หวังรัฐรับฟัง “ธนาธร” แนะ 3 ข้อ บริหารจัดการวัคซีนโควิด ต้องรวดเร็วทั่วถึง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2027932
“ธนาธร” เสนอแนะ 3 ข้อด้วยความปรารถนาดี บริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนฉีดอย่างทั่วถึง หวังรัฐบาลจะรับฟัง เพื่อให้ประเทศกลับสู่ความเป็นปกติโดยเร็ว
วันที่ 7 ก.พ. 2564 นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เผยปิดเผยถึงเรื่องการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ผ่าน
แฟนเพจเฟซบุ๊ก พร้อม 3 ข้อสังเกต และ 3 ข้อเสนอ แผนการบริหารจัดการวัคซีนโควิด เพื่อพาประเทศคืนสู่ความเป็นปกติโดยเร็วที่สุด โดยสรุปสาระสำคัญ ว่า
จากข้อมูลทั้งหมดที่มีสรุปได้ว่ารัฐบาลจัดหาวัคซีนล่าช้ากว่าประเทศอื่น ฉีดวัคซีนช้ากว่าประเทศอื่น แทนที่รัฐบาลจะออกมายอมรับความผิดพลาด กลับออกมาแก้ตัวด้วยข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผล ข้ออ้างดังกล่าวมี 3 ประเด็นใหญ่ ดังนี้
1. “ประเทศไทยไม่มีการแพร่ระบาดที่รุนแรง ไม่มีผู้เสียชีวิตมากมายเหมือนประเทศอื่น เราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ จึงไม่จำเป็นต้องรีบฉีด เราสามารถรอได้”
• แผนการฉีดวัคซีนของรัฐบาลจนถึงปลายปีที่แล้วยังมีเป้าหมายที่จะฉีดให้ครบร้อยละ 50 ของจำนวนประชากรในสิ้นปี 2566 เราใช้ชีวิตภายใต้สถานการณ์โควิดมาแล้ว 1 ปี หากต้องใช้ชีวิตเช่นนี้อีก 3 ปี คนจนจะเป็นอย่างไร รัฐบาลเพิ่งจะมาเปลี่ยนแผนใหม่เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ตอกย้ำแล้วว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับวัคซีนน้อยและช้าเกินไป ประเทศไทยรอวัคซีนนานขนาดนั้นไม่ได้ คนที่กล่าวว่าเราสามารถรอได้ ไม่จำเป็นต้องรีบฉีด คือคนที่มีการงานมั่นคง ไม่มีความเข้าใจความเดือดร้อนของคนจนและผู้ประกอบการรายย่อย
2. “จัดจองจัดซื้อช้ามาจากการต้องการเลือกวัคซีนที่ดีที่สุด ไม่ต้องการให้คนไทยเป็นหนูทดลอง ให้ต่างประเทศเขาลองก่อน”
• วัคซีนจากผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ ล้วนแต่ผ่านการทดลอง clinical trial ในระยะที่หนึ่ง ซึ่งเป็นระยะที่ทดสอบความปลอดภัยในมนุษย์ตั้งแต่ปีที่แล้ว หลายประเทศที่รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาคุณภาพวัคซีน เลือกใช้วิธีสั่งจากหลายเจ้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงว่าวัคซีนที่จัดหาอาจใช้ไม่ได้ผล ไม่ใช่ใช้วิธีซื้อช้า นอกจากนี้ ก่อนการนำวัคซีนใดมาใช้ ยังต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบและรับรองของ อย. ในประเทศอีกด้วย ซึ่งประเด็นนี้ถูกหยิบยกมาพร้อมกับเรื่องราคาและภาษีประชาชน
3. “ตอนนี้ตลาดวัคซีนเป็นของผู้ขาย ถ้ารอถึงปลายปีตลาดวัคซีนจะเป็นของผู้ซื้อ เราจะได้ราคาที่ถูกลง”
• ถ้าเร่งจัดหาตั้งแต่ปีที่แล้ว ต่อให้ราคาแพงกว่า 3 เท่า หรือเป็นเงิน 6 หมื่นล้านบาท ถ้าเทียบกับความสูญเสียแล้ว คิดอย่างไรก็คุ้ม ดังนั้นเรื่องรอตลาดวัคซีนให้เป็นของผู้ซื้อ เมื่อเทียบกับความสูญเสียทางเศรษฐกิจแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะออกมายอมรับความจริงว่าประมาทเกินไป คิดว่าจะสามารถควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดได้ตลอดไป จึงฝากความหวังไว้ที่วัคซีนแอสตราเซเนกาเจ้าเดียว ไม่เร่งเจรจากับผู้ผลิตรายอื่น กว่าจะเริ่มตระหนักถึงความสำคัญก็ช้าเกินไปเสียแล้ว
พร้อมกันนี้ นาย
ธนาธร ยังยกคำพูดของ นาย
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถึงกรอบเวลาการฉีดวัคซีนใหม่ ทำให้ทราบว่าตั้งแต่ มิ.ย. ของปีนี้ รัฐบาลจะฉีดวัคซีนเดือนละ 5 ล้านเข็มให้คนไทย มีเป้าหมายจะฉีดให้ได้ครอบคลุมประชากร 50 ล้านคน ซึ่งต้องใช้วัคซีน 100 ล้านเข็ม จากเป้าหมายนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เวลาถึง 20 เดือน หรือจนถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 ซึ่งช้าเกินไป จึงมีข้อเสนอถึงรัฐบาล 3 ประการ คือ
1. รัฐบาลต้องเร่งเจรจาหาผู้ผลิตที่สามารถส่งมอบได้เร็วกว่านี้ โดยคำนึงถึงเรื่องราคาเป็นประเด็นรอง นายกรัฐมนตรีต้องสั่งการกำกับการเจรจาจัดหาและติดตามความคืบหน้าทุกวัน
2. รัฐบาลต้องเริ่มออกแบบกระบวนการฉีดวัคซีนอย่างลงรายละเอียด เชื่อว่าถ้าเราจัดหาวัคซีนได้มากกว่านี้ต่อเดือนและออกแบบบริหารการฉีดได้ดี เราสามารถฉีดได้มากกว่า 2,200 เข็มต่อวันต่อจังหวัด
3. รัฐบาลต้องเปลี่ยนท่าทีในการพูดเรื่องวัคซีน ต้องเลิกทำให้ประชาชนกลัววัคซีน บอกข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาเรื่องการแพ้วัคซีน เปิดเผยข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อให้ประชาชนไว้วางใจ
“ข้อเสนอของผมทั้งหมด เป็นไปด้วยความปรารถนาดีต่อพี่น้องประชาชนคนไทย บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำเพื่อรับมือโควิด ประชาชนทั่วประเทศเผชิญความยากลำบากอย่างสาหัสจากพิษเศรษฐกิจ เราไม่อาจยกการ์ดแบบนี้ต่อไปได้อีกเป็นปีๆ รัฐบาลมีหน้าที่ต้องพาคนไทยออกจากอุโมงค์อันมืดมิดของยุคโควิดโดยเร็ว และอาวุธที่เราต้องการเร็วที่สุด ทั่วถึงที่สุด ก็คือวัคซีน หวังว่าข้อเสนอของผมจะได้รับการรับฟังจากรัฐบาล เพื่อที่พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศจะได้กลับคืนสู่ชีวิตอันเป็นปกติโดยเร็ว”
https://www.facebook.com/ThanathornOfficial/posts/1038593509877656
โรงแรมเสี่ยงปิดกิจการ20%5โรงแรมหรูดิ้นขายปาท่องโก๋-อาหารหาเงินจ่ายพนักงาน
https://www.thansettakij.com/content/business/467763
ธุรกิจโรงแรมรายได้ลดฮวบ 5.72 แสนล้านบาท ปี 64 ยังไม่พ้นวิกฤติ เสี่ยงปิดกิจการอีก20% เผยกระทบหนัก 2 เด้ง ทั้งภาวะโอเวอร์ ซัพพลาย-มรสุมโควิด 5 โรงแรมหรู ดิ้นขายปาท่องโก๋ สตรีทฟู้ด ไดร์ฟทรูขายขนม-อาหารฝีมือเชฟ หารายได้จ่ายเงินเดือนพนักงาน
การเกิดโควิด-19 ระลอกใหม่ ซ้ำเติมให้ธุรกิจโรงแรมไทยในปีนี้ ยังคงก้าวไม่พ้นปากเหว หลังจากตลอดปีที่ผ่านมาก็ย่ำแย่อยู่แล้วเดิม จากวิกฤติการขาดสภาพคล่อง และหลายโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวหลักที่รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังไม่สามารถกลับมาเปิดให้บริการเหมือนเดิมได้ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ธุรกิจโรงแรมจึงเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากรายได้ที่ลดลงไปกว่า 572,820 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
เนื่องจากโควิด-19 ส่งผลกระทบทางตรงต่อธุรกิจท่องเที่ยวของไทย ที่ตลอดปี63 พบว่ารายได้จากการท่องเที่ยวโดยรวมของประเทศหายไปประมาณ 2.25 ล้านล้านบาท หรือเหลือแค่ประมาณ 28% ของรายได้จากการท่องเที่ยวจากปีก่อน โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เหลือเพียง17% จากเดิม ขณะที่รายได้จากนักท่องเที่ยวไทย เหลือเพียง 47% จากปีก่อน
การที่ธุรกิจโรงแรมต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตเช่นนี้ เป็นเพราะก่อนเกิดโควิด-19 ธุรกิจโรงแรมและที่พักในไทย ที่มีอยู่ 3.04 หมื่นแห่ง รวมห้องพักกว่า 1.12 ล้านห้อง ก็อยู่ในสถานการณ์ โอเวอร์ ซัพพลาย อยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มระดับบัดเจ็ท โฮเทล และโรงแรมระดับมิดสเกล (3 ดาว)
อีกทั้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยของอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งประเทศก็อยู่ประมาณ69% ซึ่งสะท้อนได้ว่าในภาวะตลาดปกติธุรกิจโรงแรมก็เผชิญกับโอเวอร์ ซัพพลายอุปทานอยู่แล้ว รวมถึงยังมีภาระเงินกู้เดิม ซึ่งมีมูลค่าสินเชื่อคงค้างธุรกิจโรงแรมและที่พักทั่วประเทศ ก็มีมากถึง 4.19 แสนล้านบาท
ขณะที่ในปี 64 สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.) ก็ประเมินว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยราว 10 ล้านคน ซึ่งก็ไม่มีผลช่วยตลาดโรงแรมที่มีอุปทานล้นตลาดอยู่แล้ว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในปี 64 ธุรกิจโรงแรมยังไม่ผ่านพ้นวิกฤติ โดยเฉพาะโรงแรมในพื้นที่ 20 จังหวัด ที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก ซึ่งมีจำนวนกว่า 1.84 หมื่นแห่ง คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของจำนวนห้องพักทั้งประเทศ ซึ่งปัจจุบันโรงแรมและที่พัก เปิดให้บริการประมาณ 50-55% เท่านั้น
ทั้งยังมองว่าในพื้นที่ 20 จังหวัดนี้จะมีโรงแรมอีกกว่า 20% มีความเสี่ยงที่จะปิดกิจการ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ไม่สามารถควบคุมได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยกลุ่มโรงแรมและที่พักที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มบัดเจ็ท โฮเทล และโรงแรมระดับมิดสเกล ที่รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างกลุ่มนักท่องเที่ยวสะพายเป้ และกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการสร้างรายได้จากช่องทางอื่นที่จำกัด
ขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงแรมและที่พักที่จะอยู่รอด จะเป็นกลุ่มที่มีฐานตลาดเป็นนักท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีคาแร็กเตอร์ของโรงแรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวไทย มีความยืดหยุ่นในการสร้างรายได้ ที่มีความสามารถในการบริหารจัดการราคาและอัตราค่าห้องพักอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถรองรับค่าเฉลี่ยจุดตุ้มทุนของอัตราค่าห้องพัก หลังลดต้นทุน ที่ค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 35-40%
อย่างไรก็ตามการปรับตัวของธุรกิจโรงแรมที่เกิดขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มโรงแรมหรู หรือโรงแรมใหญ่ จะได้เปรียบทางการตลาดและความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีกว่า ซึ่งแม้จะไม่สามารถทำกำไรจากการดำเนินธุรกิจได้ แต่ก็ยังพอหารายได้เข้ามาเป็นสภาพคล่องในการจ่ายเงินเดือนพนักงาน
ไม่ว่าจะเป็น การลดราคาห้องพักลงมา การขายอาหารแบบเดลิเวอรี่ การขายอาหารสตรีทฟู้ด ขายอาหารเช้า เน้นจุดขายอาหารโรงแรมระดับ 5 ดาวในราคาเอื้อมถึง
โดยเฉพาะเมนูปาท่องโก๋ ที่หลายโรงแรมได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ต่อคิวกันแน่นแต่เช้า ไม่ต่างจากปาท่องโก๋ การบินไทย ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมดุสิตธานี พัทยา ที่อาหารเช้าอยู่หน้าโรงแรม ซึ่งก็มีเมนูปาท่องโก๋ สังขยา เป็นตัวชูโรง ขายในราคาชุดละ 50 บาท (1ชุดมี 7 คู่ใหญ่) เดิมทำวันละ 30 กิโลกรัม ต้องเพิ่มมาเป็น 70 กิโลกรัม เปิดขาย 6 โมงเช้า 8 โมงก็หมด
ขณะที่
โรงแรมราวินทรา บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา พัทยา ก็เปิดขายปาท่องโก๋ อยู่หน้าโรงแรมซันไชน์ การ์เด้นท์ รีสอร์ท บริเวณวงเวียนพัทยาเหนือ ชุดละ 50 บาท (6 ตัว) พร้อมสังขยาใบเตย นอกจากนี้ยังเปิดขายปาท่องโก๋กึ่งสำเร็จรูป แบบ 70% ที่เพียงแค่ฉีกซองใส่หม้อทอดไร้น้ำมัน 160 องศา 4 นาที ก็พร้อมทาน ยังเป็นสินค้าขายดี บริการส่งทั่วประเทศให้ลูกค้า จำหน่ายถุงละ 95 บาท
โรงแรมรติล้านนา เชียงใหม่ เปิดบริการไดร์ฟทรูอยู่หน้าโรงแรม ขายเมนูอาหารเช้า อย่างข้าวเหนียวหมูปิ้ง ราคาชุดละ 30-40 บาท เมนูอาหารเย็น อย่างผัดไทย ข้าวหมูกรอบ ราคาชุดละ 60 บาท โรงแรมแชงกรี-ลาเชียงใหม่ เปิดจุดไดร์ฟทรูหน้าโรงแรม ขายขนมจากฝีมือเชฟ เช่น ครัวซองต์ ราคาชิ้นละ 55 บาท มีมากกว่า 10 รสชาติ เพิ่งเปิดขายไม่กี่วัน แต่มีออร์เดอร์ครัวซองต์กว่า 800 ชิ้น
โรงแรมฟอร์จูน โคราช ก็เปิดขายสตรีทฟู้ด ราคาเริ่มต้น 50 บาท และเมนูที่ได้รับความนิยมเป็นเซ็ตเมนู ปาท่องโก๋ ธัญพืช 6 ชนิด พร้อมน้ำเต้าหู้ เป็นต้น
JJNY : 4in1 “ธนาธร”แนะ3ข้อบริหารจัดการวัคซีน│โรงแรมเสี่ยงปิด20%│ชงโยกเงินกู้จ่าย ม.33│จับตา'แกนนำพปชร.'สั่งโหวตสวน
https://www.thairath.co.th/news/politic/2027932
“ธนาธร” เสนอแนะ 3 ข้อด้วยความปรารถนาดี บริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนฉีดอย่างทั่วถึง หวังรัฐบาลจะรับฟัง เพื่อให้ประเทศกลับสู่ความเป็นปกติโดยเร็ว
วันที่ 7 ก.พ. 2564 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เผยปิดเผยถึงเรื่องการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก พร้อม 3 ข้อสังเกต และ 3 ข้อเสนอ แผนการบริหารจัดการวัคซีนโควิด เพื่อพาประเทศคืนสู่ความเป็นปกติโดยเร็วที่สุด โดยสรุปสาระสำคัญ ว่า
จากข้อมูลทั้งหมดที่มีสรุปได้ว่ารัฐบาลจัดหาวัคซีนล่าช้ากว่าประเทศอื่น ฉีดวัคซีนช้ากว่าประเทศอื่น แทนที่รัฐบาลจะออกมายอมรับความผิดพลาด กลับออกมาแก้ตัวด้วยข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผล ข้ออ้างดังกล่าวมี 3 ประเด็นใหญ่ ดังนี้
1. “ประเทศไทยไม่มีการแพร่ระบาดที่รุนแรง ไม่มีผู้เสียชีวิตมากมายเหมือนประเทศอื่น เราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ จึงไม่จำเป็นต้องรีบฉีด เราสามารถรอได้”
• แผนการฉีดวัคซีนของรัฐบาลจนถึงปลายปีที่แล้วยังมีเป้าหมายที่จะฉีดให้ครบร้อยละ 50 ของจำนวนประชากรในสิ้นปี 2566 เราใช้ชีวิตภายใต้สถานการณ์โควิดมาแล้ว 1 ปี หากต้องใช้ชีวิตเช่นนี้อีก 3 ปี คนจนจะเป็นอย่างไร รัฐบาลเพิ่งจะมาเปลี่ยนแผนใหม่เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ตอกย้ำแล้วว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับวัคซีนน้อยและช้าเกินไป ประเทศไทยรอวัคซีนนานขนาดนั้นไม่ได้ คนที่กล่าวว่าเราสามารถรอได้ ไม่จำเป็นต้องรีบฉีด คือคนที่มีการงานมั่นคง ไม่มีความเข้าใจความเดือดร้อนของคนจนและผู้ประกอบการรายย่อย
2. “จัดจองจัดซื้อช้ามาจากการต้องการเลือกวัคซีนที่ดีที่สุด ไม่ต้องการให้คนไทยเป็นหนูทดลอง ให้ต่างประเทศเขาลองก่อน”
• วัคซีนจากผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ ล้วนแต่ผ่านการทดลอง clinical trial ในระยะที่หนึ่ง ซึ่งเป็นระยะที่ทดสอบความปลอดภัยในมนุษย์ตั้งแต่ปีที่แล้ว หลายประเทศที่รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาคุณภาพวัคซีน เลือกใช้วิธีสั่งจากหลายเจ้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงว่าวัคซีนที่จัดหาอาจใช้ไม่ได้ผล ไม่ใช่ใช้วิธีซื้อช้า นอกจากนี้ ก่อนการนำวัคซีนใดมาใช้ ยังต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบและรับรองของ อย. ในประเทศอีกด้วย ซึ่งประเด็นนี้ถูกหยิบยกมาพร้อมกับเรื่องราคาและภาษีประชาชน
3. “ตอนนี้ตลาดวัคซีนเป็นของผู้ขาย ถ้ารอถึงปลายปีตลาดวัคซีนจะเป็นของผู้ซื้อ เราจะได้ราคาที่ถูกลง”
• ถ้าเร่งจัดหาตั้งแต่ปีที่แล้ว ต่อให้ราคาแพงกว่า 3 เท่า หรือเป็นเงิน 6 หมื่นล้านบาท ถ้าเทียบกับความสูญเสียแล้ว คิดอย่างไรก็คุ้ม ดังนั้นเรื่องรอตลาดวัคซีนให้เป็นของผู้ซื้อ เมื่อเทียบกับความสูญเสียทางเศรษฐกิจแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะออกมายอมรับความจริงว่าประมาทเกินไป คิดว่าจะสามารถควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดได้ตลอดไป จึงฝากความหวังไว้ที่วัคซีนแอสตราเซเนกาเจ้าเดียว ไม่เร่งเจรจากับผู้ผลิตรายอื่น กว่าจะเริ่มตระหนักถึงความสำคัญก็ช้าเกินไปเสียแล้ว
พร้อมกันนี้ นายธนาธร ยังยกคำพูดของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถึงกรอบเวลาการฉีดวัคซีนใหม่ ทำให้ทราบว่าตั้งแต่ มิ.ย. ของปีนี้ รัฐบาลจะฉีดวัคซีนเดือนละ 5 ล้านเข็มให้คนไทย มีเป้าหมายจะฉีดให้ได้ครอบคลุมประชากร 50 ล้านคน ซึ่งต้องใช้วัคซีน 100 ล้านเข็ม จากเป้าหมายนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เวลาถึง 20 เดือน หรือจนถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 ซึ่งช้าเกินไป จึงมีข้อเสนอถึงรัฐบาล 3 ประการ คือ
1. รัฐบาลต้องเร่งเจรจาหาผู้ผลิตที่สามารถส่งมอบได้เร็วกว่านี้ โดยคำนึงถึงเรื่องราคาเป็นประเด็นรอง นายกรัฐมนตรีต้องสั่งการกำกับการเจรจาจัดหาและติดตามความคืบหน้าทุกวัน
2. รัฐบาลต้องเริ่มออกแบบกระบวนการฉีดวัคซีนอย่างลงรายละเอียด เชื่อว่าถ้าเราจัดหาวัคซีนได้มากกว่านี้ต่อเดือนและออกแบบบริหารการฉีดได้ดี เราสามารถฉีดได้มากกว่า 2,200 เข็มต่อวันต่อจังหวัด
3. รัฐบาลต้องเปลี่ยนท่าทีในการพูดเรื่องวัคซีน ต้องเลิกทำให้ประชาชนกลัววัคซีน บอกข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาเรื่องการแพ้วัคซีน เปิดเผยข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อให้ประชาชนไว้วางใจ
“ข้อเสนอของผมทั้งหมด เป็นไปด้วยความปรารถนาดีต่อพี่น้องประชาชนคนไทย บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำเพื่อรับมือโควิด ประชาชนทั่วประเทศเผชิญความยากลำบากอย่างสาหัสจากพิษเศรษฐกิจ เราไม่อาจยกการ์ดแบบนี้ต่อไปได้อีกเป็นปีๆ รัฐบาลมีหน้าที่ต้องพาคนไทยออกจากอุโมงค์อันมืดมิดของยุคโควิดโดยเร็ว และอาวุธที่เราต้องการเร็วที่สุด ทั่วถึงที่สุด ก็คือวัคซีน หวังว่าข้อเสนอของผมจะได้รับการรับฟังจากรัฐบาล เพื่อที่พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศจะได้กลับคืนสู่ชีวิตอันเป็นปกติโดยเร็ว”
https://www.facebook.com/ThanathornOfficial/posts/1038593509877656
โรงแรมเสี่ยงปิดกิจการ20%5โรงแรมหรูดิ้นขายปาท่องโก๋-อาหารหาเงินจ่ายพนักงาน
https://www.thansettakij.com/content/business/467763
ธุรกิจโรงแรมรายได้ลดฮวบ 5.72 แสนล้านบาท ปี 64 ยังไม่พ้นวิกฤติ เสี่ยงปิดกิจการอีก20% เผยกระทบหนัก 2 เด้ง ทั้งภาวะโอเวอร์ ซัพพลาย-มรสุมโควิด 5 โรงแรมหรู ดิ้นขายปาท่องโก๋ สตรีทฟู้ด ไดร์ฟทรูขายขนม-อาหารฝีมือเชฟ หารายได้จ่ายเงินเดือนพนักงาน
การเกิดโควิด-19 ระลอกใหม่ ซ้ำเติมให้ธุรกิจโรงแรมไทยในปีนี้ ยังคงก้าวไม่พ้นปากเหว หลังจากตลอดปีที่ผ่านมาก็ย่ำแย่อยู่แล้วเดิม จากวิกฤติการขาดสภาพคล่อง และหลายโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวหลักที่รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังไม่สามารถกลับมาเปิดให้บริการเหมือนเดิมได้ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ธุรกิจโรงแรมจึงเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากรายได้ที่ลดลงไปกว่า 572,820 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
เนื่องจากโควิด-19 ส่งผลกระทบทางตรงต่อธุรกิจท่องเที่ยวของไทย ที่ตลอดปี63 พบว่ารายได้จากการท่องเที่ยวโดยรวมของประเทศหายไปประมาณ 2.25 ล้านล้านบาท หรือเหลือแค่ประมาณ 28% ของรายได้จากการท่องเที่ยวจากปีก่อน โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เหลือเพียง17% จากเดิม ขณะที่รายได้จากนักท่องเที่ยวไทย เหลือเพียง 47% จากปีก่อน
การที่ธุรกิจโรงแรมต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตเช่นนี้ เป็นเพราะก่อนเกิดโควิด-19 ธุรกิจโรงแรมและที่พักในไทย ที่มีอยู่ 3.04 หมื่นแห่ง รวมห้องพักกว่า 1.12 ล้านห้อง ก็อยู่ในสถานการณ์ โอเวอร์ ซัพพลาย อยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มระดับบัดเจ็ท โฮเทล และโรงแรมระดับมิดสเกล (3 ดาว)
อีกทั้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยของอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งประเทศก็อยู่ประมาณ69% ซึ่งสะท้อนได้ว่าในภาวะตลาดปกติธุรกิจโรงแรมก็เผชิญกับโอเวอร์ ซัพพลายอุปทานอยู่แล้ว รวมถึงยังมีภาระเงินกู้เดิม ซึ่งมีมูลค่าสินเชื่อคงค้างธุรกิจโรงแรมและที่พักทั่วประเทศ ก็มีมากถึง 4.19 แสนล้านบาท
ขณะที่ในปี 64 สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.) ก็ประเมินว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยราว 10 ล้านคน ซึ่งก็ไม่มีผลช่วยตลาดโรงแรมที่มีอุปทานล้นตลาดอยู่แล้ว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในปี 64 ธุรกิจโรงแรมยังไม่ผ่านพ้นวิกฤติ โดยเฉพาะโรงแรมในพื้นที่ 20 จังหวัด ที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก ซึ่งมีจำนวนกว่า 1.84 หมื่นแห่ง คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของจำนวนห้องพักทั้งประเทศ ซึ่งปัจจุบันโรงแรมและที่พัก เปิดให้บริการประมาณ 50-55% เท่านั้น
ทั้งยังมองว่าในพื้นที่ 20 จังหวัดนี้จะมีโรงแรมอีกกว่า 20% มีความเสี่ยงที่จะปิดกิจการ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ไม่สามารถควบคุมได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยกลุ่มโรงแรมและที่พักที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มบัดเจ็ท โฮเทล และโรงแรมระดับมิดสเกล ที่รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างกลุ่มนักท่องเที่ยวสะพายเป้ และกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการสร้างรายได้จากช่องทางอื่นที่จำกัด
ขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงแรมและที่พักที่จะอยู่รอด จะเป็นกลุ่มที่มีฐานตลาดเป็นนักท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีคาแร็กเตอร์ของโรงแรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวไทย มีความยืดหยุ่นในการสร้างรายได้ ที่มีความสามารถในการบริหารจัดการราคาและอัตราค่าห้องพักอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถรองรับค่าเฉลี่ยจุดตุ้มทุนของอัตราค่าห้องพัก หลังลดต้นทุน ที่ค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 35-40%
อย่างไรก็ตามการปรับตัวของธุรกิจโรงแรมที่เกิดขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มโรงแรมหรู หรือโรงแรมใหญ่ จะได้เปรียบทางการตลาดและความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีกว่า ซึ่งแม้จะไม่สามารถทำกำไรจากการดำเนินธุรกิจได้ แต่ก็ยังพอหารายได้เข้ามาเป็นสภาพคล่องในการจ่ายเงินเดือนพนักงาน
ไม่ว่าจะเป็น การลดราคาห้องพักลงมา การขายอาหารแบบเดลิเวอรี่ การขายอาหารสตรีทฟู้ด ขายอาหารเช้า เน้นจุดขายอาหารโรงแรมระดับ 5 ดาวในราคาเอื้อมถึง
โดยเฉพาะเมนูปาท่องโก๋ ที่หลายโรงแรมได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ต่อคิวกันแน่นแต่เช้า ไม่ต่างจากปาท่องโก๋ การบินไทย ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมดุสิตธานี พัทยา ที่อาหารเช้าอยู่หน้าโรงแรม ซึ่งก็มีเมนูปาท่องโก๋ สังขยา เป็นตัวชูโรง ขายในราคาชุดละ 50 บาท (1ชุดมี 7 คู่ใหญ่) เดิมทำวันละ 30 กิโลกรัม ต้องเพิ่มมาเป็น 70 กิโลกรัม เปิดขาย 6 โมงเช้า 8 โมงก็หมด
ขณะที่โรงแรมราวินทรา บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา พัทยา ก็เปิดขายปาท่องโก๋ อยู่หน้าโรงแรมซันไชน์ การ์เด้นท์ รีสอร์ท บริเวณวงเวียนพัทยาเหนือ ชุดละ 50 บาท (6 ตัว) พร้อมสังขยาใบเตย นอกจากนี้ยังเปิดขายปาท่องโก๋กึ่งสำเร็จรูป แบบ 70% ที่เพียงแค่ฉีกซองใส่หม้อทอดไร้น้ำมัน 160 องศา 4 นาที ก็พร้อมทาน ยังเป็นสินค้าขายดี บริการส่งทั่วประเทศให้ลูกค้า จำหน่ายถุงละ 95 บาท
โรงแรมรติล้านนา เชียงใหม่ เปิดบริการไดร์ฟทรูอยู่หน้าโรงแรม ขายเมนูอาหารเช้า อย่างข้าวเหนียวหมูปิ้ง ราคาชุดละ 30-40 บาท เมนูอาหารเย็น อย่างผัดไทย ข้าวหมูกรอบ ราคาชุดละ 60 บาท โรงแรมแชงกรี-ลาเชียงใหม่ เปิดจุดไดร์ฟทรูหน้าโรงแรม ขายขนมจากฝีมือเชฟ เช่น ครัวซองต์ ราคาชิ้นละ 55 บาท มีมากกว่า 10 รสชาติ เพิ่งเปิดขายไม่กี่วัน แต่มีออร์เดอร์ครัวซองต์กว่า 800 ชิ้น
โรงแรมฟอร์จูน โคราช ก็เปิดขายสตรีทฟู้ด ราคาเริ่มต้น 50 บาท และเมนูที่ได้รับความนิยมเป็นเซ็ตเมนู ปาท่องโก๋ ธัญพืช 6 ชนิด พร้อมน้ำเต้าหู้ เป็นต้น