรียนเก่ง เล่นดนตรีไทย แต่งกลอนเก่ง ถือว่าครบเครื่องทุกอย่าง ทำให้มีสาวไม่คอยตามกรี๊ดอยู่เสมอ
เขามักจะชอบเอาการบ้านมานั่งทำในห้องอยู่เสมอ พอถึงตอนที่ฉันมีเวรต้องทำความสะอาดซี่งเขามักจะทำการบ้านเสร็จพอดี ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเขาอยากใกล้ชิดฉัน ก็เข้ามาช่วยยกเก้าอี้ขึ้นโต๊ะจนเสร็จ
"ขอบใจนะ”
ฉันทำทีเป็นเอาไม้กวาดในมือกวาดขยะที่อยู่รอบๆเอ่ย เสียงเบาๆ พร้อมขยับแว่น
เมื่อเก้าอี้ตัวสุดท้ายถูกเขายกขึ้นจนเสร็จ พร้อมรับหมุนตัวถอยห่างเขา แต่ท่ากลับตัวบนพื้นไม้ขัดมันที่ลื่นด้วยถุงเท้านักเรียน
ทำให้ฉันเสียหลักตัวเอียงโยนไม้กวาดขึ้นไป หลายๆท่านอาจจะคิดว่า จะมีฉากพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอกเหมือนในนิยายใช่มั้ยหล่ะ ต้องเสียใจด้วย เพราะ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีเลยจริงๆ
อ้อแต่ความจริงก็มีนะ พอฉันร้องเฮ้ยจบ เขาคนนั้นก็เดินเข้ามาถามว่า
เป็นอะไรไหมยัยหมวยเปิ่น?
ลองมาล้มเองบ้างไหมหล่ะ
ฉันไม่เอ่ยปากพูดออกไปนะเพียงเเค่คิดในใจ แล้วก็รีบลุกเก็บไม้กวาดแล้วรีบคว้าเอากระเป๋าบนโต๊ะเดินปิดหน้า แล้วเดินดุ่มๆออกไป ด้วยความทั้งเจ็บ ทั้งอาย ทั้งเขิน ยัยบ้าเอ้ย ไม่เคยจะทำตัวให้เค้าประทับใจเลยสักครั้ง มีแต่ทำตัวเปิ่นตลอด
ในคืนนั้น ไม่รู้ว่าอะไรบางอย่างมาดลใจ ให้ฉันตัดสินใจหยอดเหรียญตู้โทรศัพท์สาธารณะโทรไปขอเพลงเรามีเราของพี่แหวน กับพี่ดีเจเพื่อมอบให้กับเขาคนนั้น เพราะรู้มาว่าเขามักจะชอบฟังวิทยุก่อนนอน โดยขอให้พี่ดีเจเปิดเพลงนี้ก่อนปิดสถานี
ครับสำหรับสายที่โทรเข้ามาขอเพลงเรามีเราเพลงสุดท้ายวันนี้นะครับ
ขอมาจากเด็กหญิงหลังห้องคนหนึ่ง อยากจะบอกคุณ........ม.6/1 รร..........
ว่า ขอบคุณนะวันนี้ ขอให้นอนหลับฝันดีนะครับ”
พอฉันได้ฟังพี่ดีเจพูดจบ ฉันก็ยิ้มและนอนหลับไปอย่างฝันดี
วันเวลาผ่านไป จนกระทั่ง ในวันใกล้ปิดภาคเรียนที่สองหรือเทอมสุดท้ายของปีการศึกษาซึ่งเป็นปีสุดท้ายของเขากับฉันในโรงเรียนแบบสหศึกษา
เมื่อผลการสอบโควตาของมหาวิทยาลัยมาถึงที่โรงเรียน ชื่อของเขาได้ถูกเรียกให้ไปยืนหน้าเสาธง
เขาเป็นนักเรียนสิบกว่าคนที่ได้เข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในคณะวิศวกรรมศาสตร์
พร้อมๆกับเพื่อนคนอื่นๆ ในคณะและสาขาที่เลือกแตกต่างกันออกไป
ส่วนฉันซึ่งเลือกที่จะไปสอบเอนทรานซ์ต่อเพราะไม่ติดในคณะที่อยากเรียนในระบบโควต้าภาคครั้งนี้ได้แต่นั่งมองเขาตาแป๋วพร้อมส่งยิ้มให้เมื่อเห็นเขามองมา
ช่วงเช้าหลังแยกแถว
ความโกลาหลก็เกิดขึ้นในห้องเรียนของชั้นมัธยมปีที่3และปีที่6 ทุกห้อง
ภาพของเด็กนักเรียนชายหญิงเดินกันวุ่นวาย
ในมือถือสมุดเฟรนด์ชิป และปากกาสีต่างๆ
รวมทั้งสติ๊กเกอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรูปหัวใจ
และของที่ระลึกประเภทตุ๊กตาหรือดอกไม้เท่าที่จะหามาได้
เสื้อขาวของเครื่องแบนักเรียน
ก็กลายเป็นที่ลงชื่อและที่แสดงความรู้สึกของเพื่อนๆ
ที่อยากจะเข้ามาเขียนความรู้สึกให้ในวันสุดท้ายที่จะได้เจอกันในโรงเรียน
พวกสาวๆก็เขียนด้วยตัวเล็กๆน่ารัก ตามประสาวัยรุ่นในยุคนั้นส่วนที่ใช้สีออกจะเลอะเทอะนั้นคงเป็นเพื่อนผู้ชายที่บางครั้ง แอบเขียนคำสัปดนคำใหญ่ๆให้หัวเราะกัน
โดยที่บางคนแอบยิ้มนึกว่าสาวๆในโรงเรียนทำไมส่งยิ้มให้มากกว่าปกติในวันนี้ เนื่องจากไม่รู้ว่าตัวอักษรถูกเขียนจากด้านหลังของเสื้อที่ไม่สามารถมองเห็นได้นั้นคือคำว่าอะไร
ฉันเห็นเขานั่งลงที่เก้าอี้
หลังจากที่ไปลงชื่อในสมุดเฟรนด์ชิปของเพื่อนผู้หญิงเกือบทุกคนแล้ว
ฉันจึงไปวานให้เพื่อนหนุ่มหัวใจสาวนามว่ามานพ ที่ชอบมาแอบแซวฉันบ่อยๆให้ไปบอกเขาให้นั่งนิ่งๆหน่อย ก่อนที่ฉันจะเห็นเพื่อนสาวของฉันโอบกอดเขาไว้
จากนั้นฉันจึงเดินเข้าไปเขียนบนเสื้อว่า
ดีใจด้วยนะหวังว่าคงได้เจอกันอีก
ฉันไม่ได้ลงชื่อ
แต่เขียนรูปแว่นตากลมๆไว้
พร้อมเส้นโค้งข้างล่างที่ทำเป็นรูปรอยยิ้มเล็กๆทิ้งไว้
พอเขียนเสร็จ ฉันก็รีบเดินออกไป
วันเวลาผ่านไป ..จนกระทั่ง เขาได้เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ภาคอิสาน
ส่วนฉันได้เข้าเป็นนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก
ด้วยความที่อยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร ฉันจึงตัดสินใจเขียนจดหมายไปหาเขา
ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาทุกครั้ง เราสองคน คุยกัน ในยุคที่โทรศัพท์ตั้งโต๊ะจับเวลาเป็นนาทีตามหน้าหอ ส่วนใหญ่เราสองคนจะคุยกันผ่านทางจดหมาย
บางทีเขาก็ส่งกลอนมาให้ฉัน คอยห่วงใย ใส่ใจสารพัด เช่น
ฝากดวงดาว ที่พร่างพราว บนฟากฟ้า
เป็นดวงตา คอยเฝ้ามอง แทนตัวฉัน
ฝากสายลม ช่วยดูแล ใส่ใจกัน
ฝากดวงจันทร์ บอกเธอว่า คิดถึงจัง
เนี่ยส่งมาแบบนี้ทุกฉบับ ใครไม่หวั่นไหวก็บ้าแล้ว แต่ฉันก็ไม่กล้าคิดไปไกลหรอกนะ เพียงได้คุยกันแค่นี้ ก็ดีมากมายแล้วสำหรับฉัน
ในทุกๆวัน ฉันจะต้องมานั่งรอไปรษณีย์มาส่งจดหมายของเขา ในช่วงเวลาที่รอ จดหมายจากเขา แม้ว่ามันจะยาวนานแต่มันก็เป็นการรอคอยที่แสนจะคุ้มค่าที่จะรอ
วันเวลาผ่านไป จนฉันใกล้จะเรียนจบ และกำลังฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ด้วยความที่อยากอยากจะรู้ความนัยใจของเขา ว่ามีฉันอยู่บ้างไหมในหัวใจดวงนั้น ฉันจึงตัดสินใจ เขียนจดหมายไปลองใจเขาว่า
ฉันได้ไปแอบชอบรุ่นพี่ที่ทำงานที่ฉันฝึกงานอยู่ แต่ไม่กล้าจะบอกพี่เขา เลยจึงส่งจดหมายมาปรึกษาเพื่อนคนนี้ว่าจะทำอย่างไรดี
หลังจากที่ส่งจดหมายไปแล้ว ฉันก็ได้แต่เฝ้านับวันเวลา ตั้งหน้าตั้งตา เฝ้ารอ การตอบกลับของเขาอย่างใจดใจจ่อ
และเเล้วจดหมายฉบับนั้นก็มาถึง เธอรีบแกะจดหมายฉบับนั้นอ่านอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มหวาน
เพียงเพื่อจะเห็นว่า เขาคนนั้น จะบอกให้เธอเปลี่ยนใจ และบอกความนัยใจของเขามา แต่พอเปิดจดหมายขึ้นมาอ่าน กลับพบเขาเขียนตอบมาว่า
ขอให้เธอทำตามหัวใจเธอ เพราะเพื่อนคนนี้ยินดีเสมอที่เธอมีความสุข
ถ้อยคำดูเรียบง่ายแต่ฉันไม่อยากจะคิดว่ามันแฝงด้วยความรู้สึกใดเจือปนมาอีกหรือเปล่า?
เรื่องราวต่างๆ ผ่านเข้ามาอีกครั้ง
ตั้งแต่ จดหมายฉบับแรก
หมวกไหมพรม
เสื้อกันหนาวที่ถักให้
ภาพที่ต้องไปอัดรูปที่ร้านเพื่อที่จะได้ส่งไปให้ดูว่าไปไหนทำอะไรมาบ้าง
ไม่เคยรู้เลยเหรอ ว่าอยากจะบอกว่าอะไร?
ทำไมผู้ชายเป็นพวกติดเพื่อนฝูงขนาดนี้เลยเหรอ?
ไม่เคยรับรู้ใส่ใจอะไรเลย
ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยเหรอ ?
แหละนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้คุยกัน
หลังจากวันนั้น ฉันก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากเขาอีกเลย จนกระทั่งวันนี้ วันที่ฉันมาเห็นเขาโดยบังเอิญอีกครั้ง ขณะที่ฉันกำลังตัดสินใจว่าจะทำยังไงต่อไปดี จะเข้าไปทักทายดีไหม
ทันใดนั้น
ก็มีร่างเล็กๆของเด็กผู้หญิงวัย5ขวบ เหมือนส่งเสียงเรียกฉันว่าแม่ให้หันกลับไป เธอวิ่งมาหาพร้อมอ้าแขนเข้ามาที่ฉัน
ฉันหันกลับมาแล้วอ้าแขนรอ
เด็กผู้หญิงวิ่งเข้าไปกอดแล้วยืนนิ่งสักครู่พร้อมส่งรอยยิ้มที่ใครมองเห็น
ก็สามารถดูออกได้เลยว่ามีความสุขอย่างแน่นอน
สักพักก็มีผู้ชายหน้าตาดีใส่เสื้อกาว์นเดินตามมาสมทบเราสองคนแม่ลูก
พร้อมกับโอบเราทั้งสองคน พร้อมกับพูดว่า
"ว่าไงจ้ะแม่จ๋า พ่อจ๋าเห็นแม่จ๋า ยืนมองอะไรอยู่เหรอ "
ใช่ค่ะเขาคนนี้คือสามีของฉันเอง หลังจากได้รับจดหมายฉบับนั้น พออีกไม่กี่วัน ฉันก็เลยรีบขึ้นรถเมล์ไปหาเขาที่มหาวิทยาลัย แต่กลับพบว่า เขาคนนั้นมีสาวสวยอยู่เคียงข้างกาย ฉันจะไม่คิดอะไรมากเลย ถ้าไม่ได้เห็นเธอคนนั้น เดินควงแขนเขาออกมาจากห้องของเขาคนนั่น ฉันก็เลยหอบใจที่เจ็บกลับมหาวิทยาลัย
หลังจากวันนั้นหลังจากที่เรียนจบและได้ไปทำงานที่ทางอิสาน ก็มีคนมาตามจีบฉันอยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพี่หมอแต่ฉันก็ไม่เคย ตกลงปลงใจกับใคร
จนกระทั่ง 5 ปีที่แล้ว ด้วยความดีของพี่หมอ ก็เอาชนะใจฉันได้ ฉันจึงได้ตัดสินใจลงมือสร้างครอบครัวกันจนมีเจ้าหญิงน้อยคนนี้
ฉันหันมายิ้มให้พี่หมอ พร้อมตอบว่า
แม่จ๋าเหมือนเจอคนรู้จักค่ะพ่อจ๋า นี่ก็เริ่มสายแล้ว เรารีบเข้าไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสายไปกว่านี้ แม่จ๋าจะเข้าสอนไม่ทัน
พูดจบก็พากันเดินจูงมือกันออกไป
ใจจริงฉันก็อยากจะเข้าไปทักทายเขานะ แต่ดูเขาทำเหมือนไม่อยากจะมาหา มาทักทายฉันเท่าไหร่
ฉันอยากจะบอกเขาเหลือเกิน แต่ก็ทำได้เเค่เพียงบอกแค่ในใจ ว่า
ยังรักและคิดถึงเสมอ รักแรกของฉัน
วันเวลาผ่านไป เกือบๆครึ่งปี ฉันก็ได้รับการ์ดเชิญไปงานแต่งของมานพ เอ๊ะไม่ใช่สิ ตินนี้นางเปลี่ยนชื่อ เป็นเมนี้แล้ว เเละเจ้าบ่าวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคนนั้นนั้นแหละ ทั้งคู่ควงแขนกันมาแจกการ์ด ฉันกับเขาได้เปิดใจคุยกัน ถึงอดีตที่ ผ่านมา เขาบอกว่า ที่เลือกแต่งกับเมนี้ก็เพราะว่า
ผู้ชายย่อมเข้าใจผู้ชายด้วยกัน
ฉันดีใจกับเพื่อนรักทั้งสองด้วยใจจริง และสัญญาว่า จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป ไม่มีวันทอดทิ้งกัน