ศิลปะการตั้งเป้าหมายตามชีววิทยาของมนุษย์

ผมได้ห่างหายจากการเขียนบทความให้ความรู้สาธารณะมาเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากช่วงปีใหม่ที่ผ่ามมาได้มีโอกาสเรียนคอร์สใหม่ ๆ และทดลองซื้อโปรแกรมการทำวีดิโอ และเห็นพี่ที่เคารพท่านนึง คือ พี่ธัญ ใจภักดีมั่น ออกมาแชร์ประสบการณ์ที่แกหมดเงินไปเป็นล้านเพื่อให้น้องๆ ฟังฟรีๆ จึงอยากจะใช้โอกาสในการแบ่งปันความรู้ที่ได้มาให้กับสาธารณะอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

เผื่อใครอยากดูเป็นวิดีโอสั้นๆ ก็ตามลิงค์นี้เลยครับ

https://fb.watch/3rd0WQ_khN/

 


เรื่องแรกที่จะเขียนวันนี้คือการทำตามเป้าหมายให้สำเร็จเกือบ 100% ถึงแม้ว่า หัวเรื่องมันเหมือนเป็นเรื่องที่หลอกให้คุณอ่าน (คลิกเบท – Click Bait) แต่มันเป็นวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ และเกี่ยวข้องกับกระบวนการชีววิทยาโดยตรง ถึงแม้ว่าจะมีหลาย ๆ คนที่เคยผ่านหูผ่านตาในเรื่องที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้มาบ้าง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีคนเพียงแค่ 1% ที่เข้าใจและใช้มันอย่างจริงจังเท่านั้น ซึ่งมันทำให้คนกลุ่มนี้แตกต่างกับคนอื่น ๆ  ทั้งในแง่การประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน หรือ การสั่งสมสินทรัพย์สำหรับครอบครัวในอนาคต วิธีนี้ผมเริ่มเข้าใจมันตอนผมอายุ 18 ซึ่งทำให้ผมทำเป้าหมายต่างๆ สำเร็จได้มากกว่า 90% เช่น

จากเด็กช่างกลที่สอบตก -> จบโทจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งด้านวิศวกรรมของยุโรป

จากขายงานไม่เป็นเลย -> จนขายได้มากกว่า 32 ล้านบาทภายใน 1 ปี และรวมกว่าพันล้านบาทใน 10 ปี 

จากเซลล์ที่มีความเข้าใจงานระบบ M&E เพียงเล็กน้อย -> จนเป็นที่ปรึกษาและผู้ออกแบบหลักในโครงการก่อสร้างขนาด 3,000 ล้านบาทในต่างประเทศโดยใช้เวลาไม่ถึง 6 เดือน

ซึ่งเรื่องการทำตามเป้าหมายใดๆ ให้สำเร็จนั้นแบ่งประกอบด้วยการตั้งเป้าหมายที่ถูกต้อง และวิธีการกระทำตามเป้าหมายที่ถูกต้อง ซึ่งวันนี้เราจะมาคุยกันเฉพาะเรื่องการตั้งเป้าหมายให้ถูกต้องตามชีววิทยาของมนุษย์ก่อนครับ ซึ่งการทำเพียงแค่นี้คุณก็มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าคนทั่วๆ ไปหลายสิบเท่าแล้ว 

แล้วเป้าหมาย คือ อะไร?
 
เป้าหมาย ภาษาอังกฤษ คือ Goal ตามนิยาม  หมายถึง สิ่งที่เราตั้งใจไว้ว่าจะทำให้สำเร็จ  
 

ลองตอบคำถามกับตัวเองให้ชัดๆ ว่า  เป้าหมายในชีวิตของคุณคืออะไร ?
 
ถ้าคุณตอบได้อย่างชัดเจนว่ามันคืออะไร ผมขอแสดงความยินดีด้วย เพราะนั่นก็แสดงว่าคุณมีจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมแล้ว เพราะคุณมีโอกาสสำเร็จมากกว่าคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองแต่ไม่มีเป้าหมายชัดเจน มากกว่า 10 เท่า ตามงานวิจัยในปี 1989 [1] พบว่า มีเพียงแค่ 4% ของคนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ยังคงยึดติดกับสิ่งที่อยากจะทำนั้นหลังจากหกเดือน ในขณะที่คนที่ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนมีโอกาสที่จะอยู่กับมันมากถึง 46% เมื่อเวลาผ่านไปเท่าๆ กัน
 
ในปัจจุบันตัวเลขนั้นแย่กว่านี้มากในปี 2020 ที่ผ่านมาจากงานวิจัยของ YouGov [2] ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่ามีเพียง 27% ของคนอเมริกันเท่านั้นที่ตั้งเป้าหมายของปี 2020 ซึ่งตามการศึกษา [3] พบว่ามีเพียง 8% เท่านั้นที่ทำตามเป้าหมายได้สำเร็จอยู่เสมอๆ ถ้าเราตัวเลยสองตัวนี้มาคำนวณกันดู จะพบว่า

มีคนเพียง 2.16% เท่านั้นที่สามารถทำตามเป้าหมายได้ทุกปี และการทำตามเป้าหมายสำเร็จอย่างต่อเนื่องทุกปีนั่นคือจุดสำคัญที่ทำให้คนจำนวนหนึ่งในนั้น กลายเป็นคน 1% ที่ประสบความสำเร็จ มากกว่าคน 99% ที่เหลืออย่างมาก
 
ซึ่งถ้าเรามาข้อมูลจาก Global Wealth Report 2018 [4] จะพบว่ากลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศไทย 1% ถือครองทรัพย์สินของประเทศถึง 66.9% ถ้าเรามองดูภาพรวมทั้งโลก คน 1% ที่รวยที่สุดในโลก นั้นถือครองทรัพย์สิน 43.4% ของโลกในปี 2020 [5] ถ้าสีเหลี่ยมด้านล่างคือทรัพย์สินของไทย และประเทศไทยมีคนอยู่ 100 คน คนที่ถือครองทรัพย์สินมากที่สุดจะถือครองพื้นที่สีแดงส่วนอีก 99 คนที่เหลือจะแบ่งพื้นที่สีขาวกัน ดังนั้นถ้าคุณจะประสบความสำเร็จ ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากที่จะตั้งเป้าให้เป็น คน 1% แรกเท่านั้นครับ

 

คำถามต่อมา คือทำไมคนหนึ่งเปอร์เซ็นต์ถึงรวยกว่าคนที่เหลือมากๆ ?
 
บางคนคงคิดในใจว่า เพราะ ครอบครัวเขาร่ำรวย ? เขาฉลาดมากๆ ? หรือว่า เขาโชคดีมากกว่าเรา ?
 
แต่จากการศึกษาและงานวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ให้คำตอบที่ชัดเจนว่ามันไม่ใช่เลย
 
ผลการสำรวจในสหรัฐอเมริกาพบว่า
 
คนที่มีทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ประมาณ 88% นั้นสร้างตัวขึ้นมาโดยใช้เวลาเพียงชั่วคนเดียว และมีแค่ประมาณ 12% เท่านั้นที่ มีได้รับมรดกมากกว่า 10% ของสินทรัพย์ที่พวกเขามีอยู่ [6]
 
ไอคิวเฉลี่ยของพวกเขาก็อยู่ที่ 118 เท่านั้น ในขณะที่การวิจัยของกลุ่มเด็กที่ฉลาดมากๆ ที่ IQ 140 ขึ้นไป – The Termites ก็ไม่ได้ยืนยันว่าถ้าคุณ IQ มากจะสามารถทำเงินได้มาก และประสบความสำเร็จเสมอไป7  ซึ่งถ้าใครมี IQ 118 นั่นหมายความว่า คนๆ นั้น แค่อยู่ในกลุ่มประชากรที่ฉลาดพอที่จะเรียนระดับปริญญาโทได้แค่นั้น

 
สำหรับคนที่โชคดีและถูกรางวัล เราต่างรู้กันดีกว่าส่วนใหญ่คนที่โชคดีโดยไม่มีความรู้ในการใช้เงินเพียงพอนั้นมักจะมีจุดจบที่แย่ โดยงานวิจัยพบว่าหนึ่งในสาม ของคนที่ถูกล๊อตตารีจะล้มละลายภายในเวลาไม่ถึง 5 ปี และผ่านไปสิบปีพบว่าเฉลี่ยแล้วพวกเขาเหลือเงินแค่ 16% ของเงินที่ได้รับรางวัลเท่านั้น [8]
 

ถ้าอย่างนั้นทำไม คนแค่หนึ่งเปอร์เซนต์ ถึงประสบความสำเร็จมากกว่าคนอีก 99% ที่เหลือรวมกัน?

คำตอบก็คือ
 

พวกเขารู้วิธีตั้งเป้าหมายชีวิตให้ถูกต้อง และวิธีทำตามเป้าหมาย ตามหลักชีววิทยาของมนุษย์ นั่นเองครับ
 

แล้วการตั้งเป้าหมายมันคืออะไรล่ะ ?

 
การตั้งเป้าหมาย ภาษาอังกฤษ คือ Goal Setting ตามนิยามคือ การวางวิธีการและกลยุทธเพื่อกระตุ้นให้คนหรือกลุ่มคนมุ่งไปสู่เป้าหมาย โดยผ่านกระบวนการคิด และตัดสินใจว่าคุณต้องการผลลัพธ์อะไร แต่เพียงแค่นี้มันยังไม่พอที่จะพาคุณไปถึงเป้าหมาย เพราะตามการการสำรวจในปี 2020 โดย Strava แอพพลิเคชั่นออกกำลังกายชื่อดัง พบว่าวันที่ 19 มกราคม 2020 เป็นวันที่คนที่ตั้งเป้าหมายประจำปีส่วนใหญ่จะเลิก (Quitters’ Day) [10]  หรือเพียงแค่ไม่ถึงสามสัปดาห์จากวันที่เริ่มทำ ซึ่งแย่กว่าในปี 1989 ที่คนที่ตั้งเป้าหมายประจำปี จะล้มเลิก 50 เปอร์เซ็นต์ในเวลาประมาณ 3 เดือน [1]

แล้วจะทำยังไงถึงจะตั้งเป้าแบบถูกต้องได้ ?
 

การตั้งเป้าแบบถูกต้องต้องเข้าใจการทำงานของสมองก่อน สมองของมนุษย์ทำงานแบบ จากด้านในมาสู่ด้านนอก โดยสมองด้านในสุดนั้นเป็นสมองส่วน Basal Ganglia เป็นสมองที่มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน มีหน้าที่จัดการระบบจิตไร้สำนึกอัตโนมัติ เช่นการเคลื่อนที่ การทำอะไรซ้ำๆ จนไม่ต้องคิด จากนั้นเป็นสมองส่วน Limbic System หรือสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งมีหน้าที่เรื่องอารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงสัญชาตญาณ  และสุดท้ายคือ Neocortex เป็นสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่พัฒนาแล้วที่มีหน้าที่จัดการด้านตรรกะและเหตุผล ภาษา และการเรียนรู้ต่างๆ 

รูปที่ 2 : ส่วนต่างๆ ของสมองที่มีผลต่อกระบวนการมุ่งสู่เป้าหมาย [11]


ผมเคยคิดว่ามนุษย์จะใช้ตรรกะและเหตุผล เพื่อควบคุมอารมณ์ และการตัดสินใจ แต่จากการศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ด้านสมองและพฤติกรรม มันกลับตรงข้าม คือส่วนใหญ่แล้วสมองทำงานจากด้านในออกด้านนอก สมองจะตัดสินใจจากข้อมูลเดิมที่มีอยู่ ก่อนที่จะส่งอารมณ์ความรู้สึก และสั่งให้สมองหาเหตุผลมาเข้าข้างอารมณ์นั้น ดังนั้นไม่มีทางที่คุณจะสามารถชนะอารมณ์และความรู้สึกได้ด้วยเหตุผล เพราะว่าสัญญาณสมองส่งจากสมองส่วน Basal Ganglia ไปยัง Limbic System ไปยัง NeoCortex จึงทำให้เราใช้ตรรกะและเหตุผลเพื่อหาเหตุให้เราตอบสนองต่อ การตัดสินใจ และอารมณ์ [12]  ซึ่งสมองของเราจะมีวิธีการจัดการแบบนี้โดยใช้จิตไร้สำนึก 90-98% ของช่วงเวลาในแต่ละวัน ส่วน 2-10% ที่เหลือเราจะสามารถใช้ตรรกะ และเหตุผลในการตัดสินใจได้ แต่มันคือช่วงที่เรา มีความจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเรียกว่ามีสมาธิ เท่านั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่