โลกคู่ขนานแบบปัจเจกและองค์รวม
ในหลายๆครั้งที่ผมอ่านเรื่องราวหรือบทความทางด้านวิทยาศาสตร์ทางด้านฟิสิกส์ในประเด็นของการมีอยู่ของโลกคู่ขนานที่มักจะนำมากล่าวอ้างกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งก็ยังหาข้อสรุปที่เป็นรูปอธรรมไม่ได้ยังคงอยู่ในรูปของแนวคิดและทฤษฎีตามแต่ละคนจะคิดวิเคราะห์พิจารณากันออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายและน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยส่วนผมเป็นคนที่ชอบเรื่องราวในทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นระพระกาฬก็ตาม เรื่องโลกคู่ขนานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตัวผมเองสนใจและเชื่อว่าการดำรงอยู่ของโลกคู่ขนานนั้นมีอยู่จริง วิทยาศาสตร์คือการพยายามที่จะอธิบายปรากฏการณ์ของธรรมชาติและสรรพสิ่งโดยใช้คณิตศาสตร์เป็นภาษาในการสื่อสารแปลความหมายมันออกมา ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและแสดงผลลัพธ์ออกมาอย่างคงที่ย่อมมีบางสิ่งบางอย่างที่คอยควบคุมสั่งการอยู่เบื้องหลังจึงเป็นที่มาของสร้างแนวคิด ทดลอง ประมวลผล เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบของปรากฏการณ์นั้นๆ แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังคงหาข้อสรุปยังไม่ได้หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของโลกคู่ขนานมันยังคงอยู่ในรูปแบบของทฤษฎีทางด้านแนวความคิด ซึ่งผมขอนำเสนอเรื่องโลกคู่ขนานตามแนวความคิดของผมบ้างผิดพลาดอย่างหนึ่งอย่างใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
หลายๆคนที่สนใจเรื่องราวความรู้เกี่ยวกับทางด้านวิทยาศาสตร์ก็อาจจะรับรู้หรือได้ยินเกี่ยวกับเรื่องโลกคู่ขนานกันมาบ้างพอสมควรกล่าวโดยสรุปแบบเคร่าให้เข้าใจง่ายเกี่ยวกับมันก็คือหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างโลกคู่ขนานนั้นจะให้ผลที่ตรงกันข้ามกัน เช่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมนีแพ้สงครามในครั้งนั้นบนโลกของเราแต่เยอรมนีชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ในโลกคู่ขนานของเรา เป็นต้น ซึ่งเป็นการอธิบายเพื่อให้เข้าใจในแบบแผนของโลกคู่ขนานนั้นเอง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมในหลายๆครั้งจนทำให้ผมคิดว่ามันไม่ใช่เหตุบังเอิญผมตั้งชื่อปรากฏการณ์นี้ว่า
Meeting Point กล่าวคือการพบกับบุคคลหนึ่งบุคคลใดในจุดหนึ่งๆ แล้วต่างคนก็ต่างดำเนินกิจกรรมไปของแต่ละบุคคลจนเสร็จสิ้นเมื่อเดินทางกลับเราก็จะพบกับบุคคลเดิม ณ จุดตำแหน่งเดิมก่อนที่ต่างคนจะแยกย้ายไปทำกิจกรรมของตัวเองฟังดูอาจจะเข้าใจยากสักหน่อยผมขอยกตัวอย่างมาอธิบายปรากฏการณ์แบบเป็นรูปอธรรมกล่าวคือ สมมุติว่า นาย ก. เดินออกจากบ้านเพื่อจะไปซื้อของที่ตลาดพอนาย ก เดินมาถึงทางสามแยกก็เจอกับนาย ข ณ เวลานั้น ต่างคนก็ต่างกล่าวคำทักทายกันเพียงคำสั้นๆ แล้วก็แยกกันไปทำธุระของตัวเอง เมื่อนาย ก ไปถึงตลาดและซื้อของตามที่ต้องการจนครบถ้วนแล้วก็เดินกลับในทางสายเดิม เมื่อนาย ก เดินมาถึงที่ทางสามแยกเดิมปรากฏว่านาย ก พบกับนาย ข ที่เดินทางกลับหลังจากทำธุระเสร็จที่จุดเดิมคือทางสามแยกเหมือนเดิมเพียงแต่แตกต่างกันที่เวลาเท่านั้น เราจะอธิบายปรากฏการณ์นี้อย่างไร ?
เรามาลองวิเคราะห์พร้อมๆกัน
1) นาย ก ไม่ได้นัดพบกับ นาย ข ที่ทางสามแยกนั้น
2 ) นาย ก และ นาย ข ต่างไม่รู้กิจกรรมหรือธุระกรรมที่ต้องทำของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
3 ) ไม่มีการนัดพบที่ทางสามแยกเดิมหลังต่างคนต่างทำธุระเสร็จสิ้น
4 ) ธุระกรรมหรือกิจกรรมของแต่ละฝ่ายไม่เหมือนกันและใช้เวลาในการจัดการไม่เท่ากัน
5 ) ทั้งนาย ก และนาย ข มีเวลาเท่ากัน
คำถาม:มันเกิดอะไรขึ้นกับปรากฏการณ์นี้ ? หากมันเป็นเพราะเหตุบังเอิญมันคงไม่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอแต่ถ้าเกิดขึ้นเพราะเหตุบังเอิญจริงบทความนี้ก็จะจบลงเพียงแค่บรรทัดนี้!!!!!!!
แต่ถ้าหากว่ามันไม่ใช่เหตุบังเอิญแล้วมันคืออะไรเราจะอธิบายปรากฏการณ์นี้อย่างไร ?
เราลองมาวาดรูปเพื่อจำลองปรากฏการณ์นี้ดูตามรูปด้านล่าง
จากรูปเรากำหนดให้วงกลมนั้นแทนค่าขนาดของกิจกรรมที่ทั้ง นาย ก และ นาย ข ทำขนาดของวงกลมจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนของกิจกรรมกล่าวคือ ถ้าวงกลมมีขนากเล็กกิจกรรมที่ทำก็จะน้อยตรงกันข้ามถ้าวงกลมมีขนาดใหญ่กิจกรรมก็จะมากตามตัว ซึ่งอธิบายได้ว่าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีกิจกรรมที่ต้องทำมากก็ต้องใช้เวลาจัดการแต่ละกิจกรรมให้น้อยที่สุดในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งมีกิจกรรมที่ต้องทำไม่มากจึงไม่ต้องรีบเร่งในการจัดการกับกิจกรรมนั้นๆ มันดูเหมือนกับกฎการเคลื่อนที่แบบวงกลมธรรมดาๆ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่รู้ว่าใครมีกิจกรรมอะไรทำบ้างสิ่งที่น่าสนใจคือ เขาทั้งกลับมาพบกันที่จุดเดิม เขียนออกมาในรูปสมการได้ว่า นาย ก เท่ากับ นาย ข ตามรูป หากว่านาย ก เคลื่อนไวจนเกือบจะเหมือนว่าอยู่นิ่งๆจนความเร็วเท่ากับศูนย์ นาย ข ต้องทำความเร็วให้เท่ากับศูนย์เช่นกันตามวงรอบของกิจกรรม คำถามคือแล้วทำไมทั้ง 2 ถึงไม่หยุดอยู่กับที่เสียเลยคำตอบคือต้องมีการแยกย้ายไปจากจุดนัดพบเดิมก่อนที่จะมาพบกันอีกครั้งปรากฏการณ์นี้ถึงจะสมบูรณ์ ปรากฏการณ์นี้พยายามสื่อสารกับเราว่าอย่างไร ?
เราจะหยุดเรื่องนี้ไว้ตรงนี้ก่อน......
เรามาว่าเรื่องโลกคู่ขนานกันต่อในแนวความคิดของผมโลกคู่ขนานกับเรามีสถานนะเป็นสสาร อะตอม อนุภาค นั้นก็คือมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นโลกคู่ขนานในความหมายของผมคือไม่ได้หมายความว่ามีโลกอีกใบและมีเราอีกคนในเอกภพอื่นแต่มันคือโลกที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็นโปรดอย่านำไปเชื่อมโยงกับเรื่องความเชื่อทางไสยศาสตร์หรือมนต์ดำใดๆก็ตามแต่ จงพินิจพิจารณาในแง่มุมและแนวทางตามหลักวิทยาศาสตร์ เราจะมาว่ากันในส่วนของโลกคู่ขนานแบบปัจเจกคือเป็นเอกเทศเฉพาะแต่ละบุคคลกันก่อนในทุกๆช่วงชีวิตของเราในทุกๆข่วงของกิจกรรมในชีวิตของเราจนสู่การดับสลายในท้ายที่สุดสามารถเขียนเป็นรูปทรงเลขาคณิตออกมาได้เป็นรูปทรงกรวยแบบนาฬิกาทรายตามรูปด้านล่าง
ในแต่ละช่วงของชีวิตคนเราก็จะมีหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของแต่ละคนด้วยช่องตารางระนาบในแต่ละช่องซึ่งถูกแบ่งย่อยอย่างสมส่วนจนไปถึงส่วนยอดกรวยแล้วเชื่อมโยงไปถึงกรวยเหตุการณ์คู่ขนานของแต่ละคน สิ่งที่ใครหลายๆคนบอกว่าโลกคู่ขนานนั้นกิจกรรมหรือเหตุการณ์จะตรงกันข้ามกันนั้นก็คือสมมุติในโลกของมีการแปลความหมายของกิจกรรมหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจากซ้ายมือไปทางขวามือแต่กับโลกคู่ขนานของเรานั้นกลับตรงกันข้ามคือแปลจากขวามือไปซ้ายมือทั้งรูปแบบที่เป็นปัจเจกและองค์รวม ว่าแล้วเราก็มาว่ากันถึงโลกคู่ขนานแบบองค์รวม
คำว่าองค์รวมในที่นี้ก็หมายความว่าทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นเอง โลกคูขนานของเรามีคุณสมบัติเป็นอนุภาคบางเบาไร้กลิ่น ไร้รูปแบบ โปรงแสง หากจะพูดให้เห็นเป็นรูปอธรรมให้ง่ายต่อการเข้าใจมันก็คล้ายกับชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกไว้อีกชั้นหนึ่งนั้นเอง นั้นก็หมายความว่ามันล่องลอบอยู่รอบๆตัวเรานั้นเอง พวกเราอยู่ภายใต้แผ่นระนาบของโลกคู่ขนานของเราถ้าเราเดินทางออกไปนอกโลกสู่อวกาศเราก็จะเห็นโลกคู่ขนานซ้อนทับอยู่กับโลกของเราถ้าคุณสามารถมองเห็นมันได้ตามรูปด้านล่างนี้ เพราะกิจกรรมหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเราในโลกใบนี้ย่อมส่งผลถึงโลกคู่ขนานของเราด้วยเช่นกัน สรุปได้ว่าโลกคู่ขนานมันซ้อนทับอยู่กับโลกของเราเพียงแต่อยู่กันคนละสถานะ ย้อนมาเรื่องนาย ก กับ นาย ข ที่พบกับที่สามแยกแห่งจุด meeting point นั้น
นาย ก ไม่รู้สิ่งที่นาย ข ทำก่อนที่จะมาพบกับเช่นเดียวกับนาย ข ก็ไม่รู้เช่นกันว่านาย ก ทำอะไรมาบ้าง วงรอบของคู่ปฏิสัมพันธ์จะมาเจอกันที่จุดเดิมอีกครั้งหนึ่งหลังจากแต่ละฝ่ายดำเนินกิจกรรมนั้นๆเสร็จสิ้น กล่าวโดยสรุปผมไม่รู้ว่าปรากฏการณ์ดั่งกล่าวมันต้องการสื่อสารอะไรกับเราและเราจะสามารถนำมันมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของเราได้อย่างไรยังเป็นคำถามที่ผมต้องการคำตอบอยู่??????
ปล.นี้เป็นความคิดส่วนบุคคลอาจจะไมjถูกต้องตามหลักวิชาการ
โลกคู่ขนานแบบปัจเจกและองค์รวม
ในหลายๆครั้งที่ผมอ่านเรื่องราวหรือบทความทางด้านวิทยาศาสตร์ทางด้านฟิสิกส์ในประเด็นของการมีอยู่ของโลกคู่ขนานที่มักจะนำมากล่าวอ้างกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งก็ยังหาข้อสรุปที่เป็นรูปอธรรมไม่ได้ยังคงอยู่ในรูปของแนวคิดและทฤษฎีตามแต่ละคนจะคิดวิเคราะห์พิจารณากันออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายและน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยส่วนผมเป็นคนที่ชอบเรื่องราวในทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นระพระกาฬก็ตาม เรื่องโลกคู่ขนานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตัวผมเองสนใจและเชื่อว่าการดำรงอยู่ของโลกคู่ขนานนั้นมีอยู่จริง วิทยาศาสตร์คือการพยายามที่จะอธิบายปรากฏการณ์ของธรรมชาติและสรรพสิ่งโดยใช้คณิตศาสตร์เป็นภาษาในการสื่อสารแปลความหมายมันออกมา ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและแสดงผลลัพธ์ออกมาอย่างคงที่ย่อมมีบางสิ่งบางอย่างที่คอยควบคุมสั่งการอยู่เบื้องหลังจึงเป็นที่มาของสร้างแนวคิด ทดลอง ประมวลผล เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบของปรากฏการณ์นั้นๆ แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังคงหาข้อสรุปยังไม่ได้หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของโลกคู่ขนานมันยังคงอยู่ในรูปแบบของทฤษฎีทางด้านแนวความคิด ซึ่งผมขอนำเสนอเรื่องโลกคู่ขนานตามแนวความคิดของผมบ้างผิดพลาดอย่างหนึ่งอย่างใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
หลายๆคนที่สนใจเรื่องราวความรู้เกี่ยวกับทางด้านวิทยาศาสตร์ก็อาจจะรับรู้หรือได้ยินเกี่ยวกับเรื่องโลกคู่ขนานกันมาบ้างพอสมควรกล่าวโดยสรุปแบบเคร่าให้เข้าใจง่ายเกี่ยวกับมันก็คือหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างโลกคู่ขนานนั้นจะให้ผลที่ตรงกันข้ามกัน เช่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมนีแพ้สงครามในครั้งนั้นบนโลกของเราแต่เยอรมนีชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ในโลกคู่ขนานของเรา เป็นต้น ซึ่งเป็นการอธิบายเพื่อให้เข้าใจในแบบแผนของโลกคู่ขนานนั้นเอง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมในหลายๆครั้งจนทำให้ผมคิดว่ามันไม่ใช่เหตุบังเอิญผมตั้งชื่อปรากฏการณ์นี้ว่า
Meeting Point กล่าวคือการพบกับบุคคลหนึ่งบุคคลใดในจุดหนึ่งๆ แล้วต่างคนก็ต่างดำเนินกิจกรรมไปของแต่ละบุคคลจนเสร็จสิ้นเมื่อเดินทางกลับเราก็จะพบกับบุคคลเดิม ณ จุดตำแหน่งเดิมก่อนที่ต่างคนจะแยกย้ายไปทำกิจกรรมของตัวเองฟังดูอาจจะเข้าใจยากสักหน่อยผมขอยกตัวอย่างมาอธิบายปรากฏการณ์แบบเป็นรูปอธรรมกล่าวคือ สมมุติว่า นาย ก. เดินออกจากบ้านเพื่อจะไปซื้อของที่ตลาดพอนาย ก เดินมาถึงทางสามแยกก็เจอกับนาย ข ณ เวลานั้น ต่างคนก็ต่างกล่าวคำทักทายกันเพียงคำสั้นๆ แล้วก็แยกกันไปทำธุระของตัวเอง เมื่อนาย ก ไปถึงตลาดและซื้อของตามที่ต้องการจนครบถ้วนแล้วก็เดินกลับในทางสายเดิม เมื่อนาย ก เดินมาถึงที่ทางสามแยกเดิมปรากฏว่านาย ก พบกับนาย ข ที่เดินทางกลับหลังจากทำธุระเสร็จที่จุดเดิมคือทางสามแยกเหมือนเดิมเพียงแต่แตกต่างกันที่เวลาเท่านั้น เราจะอธิบายปรากฏการณ์นี้อย่างไร ?
เรามาลองวิเคราะห์พร้อมๆกัน
1) นาย ก ไม่ได้นัดพบกับ นาย ข ที่ทางสามแยกนั้น
2 ) นาย ก และ นาย ข ต่างไม่รู้กิจกรรมหรือธุระกรรมที่ต้องทำของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
3 ) ไม่มีการนัดพบที่ทางสามแยกเดิมหลังต่างคนต่างทำธุระเสร็จสิ้น
4 ) ธุระกรรมหรือกิจกรรมของแต่ละฝ่ายไม่เหมือนกันและใช้เวลาในการจัดการไม่เท่ากัน
5 ) ทั้งนาย ก และนาย ข มีเวลาเท่ากัน
คำถาม:มันเกิดอะไรขึ้นกับปรากฏการณ์นี้ ? หากมันเป็นเพราะเหตุบังเอิญมันคงไม่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอแต่ถ้าเกิดขึ้นเพราะเหตุบังเอิญจริงบทความนี้ก็จะจบลงเพียงแค่บรรทัดนี้!!!!!!!
แต่ถ้าหากว่ามันไม่ใช่เหตุบังเอิญแล้วมันคืออะไรเราจะอธิบายปรากฏการณ์นี้อย่างไร ?
เราลองมาวาดรูปเพื่อจำลองปรากฏการณ์นี้ดูตามรูปด้านล่าง
จากรูปเรากำหนดให้วงกลมนั้นแทนค่าขนาดของกิจกรรมที่ทั้ง นาย ก และ นาย ข ทำขนาดของวงกลมจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนของกิจกรรมกล่าวคือ ถ้าวงกลมมีขนากเล็กกิจกรรมที่ทำก็จะน้อยตรงกันข้ามถ้าวงกลมมีขนาดใหญ่กิจกรรมก็จะมากตามตัว ซึ่งอธิบายได้ว่าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีกิจกรรมที่ต้องทำมากก็ต้องใช้เวลาจัดการแต่ละกิจกรรมให้น้อยที่สุดในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งมีกิจกรรมที่ต้องทำไม่มากจึงไม่ต้องรีบเร่งในการจัดการกับกิจกรรมนั้นๆ มันดูเหมือนกับกฎการเคลื่อนที่แบบวงกลมธรรมดาๆ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่รู้ว่าใครมีกิจกรรมอะไรทำบ้างสิ่งที่น่าสนใจคือ เขาทั้งกลับมาพบกันที่จุดเดิม เขียนออกมาในรูปสมการได้ว่า นาย ก เท่ากับ นาย ข ตามรูป หากว่านาย ก เคลื่อนไวจนเกือบจะเหมือนว่าอยู่นิ่งๆจนความเร็วเท่ากับศูนย์ นาย ข ต้องทำความเร็วให้เท่ากับศูนย์เช่นกันตามวงรอบของกิจกรรม คำถามคือแล้วทำไมทั้ง 2 ถึงไม่หยุดอยู่กับที่เสียเลยคำตอบคือต้องมีการแยกย้ายไปจากจุดนัดพบเดิมก่อนที่จะมาพบกันอีกครั้งปรากฏการณ์นี้ถึงจะสมบูรณ์ ปรากฏการณ์นี้พยายามสื่อสารกับเราว่าอย่างไร ?
เราจะหยุดเรื่องนี้ไว้ตรงนี้ก่อน......
เรามาว่าเรื่องโลกคู่ขนานกันต่อในแนวความคิดของผมโลกคู่ขนานกับเรามีสถานนะเป็นสสาร อะตอม อนุภาค นั้นก็คือมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นโลกคู่ขนานในความหมายของผมคือไม่ได้หมายความว่ามีโลกอีกใบและมีเราอีกคนในเอกภพอื่นแต่มันคือโลกที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็นโปรดอย่านำไปเชื่อมโยงกับเรื่องความเชื่อทางไสยศาสตร์หรือมนต์ดำใดๆก็ตามแต่ จงพินิจพิจารณาในแง่มุมและแนวทางตามหลักวิทยาศาสตร์ เราจะมาว่ากันในส่วนของโลกคู่ขนานแบบปัจเจกคือเป็นเอกเทศเฉพาะแต่ละบุคคลกันก่อนในทุกๆช่วงชีวิตของเราในทุกๆข่วงของกิจกรรมในชีวิตของเราจนสู่การดับสลายในท้ายที่สุดสามารถเขียนเป็นรูปทรงเลขาคณิตออกมาได้เป็นรูปทรงกรวยแบบนาฬิกาทรายตามรูปด้านล่าง
ในแต่ละช่วงของชีวิตคนเราก็จะมีหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของแต่ละคนด้วยช่องตารางระนาบในแต่ละช่องซึ่งถูกแบ่งย่อยอย่างสมส่วนจนไปถึงส่วนยอดกรวยแล้วเชื่อมโยงไปถึงกรวยเหตุการณ์คู่ขนานของแต่ละคน สิ่งที่ใครหลายๆคนบอกว่าโลกคู่ขนานนั้นกิจกรรมหรือเหตุการณ์จะตรงกันข้ามกันนั้นก็คือสมมุติในโลกของมีการแปลความหมายของกิจกรรมหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจากซ้ายมือไปทางขวามือแต่กับโลกคู่ขนานของเรานั้นกลับตรงกันข้ามคือแปลจากขวามือไปซ้ายมือทั้งรูปแบบที่เป็นปัจเจกและองค์รวม ว่าแล้วเราก็มาว่ากันถึงโลกคู่ขนานแบบองค์รวม
คำว่าองค์รวมในที่นี้ก็หมายความว่าทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นเอง โลกคูขนานของเรามีคุณสมบัติเป็นอนุภาคบางเบาไร้กลิ่น ไร้รูปแบบ โปรงแสง หากจะพูดให้เห็นเป็นรูปอธรรมให้ง่ายต่อการเข้าใจมันก็คล้ายกับชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกไว้อีกชั้นหนึ่งนั้นเอง นั้นก็หมายความว่ามันล่องลอบอยู่รอบๆตัวเรานั้นเอง พวกเราอยู่ภายใต้แผ่นระนาบของโลกคู่ขนานของเราถ้าเราเดินทางออกไปนอกโลกสู่อวกาศเราก็จะเห็นโลกคู่ขนานซ้อนทับอยู่กับโลกของเราถ้าคุณสามารถมองเห็นมันได้ตามรูปด้านล่างนี้ เพราะกิจกรรมหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเราในโลกใบนี้ย่อมส่งผลถึงโลกคู่ขนานของเราด้วยเช่นกัน สรุปได้ว่าโลกคู่ขนานมันซ้อนทับอยู่กับโลกของเราเพียงแต่อยู่กันคนละสถานะ ย้อนมาเรื่องนาย ก กับ นาย ข ที่พบกับที่สามแยกแห่งจุด meeting point นั้น
นาย ก ไม่รู้สิ่งที่นาย ข ทำก่อนที่จะมาพบกับเช่นเดียวกับนาย ข ก็ไม่รู้เช่นกันว่านาย ก ทำอะไรมาบ้าง วงรอบของคู่ปฏิสัมพันธ์จะมาเจอกันที่จุดเดิมอีกครั้งหนึ่งหลังจากแต่ละฝ่ายดำเนินกิจกรรมนั้นๆเสร็จสิ้น กล่าวโดยสรุปผมไม่รู้ว่าปรากฏการณ์ดั่งกล่าวมันต้องการสื่อสารอะไรกับเราและเราจะสามารถนำมันมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของเราได้อย่างไรยังเป็นคำถามที่ผมต้องการคำตอบอยู่??????
ปล.นี้เป็นความคิดส่วนบุคคลอาจจะไมjถูกต้องตามหลักวิชาการ