หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
[SR] รีวิว AUDI E-TRON SPORTBACK รถพลังงานไฟฟ้า 100% ขับขี่หนักแน่น อัตราเร่งดึงสะใจ !
กระทู้รีวิว
รถยนต์
รถยนต์ไฟฟ้า
Audi
4x4
SUV
AUDI ประเทศไทยได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นที่ 2 ที่นำเข้ามาขายในชื่อ e-Tron ซึ่งในก่อนหน้านี้เคยมีรุ่น e-Tron ปกติเข้ามาขายในไทยแล้วเป็นทรง SUV ทั่วไปครับ แต่ในครั้งนี้ทาง AUDI ได้นำเข้า e-Tron Sportback เข้ามาขายในไทยซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ในหลายๆด้านในเรื่องของงานออก และส่งผลทำให้ประสิทธิภาพของตัวรถนั้นดีขึ้น แน่นอนว่าระยะทางการขับขี่นั้นก็ทำได้ดีกว่าในรุ่นปกติด้วยเช่นกันครับ เพราะงานออกแบบนี้ทำให้ตัวรถมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.25 ถือว่าน้อยกว่ารุ่นปกติแบบชัดเจน ด้วยเช่นกัน และในรุ่นที่เข้ามาขายในไทยนั้นจะเป็นรหัส 55 ตัวแรงสุด จะมาพร้อม 95kWh และ สามารถขับขี่ได้ระยะทาง 463 กม. ต้องบอกว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่ทำออกมาตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว ทั้งความสูงของตัวรถ ระยะทาง งานออกแบบทั้งหมด รวมถึงเป็นรถยนต์ที่นำเข้าทั้งคัน เรื่องของคุณภาพนั้นไว้ใจได้สำหรับ Audi e-Tron Sportback และ หลังจากที่ได้ทดสอบการขับขี่บอกเลยว่าเป็นรถไฟฟ้าที่ขับสนุกและช่วงล่างดีมากๆคันนึงในตลาด
AUDI E-TRON SPORTBACK 55 QUATTRO S-LINE EV เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนรุ่นที่ 2 เปิดตัวกันไปแล้วแน่นอนว่าในไทยนั้นก็ลุยตลาดรถไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง มาพร้อมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวทำงานแยกกันหน้าหลัง ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Single Gear และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro พร้อมระบบกระจายแรงบิด wheel-selective torque control แน่นอนว่าเป็นระบบการขับขี่ที่ดีอันดับต้นๆของค่ายรถยนต์เลยก็ว่าได้ พร้อมกับพละกำลังที่ไม่ใช่เล่นๆที่มีทั้ง Normal Mode และ Boost Mode รวมถึง Range mode ในการเพิ่มระยะทาง ให้มากขึ้นในการใช้งาน ฉุกเฉินต่างๆครับ ส่วนตัว Normal Mode นั้นจะเป็นโหมดปกติที่มี กำลังสูงสุด 360 แรงม้า โดยจะแยกเป็น มอเตอร์หน้า 170 แรงม้า และ มอเตอร์หลัง 190 แรงม้า มาพร้อมกับ แรงบิดสูงสุด 561 นิวตันเมตร ส่วนทางด้าน Boost Mode มาพร้อมกับ กำลังสูงสุด 408 แรงม้า มอเตอร์หน้า 184 แรงม้า และ มอเตอร์หลัง 224 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 664 นิวตันเมตร และจะทำเวลาได้ 5.7 วิในการขับ 0-100 แต่จะทำงานได้แค่ 8 วินาทีเท่านั้น แต่ถ้า Normal mode จะเร่ง 0-100 ได้ 6.6 วิ และ ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมการตกแต่ง S-LINE รอบคันประกอบด้วยล้ออัลลอย ขนาด 21 นิ้ว 9.5 J x 21 พร้อมยาง 265/45 R21 และ เบรคสีส้มเด่นๆ ครับ และการตกแต่งภายในทั้งหมดนั้นสวยงามและเป็นแบบ Sport มากกว่ารุ่นทั่วไปพร้อมกับฟีเจอร์การใช้งานมาครบ กล้องรอบคัน 360 องศา และ เซนเซอร์รอบคัน แต่น่าเสียดายในไทยนั้นไม่มีกล้องมองข้างที่มาแทนกระจกนะครับ และไม่มีฟีเจอร์ช่วยเหลือใดๆเลย แต่ถ้าอยากได้สามารถ จ่ายเพิ่ม 2 แสนบาทได้ครับ ส่วนระบบ ใช้งานหน้าจอสัมผัสทั้งหมดในการควบคุมจอบนและจอล่าง ระบบ MMI Navigation Plus with MMI touch response พร้อมจอแสดงผลแบบสัมผัส ขนาด 10.1 นิ้ว และ รองรับ Apple CarPlay – Android Autoพร้อมกับจอควบคุม Multifunction แบบสัมผัส พร้อมตอบสนองการสั่งงาน Haptic Feedback ขนาด 8.6 นิ้วในด้านล่างนั้นเอง ทางด้านระบบเสียงนั้นใช้งาน Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติและหน้าปัดจอแสดงข้อมูลมาตรวัดแบบ Virtual Cockpit Plus ขนาด 12.3 นิ้ว ยังคงใส่เข้ามาจัดเต็ม ในคันนี้ครับ
PRICE
AUDI E-TRON SPORTBACK เปิด ราคาจำหน่ายที่ 5,299,000 บาท มีทั้งหมด 6 สี ได้แก่ Glacier white metallic, Floret silver metallic, Mythos black metallic, Daytona grey pearl effect, Siam beige metallic และ Antigua blue metallic Audi e-tron มาพร้อมโปรแกรมการดูแล Audi Protection รับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี. และ เรื่องที่ชาร์จก็ได้แถม Wallbox ทุกคันที่ซื้อไปติดตั้งที่บ้านกันฟรีๆไม่ต้องห่วงในเรื่องของการใช้งานเลยแม้แต่น้อยถือว่าสบายใจได้เลยในจุดนี้
EXTERIOR
งานออกแบบในภาพรวมนั้นตัวรถในด้านหน้ามีความใกล้เคียงกับรุ่นก่อนในหลายๆจุดทั้งไฟหน้า เล้นสายและกระจังหน้า แต่ในรุ่น Sportback นั้นจะเน้นความเป็นสปอร์ตเสริมเข้ามาในตัวรถมากขึ้นในชุดแต่ง S-Line ทั้งหมด รวมถึงภายนอก และ ภายในด้วยเช่นกัน และมาพร้อมกับไฟหน้า Matrix LED เช่นเดิมทรงเดียวกับรุ่นปกติครับ แต่ในรุ่นนี้จะมีสีพิเศษเข้ามาใหม่ 2 สีพร้อมกับ Daytona grey pearl effect และ Antigua blue metallic นั้นเอง ส่วนในไทยนั้นกระจกมองข้างจะปรับมาใช้งานกระจกทั่วไป ไม่ได้ใช้งานกล้องมองด้านข้างนะครับถือว่าน่าเสียดาย แต่ที่ชอบนั้นคือตัว Balance ของตัวรถ มีการออกแบบการจัดวางส่วนประกอบต่างๆ ของรถมาอย่างลงตัว ทำให้กระจายน้ำหนักได้อย่างสมดุล โดย Perfect balance อยู่ที่ 50:50 ถือว่าส่งผลดีต่อการขับขี่แน่นอนในเรื่องนี้
งานออกแบบในด้านหน้าภาพรวมนั้นจะเห็นชุดแต่งที่มีความสปอร์ตเพิ่มเติมเสริมเข้ามาในรุ่นนี้ทั้ง ชายกันชนล่าง และ รอบคันที่จะดูแล้วรู้สึกเลยว่ามีความแตกต่างกับรุ่นปกติแบบชัดเจน และเอกลักษณ์จุดขายทั้ง 2 รุ่นก็มีความแตกต่างกันด้วยครับ ในรุ่น Sportback จะเน้นความเพรียวลม สปอร์ตดุดัน แต่ถ้าในรุ่นปกติ จะเน้นใช้งาน พื้นที่ใช้สอยและขับทั่วไปมากกว่านั้นเอง และในรุ่น Sportback มีช่วงล่างถุงลมแบบ Dynamic ที่มีความ สปอร์ตมากขึ้นด้วยเช่นกัน ทรงรถจริงๆนั้นถือว่ามีความสวยงามและเรียบๆแต่มีความดุดันแฝงตัวอยู่ครับ แน่นอนว่าตระกูล E-Tron นั้นรุ่นนี้ใช้พื้นฐานเดียวกับพวก Q5 และจริงๆตัวรถก็ถือว่าขนาดอะไรนั้นกำลังดีไม่ได้เล็กหรือว่าใหญ่มากเกินไปด้วยนั้นเอง
อีกจุดเด่นของตัวรถนั้นแน่นอนว่าการใช้งานช่วงล่างที่สามารถปรับระดับได้ และสามารถยกให้ตัวรถสูงสุดได้แบบในภาพข้างบน และสามารถโหลดต่ำที่สุดได้ในภาพส่วนล่าง ซึ่งจะเป็นโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันไปครับก็ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่เด่นๆเลยแหละ ขับขี่ได้ทั้งในการขับลุยหรือพื้นที่ที่สูงๆได้ขึ้นเนินต่างๆ หนีน้ำท่วมเป็นต้น หรือจะเป็นการขับขี่ที่เน้นความเป็น สปอร์ต สายซิ่งได้และช่วงล่างจะมีความแน่น แข็งมากกขึ้นด้วยเช่นกัน ถือว่าเป็นช่วงล่างที่ดีมากๆคันนึงของบรรดา Audi เลยครับทั้งเทคโนโลยี และการใช้งานขับขี่ และเป็นรถไฟฟ้าด้วยทำให้ศูนย์ถ่วงต่ำมากๆครับ
งานออกแบบนั้นกระจังหน้านั้นเป็นรูปทรงแบบใหม่หรือว่าเจนใหม่แล้วนั้นเองจะแตกต่างกับรุ่นอื่นๆของค่ายก่อนหน้าครับและทรงเดิมกับตระกูล E-TRON และมีความเปรียบมากขึ้นจากรุ่น Q5 Q7 และด้วยความเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทำให้ไม่ต้องมีช่องดักลมอะไรเยอะ กระจังหน้าเลยมีความเรียบและเป็นช่องปิดเยอะมากๆใช้งานสีเทาผสมกับสีเงินด้านทั้งหมดและ S-LINE ครับ รวมถึง ตรงส่วนล่างของกระจังหน้าจะเขียนว่า E-TRON ด้วยเช่นกัน พร้อมกับเซนเซอร์ และ กล้องใต้โลโก้ ส่วนช่องดักลมข้างๆนั้นเป็นช่องจริงๆช่วยเรื่องของ การไหลเวียนอากาศที่ดีมากๆ และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบนี้ยิ่งส่งผลครับ รวมถึงเส้นสายในด้านหน้ามีความสวยเท่ และ ดุดันตามสไตล์ S-LINE
กระจกมองข้างสไตล์โฉบเฉี่ยวเล่นสองสีพร้อมกับกล้องรอบคันใส่เข้ามาครับแน่นอนว่า e-tron ในต่างประเทศนั้นจะเป็นกล้องแทนกระจกมองข้างแล้ว แต่ในไทยนั้นเองยังคงใส่กระจกเข้ามาแทน ด้วยความคุ้นชินของหลายๆคนและราคาที่จะทำได้ดีขึ้นเลยทำให้ทางค่าย ตัดสินใจใช้งานกระจกแบบดั้งเดิมครับ และน่าเสียดายไม่มีเตือนมุมบอดอะไร ส่วนด้านท้ายรถนั้นเป็นทรง Sportback พร้อมกับ Ducktail ตูดเป็ดใส่เข้ามาให้เล็กน้อย และ ด้านข้างนั้นจะเป็นเส้นสาย เล่นสีดำพร้อมกับความสปอร์ตส่วนล่างเข้ามาเสริมก็ถือว่าเป็นลูกเล่นเล็กๆน้อยที่เสริมให้รถดูมีอะไรมากขึ้น
ทางด้านตัวล้อเป็นจุดเด่นนึงอย่างมากของรุ่นนี้ ด้วยความที่ทั้งงานออกแบบ และขนาดมีความสวยและโดดเด่นและใหญ่โตแบบนี้ รวมถึง คาลิปเปอร์เบรคสีส้ม ทำให้รถมีความเด่นกว่าเดิมเยอะมากๆ เมื่อเทียบกับรุ่นปกติของ Q5 Q7 พวกนี้ ทางรุ่นนี้มาพร้อมกับล้ออัลลอย ขนาด 21 นิ้ว 9.5 J x 21 พร้อมยาง 265/45 R21 และ เบรคสีส้มที่เขียนว่า E-TRON ลายล้อเป็นลายที่สวยจบลงตัว ไม่ต้องมาปรับแต่งหรือเปลี่ยน ส่วนเหนือซุ้มล้อนั้นจะเป็นที่ชาร์จไฟเข้าของรถยนต์ เพราะว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าครับ เปิดด้วยการกด และทำงานเป็นระบบไฟฟ้า มีไฟสถานะ ด้านขวา และ ไฟส่องสว่างสีขาว พร้อมบอกว่าสถานะเป็นอย่างไรผ่านสีครับ พอร์ตชาร์จเป็น TYPE2 – CCS TYPE 2 รองรับมาตรฐานครับ ทั้งชาร์จไว DC -AC ทั่วไปเลย เป็นมาตรฐานเดียวกับ ยุโรป และ สมัยใหม่ทั้งหมดเลยครับ
หลังคา Panoramic ได้ใส่เข้ามา รองรับการเปิดรับลมได้ในส่วนของตอนหน้า แต่ส่วนของกระจกจริงๆนั้นจะยาวไปถึงด้านหลังครับ ถือว่าเป็นหลังคาที่เปิดออกมาแล้วดูไม่สูงหรือเด่นจากหลังคาเท่าไรนักจุดนี้ถือว่าออกแบบมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวเพราะว่าในหลายๆรุ่นเราจะเห็นว่ามันจะกางออกมาเยอะและยิ่งเป็นพวกหลังคาลาดก็จะรู้สึกได้ชัดครับ
ตัวงานออกแบบของตัวรถนั้นจริงๆไม่ได้รู้สึกเลยว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า เป็นงานออกแบบที่เรียบแต่ดูดี ดูสปอร์ต และเด่นๆคือตัวรถมาพร้อมกับล้อ 21 นิ้วใหญ่สะใจอย่างมากทำให้ตัวรถดูพรีเมี่ยมมากขึ้นไปอีกขั้นกระจังหน้ายังคงเน้นสีเทาเป็นหลักพร้อมกับ สัญลักษณ์ e-Tron ในด้านล่างกระจัง รวมถึงช่องดักลมต่างๆก็มีเยอะและสามารถเปิดปิดได้ด้วยครับ Audi ยังคงเป็นค่ายที่ออกแบบรถยนต์ได้ดูดีและลงตัวมากๆเลยแหละ ส่วนไฟท้ายแบบเส้นสายยาวต่อเนื่องยังคงใส่เข้ามาให้คงเอกลักษณ์จากรุ่นปกติ รวมถึงมี Animation เวลาปลดล็อคมาให้นิดหน่อยครับ แต่จะไม่ได้อลังเท่า AUDI A7 ส่วนไฟทั้งหมดถือว่าออกแบบมาลงตัวและสวย พร้อมไฟตัดหมอกมาให้ในมุมขวาล่างของรถ
ชื่อสินค้า:
AUDI E-TRON SPORTBACK
คะแนน:
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
- ได้รับสินค้ามาใช้รีวิวฟรี โดยต้องคืนสินค้าให้เจ้าของสินค้า
- ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
ลองขับ ปอร์เช่ ไฟฟ้า ฟรี กับ ‘มาคันน์’ รุ่นใหม่ ให้ลูกค้าสนใจลองขับได้แล้วที่โชว์รูม
ปอร์เช่ ประเทศไทย ขอเชิญทุกท่านสัมผัสประสบการณ์ขับขี่สุดพิเศษกับยนตรกรรมสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า SUV ‘ปอร์เช่ มาคันน์’ รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ผสานความสปอร์ตเข้ากับค
PonTripleP
ส่วนลด 600,000 ! ราคาพิเศษ Audi RS Q3 Sportback Edition 10 Years : 4,699,000 บาท (นำเข้า CBU) | 400 แรงม้า
https://autolifethailand.tv/official-price-audi-rs-q3-sportback-edition-10-years-discount-aug-2025/
สมาชิกหมายเลข 8673641
Audi Q8 e-tron เทคโนโลยี เจเนอเรชั่นล่าสุด เริ่ม 4.699 - 5.799 ล้าน
นับเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตา เมื่ออาวดี้ประกาศโรดแมปเตรียมเปิดตัวรถไฟฟ้า 100% กว่า 10 รุ่น ภายในปี 2025 พร้อมประกาศกร้าวภายในสิ้นทศวรรษนี้ อาวดี้
PonTripleP
MINI Countryman S ALL4 กลับมาประกอบในไทยอีกครั้ง!
ดูไปดูมา ดีไซน์คล้ายๆ swift ตัวเลือกขุมพลังทั้งไฟฟ้านำเข้าจากเยอรมนี และรุ่นเบนซิน 2.0 ลิตรประกอบในไทย เริ่มต้นที่ 2.599 ล้านบาท หลังจากห่างหายไป 7 ปี MINI Countryman เจเนอเรชันที่สาม (U25) ได
สมาชิกหมายเลข 2933266
เปิดตัว Audi e-tron Sportback ราคา 5.299 ล้านบาท
อาวดี้ ประเทศไทย ไม่หยุดยั้ง รุกต่อเนื่อง เปิดตัว ก้าวไปอีกขั้นเปิดตัวรถไฟฟ้า 100% สุดหรูรุ่นที่ 2 ของแบรนด์พรีเมียม รายแรกในประเทศไทย พร้อมส่งมอบรถทันทีภายในสิ้นปี
GenPon_Redline
แบตเตอรี่กึ่งโซลิดสเตต กำลังเปิดตัวใน NEW MG 4 EV ใหม่ สำหรับรถยนต์ราคาประหยัด
คุณเฉิน ชุ่ย ผู้จัดการทั่วไปของแบรนด์ MG ได้เปิดเผยว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า แบรนด์ MG วางแผนจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ถึง 13 รุ่น ซึ่งจะครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV), รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV), และรถย
peramin
รีวิว AUDI S3 SPORTBACK น้องเล็ก ตัวจี๊ด 290 แรงม้า Quattro ท่อลั่นกว่า RS ซะอีก !
AUDI S3 ในรหัส S นั้นเราจะไม่ค่อยเห็นในเมืองไทยเท่าไรเพราะว่าถ้ามองกันรุ่นนี้ถือว่าเป็นรุ่นแรกที่เอาเข้ามาด้วยเช่นกัน ตระกูล S จะเป็นรหัสแรงก่อนจะไป RS ถ้ามองเทียบคู่แข่งจะอารมณ์ M135i / GL
Techhangout
The New Audi A7 Sportback 55 TFSI e ราคา 4.799 ล้านบาท และรุ่นแฟลกชิป Audi A8 L TFSI e เคาะราคา 7.199 ล้านบาท
Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S Line สัมผัสประสบการณ์การเดินทางแบบ First Class กับ Audi A8 L TFSI e&nb
PonTripleP
รีวิว AUDI Q8 60 TFSIe QUATTRO PHEV เสียบปลั๊ก แรงขึ้น แถมราคาถูกลง !
AUDI เองนั้นถือว่าเป็นแบรนด์ที่ยังคงลุยตลาดกันแบบหนักหน่วงจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า หรือ ว่า รถตระกูลแรงแบบ RS และในตอนนี้เป็น PHEV หรือว่า Plug In Hybrid ตัวแรกของค่ายที่เอาเข้ามาขายในไทยด้วยเช่นกันครั
Techhangout
รีวิว AUDI TT COUPE โมเดล 2021 ฟีเจอร์เพิ่ม ได้ล้อใหม่ สวยลงตัวขึ้น !
AUDI ค่ายรถยนต์เยอรมันที่ต้องบอกว่าการขับขี่ดีอันดับต้นๆ รวมถึงมีรถยนต์สปอร์ตในตระกูล TT ที่ทำออกมาน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์หรือว่าการขับขี่ ในประเทศไทยเอง A
Techhangout
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
รถยนต์
รถยนต์ไฟฟ้า
Audi
4x4
SUV
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ :
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
[SR] รีวิว AUDI E-TRON SPORTBACK รถพลังงานไฟฟ้า 100% ขับขี่หนักแน่น อัตราเร่งดึงสะใจ !
AUDI ประเทศไทยได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นที่ 2 ที่นำเข้ามาขายในชื่อ e-Tron ซึ่งในก่อนหน้านี้เคยมีรุ่น e-Tron ปกติเข้ามาขายในไทยแล้วเป็นทรง SUV ทั่วไปครับ แต่ในครั้งนี้ทาง AUDI ได้นำเข้า e-Tron Sportback เข้ามาขายในไทยซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ในหลายๆด้านในเรื่องของงานออก และส่งผลทำให้ประสิทธิภาพของตัวรถนั้นดีขึ้น แน่นอนว่าระยะทางการขับขี่นั้นก็ทำได้ดีกว่าในรุ่นปกติด้วยเช่นกันครับ เพราะงานออกแบบนี้ทำให้ตัวรถมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.25 ถือว่าน้อยกว่ารุ่นปกติแบบชัดเจน ด้วยเช่นกัน และในรุ่นที่เข้ามาขายในไทยนั้นจะเป็นรหัส 55 ตัวแรงสุด จะมาพร้อม 95kWh และ สามารถขับขี่ได้ระยะทาง 463 กม. ต้องบอกว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่ทำออกมาตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว ทั้งความสูงของตัวรถ ระยะทาง งานออกแบบทั้งหมด รวมถึงเป็นรถยนต์ที่นำเข้าทั้งคัน เรื่องของคุณภาพนั้นไว้ใจได้สำหรับ Audi e-Tron Sportback และ หลังจากที่ได้ทดสอบการขับขี่บอกเลยว่าเป็นรถไฟฟ้าที่ขับสนุกและช่วงล่างดีมากๆคันนึงในตลาด
AUDI E-TRON SPORTBACK 55 QUATTRO S-LINE EV เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนรุ่นที่ 2 เปิดตัวกันไปแล้วแน่นอนว่าในไทยนั้นก็ลุยตลาดรถไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง มาพร้อมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวทำงานแยกกันหน้าหลัง ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Single Gear และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro พร้อมระบบกระจายแรงบิด wheel-selective torque control แน่นอนว่าเป็นระบบการขับขี่ที่ดีอันดับต้นๆของค่ายรถยนต์เลยก็ว่าได้ พร้อมกับพละกำลังที่ไม่ใช่เล่นๆที่มีทั้ง Normal Mode และ Boost Mode รวมถึง Range mode ในการเพิ่มระยะทาง ให้มากขึ้นในการใช้งาน ฉุกเฉินต่างๆครับ ส่วนตัว Normal Mode นั้นจะเป็นโหมดปกติที่มี กำลังสูงสุด 360 แรงม้า โดยจะแยกเป็น มอเตอร์หน้า 170 แรงม้า และ มอเตอร์หลัง 190 แรงม้า มาพร้อมกับ แรงบิดสูงสุด 561 นิวตันเมตร ส่วนทางด้าน Boost Mode มาพร้อมกับ กำลังสูงสุด 408 แรงม้า มอเตอร์หน้า 184 แรงม้า และ มอเตอร์หลัง 224 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 664 นิวตันเมตร และจะทำเวลาได้ 5.7 วิในการขับ 0-100 แต่จะทำงานได้แค่ 8 วินาทีเท่านั้น แต่ถ้า Normal mode จะเร่ง 0-100 ได้ 6.6 วิ และ ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมการตกแต่ง S-LINE รอบคันประกอบด้วยล้ออัลลอย ขนาด 21 นิ้ว 9.5 J x 21 พร้อมยาง 265/45 R21 และ เบรคสีส้มเด่นๆ ครับ และการตกแต่งภายในทั้งหมดนั้นสวยงามและเป็นแบบ Sport มากกว่ารุ่นทั่วไปพร้อมกับฟีเจอร์การใช้งานมาครบ กล้องรอบคัน 360 องศา และ เซนเซอร์รอบคัน แต่น่าเสียดายในไทยนั้นไม่มีกล้องมองข้างที่มาแทนกระจกนะครับ และไม่มีฟีเจอร์ช่วยเหลือใดๆเลย แต่ถ้าอยากได้สามารถ จ่ายเพิ่ม 2 แสนบาทได้ครับ ส่วนระบบ ใช้งานหน้าจอสัมผัสทั้งหมดในการควบคุมจอบนและจอล่าง ระบบ MMI Navigation Plus with MMI touch response พร้อมจอแสดงผลแบบสัมผัส ขนาด 10.1 นิ้ว และ รองรับ Apple CarPlay – Android Autoพร้อมกับจอควบคุม Multifunction แบบสัมผัส พร้อมตอบสนองการสั่งงาน Haptic Feedback ขนาด 8.6 นิ้วในด้านล่างนั้นเอง ทางด้านระบบเสียงนั้นใช้งาน Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติและหน้าปัดจอแสดงข้อมูลมาตรวัดแบบ Virtual Cockpit Plus ขนาด 12.3 นิ้ว ยังคงใส่เข้ามาจัดเต็ม ในคันนี้ครับ
PRICE
AUDI E-TRON SPORTBACK เปิด ราคาจำหน่ายที่ 5,299,000 บาท มีทั้งหมด 6 สี ได้แก่ Glacier white metallic, Floret silver metallic, Mythos black metallic, Daytona grey pearl effect, Siam beige metallic และ Antigua blue metallic Audi e-tron มาพร้อมโปรแกรมการดูแล Audi Protection รับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี. และ เรื่องที่ชาร์จก็ได้แถม Wallbox ทุกคันที่ซื้อไปติดตั้งที่บ้านกันฟรีๆไม่ต้องห่วงในเรื่องของการใช้งานเลยแม้แต่น้อยถือว่าสบายใจได้เลยในจุดนี้
EXTERIOR
งานออกแบบในภาพรวมนั้นตัวรถในด้านหน้ามีความใกล้เคียงกับรุ่นก่อนในหลายๆจุดทั้งไฟหน้า เล้นสายและกระจังหน้า แต่ในรุ่น Sportback นั้นจะเน้นความเป็นสปอร์ตเสริมเข้ามาในตัวรถมากขึ้นในชุดแต่ง S-Line ทั้งหมด รวมถึงภายนอก และ ภายในด้วยเช่นกัน และมาพร้อมกับไฟหน้า Matrix LED เช่นเดิมทรงเดียวกับรุ่นปกติครับ แต่ในรุ่นนี้จะมีสีพิเศษเข้ามาใหม่ 2 สีพร้อมกับ Daytona grey pearl effect และ Antigua blue metallic นั้นเอง ส่วนในไทยนั้นกระจกมองข้างจะปรับมาใช้งานกระจกทั่วไป ไม่ได้ใช้งานกล้องมองด้านข้างนะครับถือว่าน่าเสียดาย แต่ที่ชอบนั้นคือตัว Balance ของตัวรถ มีการออกแบบการจัดวางส่วนประกอบต่างๆ ของรถมาอย่างลงตัว ทำให้กระจายน้ำหนักได้อย่างสมดุล โดย Perfect balance อยู่ที่ 50:50 ถือว่าส่งผลดีต่อการขับขี่แน่นอนในเรื่องนี้
งานออกแบบในด้านหน้าภาพรวมนั้นจะเห็นชุดแต่งที่มีความสปอร์ตเพิ่มเติมเสริมเข้ามาในรุ่นนี้ทั้ง ชายกันชนล่าง และ รอบคันที่จะดูแล้วรู้สึกเลยว่ามีความแตกต่างกับรุ่นปกติแบบชัดเจน และเอกลักษณ์จุดขายทั้ง 2 รุ่นก็มีความแตกต่างกันด้วยครับ ในรุ่น Sportback จะเน้นความเพรียวลม สปอร์ตดุดัน แต่ถ้าในรุ่นปกติ จะเน้นใช้งาน พื้นที่ใช้สอยและขับทั่วไปมากกว่านั้นเอง และในรุ่น Sportback มีช่วงล่างถุงลมแบบ Dynamic ที่มีความ สปอร์ตมากขึ้นด้วยเช่นกัน ทรงรถจริงๆนั้นถือว่ามีความสวยงามและเรียบๆแต่มีความดุดันแฝงตัวอยู่ครับ แน่นอนว่าตระกูล E-Tron นั้นรุ่นนี้ใช้พื้นฐานเดียวกับพวก Q5 และจริงๆตัวรถก็ถือว่าขนาดอะไรนั้นกำลังดีไม่ได้เล็กหรือว่าใหญ่มากเกินไปด้วยนั้นเอง
อีกจุดเด่นของตัวรถนั้นแน่นอนว่าการใช้งานช่วงล่างที่สามารถปรับระดับได้ และสามารถยกให้ตัวรถสูงสุดได้แบบในภาพข้างบน และสามารถโหลดต่ำที่สุดได้ในภาพส่วนล่าง ซึ่งจะเป็นโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันไปครับก็ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่เด่นๆเลยแหละ ขับขี่ได้ทั้งในการขับลุยหรือพื้นที่ที่สูงๆได้ขึ้นเนินต่างๆ หนีน้ำท่วมเป็นต้น หรือจะเป็นการขับขี่ที่เน้นความเป็น สปอร์ต สายซิ่งได้และช่วงล่างจะมีความแน่น แข็งมากกขึ้นด้วยเช่นกัน ถือว่าเป็นช่วงล่างที่ดีมากๆคันนึงของบรรดา Audi เลยครับทั้งเทคโนโลยี และการใช้งานขับขี่ และเป็นรถไฟฟ้าด้วยทำให้ศูนย์ถ่วงต่ำมากๆครับ
งานออกแบบนั้นกระจังหน้านั้นเป็นรูปทรงแบบใหม่หรือว่าเจนใหม่แล้วนั้นเองจะแตกต่างกับรุ่นอื่นๆของค่ายก่อนหน้าครับและทรงเดิมกับตระกูล E-TRON และมีความเปรียบมากขึ้นจากรุ่น Q5 Q7 และด้วยความเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทำให้ไม่ต้องมีช่องดักลมอะไรเยอะ กระจังหน้าเลยมีความเรียบและเป็นช่องปิดเยอะมากๆใช้งานสีเทาผสมกับสีเงินด้านทั้งหมดและ S-LINE ครับ รวมถึง ตรงส่วนล่างของกระจังหน้าจะเขียนว่า E-TRON ด้วยเช่นกัน พร้อมกับเซนเซอร์ และ กล้องใต้โลโก้ ส่วนช่องดักลมข้างๆนั้นเป็นช่องจริงๆช่วยเรื่องของ การไหลเวียนอากาศที่ดีมากๆ และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบนี้ยิ่งส่งผลครับ รวมถึงเส้นสายในด้านหน้ามีความสวยเท่ และ ดุดันตามสไตล์ S-LINE
กระจกมองข้างสไตล์โฉบเฉี่ยวเล่นสองสีพร้อมกับกล้องรอบคันใส่เข้ามาครับแน่นอนว่า e-tron ในต่างประเทศนั้นจะเป็นกล้องแทนกระจกมองข้างแล้ว แต่ในไทยนั้นเองยังคงใส่กระจกเข้ามาแทน ด้วยความคุ้นชินของหลายๆคนและราคาที่จะทำได้ดีขึ้นเลยทำให้ทางค่าย ตัดสินใจใช้งานกระจกแบบดั้งเดิมครับ และน่าเสียดายไม่มีเตือนมุมบอดอะไร ส่วนด้านท้ายรถนั้นเป็นทรง Sportback พร้อมกับ Ducktail ตูดเป็ดใส่เข้ามาให้เล็กน้อย และ ด้านข้างนั้นจะเป็นเส้นสาย เล่นสีดำพร้อมกับความสปอร์ตส่วนล่างเข้ามาเสริมก็ถือว่าเป็นลูกเล่นเล็กๆน้อยที่เสริมให้รถดูมีอะไรมากขึ้น
ทางด้านตัวล้อเป็นจุดเด่นนึงอย่างมากของรุ่นนี้ ด้วยความที่ทั้งงานออกแบบ และขนาดมีความสวยและโดดเด่นและใหญ่โตแบบนี้ รวมถึง คาลิปเปอร์เบรคสีส้ม ทำให้รถมีความเด่นกว่าเดิมเยอะมากๆ เมื่อเทียบกับรุ่นปกติของ Q5 Q7 พวกนี้ ทางรุ่นนี้มาพร้อมกับล้ออัลลอย ขนาด 21 นิ้ว 9.5 J x 21 พร้อมยาง 265/45 R21 และ เบรคสีส้มที่เขียนว่า E-TRON ลายล้อเป็นลายที่สวยจบลงตัว ไม่ต้องมาปรับแต่งหรือเปลี่ยน ส่วนเหนือซุ้มล้อนั้นจะเป็นที่ชาร์จไฟเข้าของรถยนต์ เพราะว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าครับ เปิดด้วยการกด และทำงานเป็นระบบไฟฟ้า มีไฟสถานะ ด้านขวา และ ไฟส่องสว่างสีขาว พร้อมบอกว่าสถานะเป็นอย่างไรผ่านสีครับ พอร์ตชาร์จเป็น TYPE2 – CCS TYPE 2 รองรับมาตรฐานครับ ทั้งชาร์จไว DC -AC ทั่วไปเลย เป็นมาตรฐานเดียวกับ ยุโรป และ สมัยใหม่ทั้งหมดเลยครับ
หลังคา Panoramic ได้ใส่เข้ามา รองรับการเปิดรับลมได้ในส่วนของตอนหน้า แต่ส่วนของกระจกจริงๆนั้นจะยาวไปถึงด้านหลังครับ ถือว่าเป็นหลังคาที่เปิดออกมาแล้วดูไม่สูงหรือเด่นจากหลังคาเท่าไรนักจุดนี้ถือว่าออกแบบมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวเพราะว่าในหลายๆรุ่นเราจะเห็นว่ามันจะกางออกมาเยอะและยิ่งเป็นพวกหลังคาลาดก็จะรู้สึกได้ชัดครับ
ตัวงานออกแบบของตัวรถนั้นจริงๆไม่ได้รู้สึกเลยว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า เป็นงานออกแบบที่เรียบแต่ดูดี ดูสปอร์ต และเด่นๆคือตัวรถมาพร้อมกับล้อ 21 นิ้วใหญ่สะใจอย่างมากทำให้ตัวรถดูพรีเมี่ยมมากขึ้นไปอีกขั้นกระจังหน้ายังคงเน้นสีเทาเป็นหลักพร้อมกับ สัญลักษณ์ e-Tron ในด้านล่างกระจัง รวมถึงช่องดักลมต่างๆก็มีเยอะและสามารถเปิดปิดได้ด้วยครับ Audi ยังคงเป็นค่ายที่ออกแบบรถยนต์ได้ดูดีและลงตัวมากๆเลยแหละ ส่วนไฟท้ายแบบเส้นสายยาวต่อเนื่องยังคงใส่เข้ามาให้คงเอกลักษณ์จากรุ่นปกติ รวมถึงมี Animation เวลาปลดล็อคมาให้นิดหน่อยครับ แต่จะไม่ได้อลังเท่า AUDI A7 ส่วนไฟทั้งหมดถือว่าออกแบบมาลงตัวและสวย พร้อมไฟตัดหมอกมาให้ในมุมขวาล่างของรถ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้