การค้นพบเส้นทางใหม่จากจีน-มองโกเลีย
ด้วยงบเพียงแค่ 1,800 บาท
เชื่อว่าจะเป็นตัวเลือกที่มีประโยชน์สำหรับ
นักเดินทางสายประหยัดเป็นอย่างมาก
สามารถเข้าไปอ่านย้อนหลังได้ใน
Ep.1 : 100,000 เดียว แบกเป้ลุยเดี่ยว 7 เดือน 20 ประเทศ 3 ทวีป เอเชีย-ยุโรป-แอฟริกา ไม่ง้อเครื่องบิน!!
Ep.2 : จากไทยไปจีน ไม่นั่งเครื่องบินได้ไง?
Ep.3 : ทำงานแลกที่พักและอาหารฟรีในต่างประเทศได้จริงหรอ?
Ep.4 : การค้นพบเส้นทางใหม่จากจีน-มองโกเลีย แค่ 1,800 บาท
และหากเพื่อนๆอยากทราบ
เรื่องราวและข้อมูลการเดินทางของผมแบบ
ละเอียดยิบ สามารถเข้าไปอ่านย้อนหลังได้ใน
เฟสบุ๊คเพจ : หาตังค์เที่ยวรอบโลก
หรือคลิ๊กลิ้งเพจได้เลยครับ
Ep.นี้ผมไม่อยากเขียนเรื่องราวในเมืองอูลานบาตอร์ เพราะอยากเน้นเรื่องราวที่แทบหาอ่านจากรีวิวที่ไหนไม่ได้เลยมากกว่า มันเป็นประสบการณ์ตรงจากการที่ผมได้เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวมองโกลเร่ร่อนแท้ๆ แต่หากเพื่อนๆอยากได้ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองหลวงของประเทศมองโกเลีย ง่ายๆเพียงเข้าไปใน Google พิมพ์คำว่า "สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองอูลานบาตอร์" ท่านก็จะพบข้อมูลดังกล่าว
หลังจาก 4 วัน 3 คืน ในการสำรวจเมืองอูลานบาตอร์เป็นที่เรียบร้อย ผมเดินทางต่อไปยังชนบททางภาคเหนือของมองโกเลีย ซึ่งอยู่ติดกับประเทศรัสเซีย เพื่อไปทำงานแลกอาหารและที่พักฟรีกับชนเผ่าเร่ร่อนมองโกลแท้ๆ
ทางเหนือของมองโกเลียค่อนข้างแตกต่างกับภาคใต้และภาคกลาง ภาคใต้จะมีลักษณะเป็นทะเลทรายแห้งแล้ง แต่ทางเหนือกลับเป็นทุ่งหญ้าสเตปป์ที่ไม่ได้แห้งแล้งมากนัก อารมณ์คล้ายๆฟาร์มเลี้ยงสัตว์ทางชนบทของยุโรป มีต้นไม้ใบเขียวขจีให้เห็นอยู่บ้าง ใบไม้บางต้นสีเหลือง บางต้นสีส้ม บางต้นสีแดง สอดรับกับฤดูใบไม้เปลี่ยนสีอย่างลงตัว เป็นสีสันทางธรรมชาติที่น่าหลงใหล
ผมมาถึงหมู่บ้านเล็กๆแถบชนบทของเมืองบอลกัน ในช่วงเวลาใกล้พลบค่ำ ซึ่งดวงตะวันที่ใกล้จะลาลับขอบฟ้า สาดแสงลงมากระทบสีเขียวของทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่จนกลายเป็นสีทองเหลืองอร่าม เป็นภาพวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา เป็นการต้อนรับจากธรรมชาติที่แสนอบอุ่นและน่าประทับใจสุดๆ
หลังจากแสงตะวันลาลับขอบฟ้า คนงานที่ดูท่าทางน่าจะเป็นพาร์ทเนอร์กับผม พาผมซ้อนมอเตอร์ไซต์แว๊นไปตามท้องทุ่งอันมืดมิด เพื่อพาผมไปทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนมองโกลแท้ๆเช่นกัน แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยว่า วันนี้ผมกำลังขี่มอเตอร์ไซต์อยู่บนทุ่งหญ้ามองโกเลียที่กว้างใหญ่ไพศาล น้ำตามันไหลเองโดยอัตโนมัติพร้อมเสียงร้องตะโกนลั่น "มองโกเลีย มองโกเลีย"
เช้าวันแรกของการมาถึงที่นี่ เป็นวันที่มีลมแรงและอุณหภูมิเลขตัวเดียว ซึ่งวันไหนที่มีลมแรงแปลว่าวันนั้นจะหนาวมาก ผมจึงต้องใส่เสื้อทับกันหลายๆชั้นพร้อมด้วยเสื้อแจ็กแก็ตชั้นนอกสุดเพื่อต่อสู้กับสภาพอากาศนอกเกอร์
ย่างก้าวแรกที่ผมเดินออกจากเกอร์ ผมได้ยินเสียงโฮส ทักทายมาจากไกลๆ
"Hey North, Let's go to swim
(สวัสดีนอร์ธ ไปว่ายน้ำกันเถอะ)"ๆ
คือ…ฮัลโหล!! ว่ายน้ำ? ตรูจะแข็งตายอยู่แล้วเนี่ย แต่ดันมาชวนไปว่ายน้ำ
"I don't want to swim now because
I am so cold."
(ผมไม่อยากว่ายตอนนี้ เพราะรู้สึกหนาวมาก)
เขาได้ยินผมพูดแบบนั้น พี่แกขำดังลั่นเลย พร้อมกับเยาะเย้ยผมว่า "Thailand Thailand.Hot country" อ้าว!! เดี๋ยวนะ

จะมาเยาะเย้ยกันแบบนี้ไม่ได้นะ ล้อถึงประเทศบ้านเกิดแบบนี้จะยอมได้ไง
ของขึ้นสิครับ!! เครื่องร้อนขึ้นมาทันที ผมถอดเสื้อผ้าทั้งหมดด้วยความรวดเร็ว เหลือแค่เพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียว และ ตู้มมมม..."ไอ่เชี่ยเอ้ย!! โครตหน๊าวววว ครั้งแรกในชีวิตเลยเว้ยยยย" ผมตะโกนดังลั่นด้วยความหนาวสัสมองโกเลีย "โอ้ยๆ ไอ่โฮสบ้าเอ้ย"
ด้วยคำสบประมาทที่สุดจะทานทน ผมจึงว่ายให้เขาเห็นกับตากันไปเลย อีกทั้งยังอยู่ในน้ำได้นานกว่าเขาอีก พี่ชายถึงกับเงิบไปเลย ฮ่าๆๆ อย่างไรก็ตามก่อนเริ่มงาน พวกเราจะมาว่ายน้ำ...แข็งแบบนี้ทุกวัน
สระน้ำจำลอง
หลังจากว่ายน้ำ...แข็งแล้ว เรากินอาหารเช้ากันจนอิ่ม ไม่ใช่เราสิ? แค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่กินอิ่ม เพราะหลังจากกินเสร็จ ไอ่โฮสบ้าพาผมไปปั่นจักรยานประมาณ 20 กว่ากิโล คือจุกมาก ข้าวแทบพุ่งออกมาจากท้องไส้ที่มันปั่นป่วนด้วยแรงกระแทกจากพื้นถนน ซึ่งขรุขระเป็นลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่อ "ทำมาย

ไม่บอกตรูก่อนว่าจะมาปั่นจักรยาน ไอ่โฮสประสาท"
หลังจากปั่นจักรยานเสร็จ "ไอ่เชี่ยเอ้ย โคตรเหนื่อย อย่างเมื่อย ขาสั่น หมดแรง" แต่ไอ่โฮสบ้าบอกให้เริ่มงานทันที โอ้ย เหนื่อยจากปั่นไม่พอ ยังมาเหนื่อยกับการทำงานบนหมู่บ้านที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลหลายพันเมตรแบบนี้อีก มันรู้สึกเหนื่อยกว่าปกตินะ เพราะอากาศบนที่สูงจะบางเบากว่าพื้นที่ราบ
17.30น. หลังจากเสร็จงานวันแรกด้วยความเหนื่อยล้าสุดจะทน ไอ่โฮสบ้าชวนผมออกกำลังกายอีกซึ่งเป็นการยกน้ำหนักหรือภาษาผมเรียกว่าเล่นเวท โดยบ้านโฮสพอจะมีเครื่องออกกำลังกายอยู่บ้างเล็กน้อย ที่น่าโมโหคือ "มันชวนผมเล่นท่าขา" ซึ่งมันรู้ดีว่า ตอนนี้ผมขาสั่นอยู่จากการปั่นจักรยานเมื่อเช้านี้
ตอนแรกตรูคิดว่าจะไม่คิด "

แกล้งตรูใช่มัย?" หรือ "กำลังรับน้องใหม่อยู่หรอครับ?" คงสนุกมากสินะครับ ฮ่าๆๆ แต่เมื่อผมได้มาใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับชาวโนแมตมาระยะหนึ่ง ทำให้ผมพอทราบว่า ชาวโนแมตเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชอบการทดสอบและบ้าพลังมากๆ
บ่อยครั้งที่ผมมักจะเห็นเด็กๆ วัยรุ่น ไปจนถึงชายวัยสูงอายุต่อยกันบนถนน คลุกฝุ่นคลุกดินไปหลายตลบจนกระทั่งรู้แพ้รู้ชนะ ทุกอย่างจะกลายสภาพเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น "จบคือจบครับ" รู้ผลว่าใครชนะก็ไม่มีการโกรธเคืองใดๆกันทั้งสิ้น
พวกเขามักท้าดวลเพื่อวัดพลังและความสามารถกันว่า ใครเหนือกว่าใคร เช่น ต่อยกันบนถนน มวยปล้ำ ยิงธนูแข่งม้า ยกน้ำหนัก สร้างเกอร์ และอีกมากมาย ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นวิถีของชนเผ่าโนแมต ผมสัมผัสได้ถึงความเป็นนักสู้และความเป็นชนเผ่าในสายเลือด แม้กระแสโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากสักแค่ไหน แต่ที่นี่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พวกเขายังคงใช้ชีวิตเฉกเช่นเมื่อพันปีก่อน
ระยะหลังผมจึงรู้สึกชิน จนทุกๆอย่างกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว จากวันแรกที่พวกเขาเจอผมจนกระทั่งวันสุดท้ายที่ผมต้องบอกลา พวกเขาบอกผมว่า "คุณเปลี่ยนไปมาก คุณเหมือนพวกเราไปแล้ว" มันเหมือนจะเป็นคำชมนะ แต่ผมควรจะดีใจรึป่าว ฮ่าๆๆ
คุณรู้มั้ยว่า ผมต้องเจอกับอะไรบ้างในการมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ มันไม่ง่ายเลยที่จะกลมกลืนกับวิถีชีวิตของพวกเขาได้อย่างมีความสุข ผมต้องต่อสู้และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เข้ากับคนที่นี่เพื่อการอยู่รอด ทุกอย่างแตกต่างกับที่บ้านเราอย่างสิ้นเชิง
- ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับสภาพอากาศที่โหดร้ายทารุณ อากาศหนาวสัส ลมแรงสุดๆ และในทุกๆคืนจะรู้สึกหนาวยะเยือกไปจนถึงกระดูก มากพอที่จะกวนใจไม่ให้ผมหลับอย่างสบายใจ
- กินน้ำบาดาลทุกวันโดยไม่มีการต้มใดๆทั้งสิ้น
- อาหารทุกอย่างดูไม่สะอาด เพราะความรู้เรื่องโภชนาการของพวกเขายังมีน้อยมาก
- กินอาหารที่มีแมลงวันรุมทึ้งนับร้อยๆตัว
- กินเนื้อวัวทุกวัน วันละ 3 มื้อ (ค่อนข้างใช้ชีวิตยากลำบากสำหรับคนไม่กินเนื้อวัว)
- ห้องส้วมจะมีหน้าต่างบานบะเริ่ม ซึ่งทุกคนสามารถเห็นหน้าของผมตอนกำลังเบ่งบานได้แบบสบายๆ (แรกทำใจลำบากมาก แต่หลังๆเริ่มชิน ฮ่าๆๆ)
- งานหนักมาก 10-12 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเขาบอกผมว่า มันคือวิถีของชาวโนแมตที่ผมอยากเรียนรู้และมันก็คือเรื่องจริง
- เรียนรู้การขี่ม้า ซึ่งชาวโนแมตทุกคนจะต้องขี่ม้าเป็น
- ฝึกและเรียนรู้วิธีการต้อนวัวฝูงใหญ่กลับบ้าน
- และสิ่งท้าทายอื่นๆอีกมากมาย
พูดถึงเรื่องการทำงานที่นี่ เนื้องานจะค่อนข้างหลากหลายมาก เริ่มตั้งแต่กิจวัตรประจำวันคือ การนำวัว 37 ตัวออกจากคอกเพื่อให้พวกมันไปหาหญ้ากินเอง ดูแลรักษาและซ่อมแซมฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ขนฟางมาใส่ในคอกวัวเพื่อให้วัวกินในตอนกลางคืน เก็บขี้วัวและขี้ม้า ปลูกผักสวนครัว ดูแลสุนัขพันธุ์มองโกลตัวบะเริ่ม และงานสุดท้ายของวันคือการต้อนวัวเข้าคอก
งานสุดท้ายเป็นงานที่ยากที่สุดสำหรับผมเลยก็ว่าได้ ผมไม่เคยเลี้ยงวัวและไม่เคยต้อนวัวเข้าคอกมาก่อน แต่งานของผมคือจะต้องต้อนวัวที่บางวันอยู่ไกลหลายกิโลกลับบ้าน ผมจึงต้องเรียนรู้วิธีการต้อนวัวกลับบ้านอย่างหนักเพื่อทำให้สำเร็จ "ตรูจะรอดมั้ยเนี่ย?"
ผมขี่มอเตอร์ไซต์คู่ใจออกตามล่าหาฝูงวัวที่มีสัญลักษณ์สีฟ้าตรงหู เมื่อเจอแล้วผมจะต้องนับจำนวนให้ครบ 37 ตัว ซึ่งหากไม่ครบคืองานงอก ต้องไปตามล่าหาให้ครบ วันนั้นจะเป็นวันที่เหนื่อยสุดๆ
สมมุติว่าวัวอยู่ครบฝูง ผมจะต้องขี่มอไซต์ตีวงให้พวกมันเข้ามาอยู่ในขบวนเดียวกัน บีบแตรดังๆ ปี๊ดๆๆๆ เพื่อให้พวกมันรู้ตัวว่า "หยุดกินได้แล้ว กลับบ้านเรา รักรออยู่" ความจริงคือ "ตรูจะได้พักซักที"
เป็นการเรียนรู้ที่สนุกและถูกใจคนบ้าบออย่างผมมาก ทุกๆวันผมจะขี่มอไซต์ไปทั่วทุ่งหญ้าที่ราบกว้างเพื่อชื่นชมธรรมชาติรอบๆ ทักทายชาวโนแมตเพื่อนบ้าน ไปซื้อของที่ร้านค้ากลางหมู่บ้านเพื่อนำมาทำอาหาร ไล่ฝูงม้าและฝูงแกะเล่นๆ บางวันผมก็ขี่รถเที่ยวเล่นไปไกลๆ
จริงๆเรื่องราวการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวมองโกลเร่ร่อนยังมีอีกมากมาย แต่ผมขออุ๊บเอาไว้ให้เพื่อนๆลองเข้าไปสัมผัสด้วยตัวเองบ้าง แล้วจะรู้ว่า "ความบ้า มันมีอยู่จริง ฮ่าๆๆ"
- โปรดติดตามตอนต่อไป -
Ep.6 : 5 วัน 4 คืน บนเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ไม่ปวดตูดก็ให้มันรู้ไป!!
Ep.5 15 วันกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชนเผ่าเร่ร่อนมองโกล
หลังจาก 4 วัน 3 คืน ในการสำรวจเมืองอูลานบาตอร์เป็นที่เรียบร้อย ผมเดินทางต่อไปยังชนบททางภาคเหนือของมองโกเลีย ซึ่งอยู่ติดกับประเทศรัสเซีย เพื่อไปทำงานแลกอาหารและที่พักฟรีกับชนเผ่าเร่ร่อนมองโกลแท้ๆ
ทางเหนือของมองโกเลียค่อนข้างแตกต่างกับภาคใต้และภาคกลาง ภาคใต้จะมีลักษณะเป็นทะเลทรายแห้งแล้ง แต่ทางเหนือกลับเป็นทุ่งหญ้าสเตปป์ที่ไม่ได้แห้งแล้งมากนัก อารมณ์คล้ายๆฟาร์มเลี้ยงสัตว์ทางชนบทของยุโรป มีต้นไม้ใบเขียวขจีให้เห็นอยู่บ้าง ใบไม้บางต้นสีเหลือง บางต้นสีส้ม บางต้นสีแดง สอดรับกับฤดูใบไม้เปลี่ยนสีอย่างลงตัว เป็นสีสันทางธรรมชาติที่น่าหลงใหล
ผมมาถึงหมู่บ้านเล็กๆแถบชนบทของเมืองบอลกัน ในช่วงเวลาใกล้พลบค่ำ ซึ่งดวงตะวันที่ใกล้จะลาลับขอบฟ้า สาดแสงลงมากระทบสีเขียวของทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่จนกลายเป็นสีทองเหลืองอร่าม เป็นภาพวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา เป็นการต้อนรับจากธรรมชาติที่แสนอบอุ่นและน่าประทับใจสุดๆ
"Hey North, Let's go to swim
(สวัสดีนอร์ธ ไปว่ายน้ำกันเถอะ)"ๆ
คือ…ฮัลโหล!! ว่ายน้ำ? ตรูจะแข็งตายอยู่แล้วเนี่ย แต่ดันมาชวนไปว่ายน้ำ
"I don't want to swim now because
I am so cold."
(ผมไม่อยากว่ายตอนนี้ เพราะรู้สึกหนาวมาก)
เขาได้ยินผมพูดแบบนั้น พี่แกขำดังลั่นเลย พร้อมกับเยาะเย้ยผมว่า "Thailand Thailand.Hot country" อ้าว!! เดี๋ยวนะ
ของขึ้นสิครับ!! เครื่องร้อนขึ้นมาทันที ผมถอดเสื้อผ้าทั้งหมดด้วยความรวดเร็ว เหลือแค่เพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียว และ ตู้มมมม..."ไอ่เชี่ยเอ้ย!! โครตหน๊าวววว ครั้งแรกในชีวิตเลยเว้ยยยย" ผมตะโกนดังลั่นด้วยความหนาวสัสมองโกเลีย "โอ้ยๆ ไอ่โฮสบ้าเอ้ย"
ด้วยคำสบประมาทที่สุดจะทานทน ผมจึงว่ายให้เขาเห็นกับตากันไปเลย อีกทั้งยังอยู่ในน้ำได้นานกว่าเขาอีก พี่ชายถึงกับเงิบไปเลย ฮ่าๆๆ อย่างไรก็ตามก่อนเริ่มงาน พวกเราจะมาว่ายน้ำ...แข็งแบบนี้ทุกวัน
หลังจากปั่นจักรยานเสร็จ "ไอ่เชี่ยเอ้ย โคตรเหนื่อย อย่างเมื่อย ขาสั่น หมดแรง" แต่ไอ่โฮสบ้าบอกให้เริ่มงานทันที โอ้ย เหนื่อยจากปั่นไม่พอ ยังมาเหนื่อยกับการทำงานบนหมู่บ้านที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลหลายพันเมตรแบบนี้อีก มันรู้สึกเหนื่อยกว่าปกตินะ เพราะอากาศบนที่สูงจะบางเบากว่าพื้นที่ราบ
บ่อยครั้งที่ผมมักจะเห็นเด็กๆ วัยรุ่น ไปจนถึงชายวัยสูงอายุต่อยกันบนถนน คลุกฝุ่นคลุกดินไปหลายตลบจนกระทั่งรู้แพ้รู้ชนะ ทุกอย่างจะกลายสภาพเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น "จบคือจบครับ" รู้ผลว่าใครชนะก็ไม่มีการโกรธเคืองใดๆกันทั้งสิ้น
พวกเขามักท้าดวลเพื่อวัดพลังและความสามารถกันว่า ใครเหนือกว่าใคร เช่น ต่อยกันบนถนน มวยปล้ำ ยิงธนูแข่งม้า ยกน้ำหนัก สร้างเกอร์ และอีกมากมาย ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นวิถีของชนเผ่าโนแมต ผมสัมผัสได้ถึงความเป็นนักสู้และความเป็นชนเผ่าในสายเลือด แม้กระแสโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากสักแค่ไหน แต่ที่นี่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พวกเขายังคงใช้ชีวิตเฉกเช่นเมื่อพันปีก่อน
ระยะหลังผมจึงรู้สึกชิน จนทุกๆอย่างกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว จากวันแรกที่พวกเขาเจอผมจนกระทั่งวันสุดท้ายที่ผมต้องบอกลา พวกเขาบอกผมว่า "คุณเปลี่ยนไปมาก คุณเหมือนพวกเราไปแล้ว" มันเหมือนจะเป็นคำชมนะ แต่ผมควรจะดีใจรึป่าว ฮ่าๆๆ
คุณรู้มั้ยว่า ผมต้องเจอกับอะไรบ้างในการมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ มันไม่ง่ายเลยที่จะกลมกลืนกับวิถีชีวิตของพวกเขาได้อย่างมีความสุข ผมต้องต่อสู้และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เข้ากับคนที่นี่เพื่อการอยู่รอด ทุกอย่างแตกต่างกับที่บ้านเราอย่างสิ้นเชิง
- ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับสภาพอากาศที่โหดร้ายทารุณ อากาศหนาวสัส ลมแรงสุดๆ และในทุกๆคืนจะรู้สึกหนาวยะเยือกไปจนถึงกระดูก มากพอที่จะกวนใจไม่ให้ผมหลับอย่างสบายใจ
- กินน้ำบาดาลทุกวันโดยไม่มีการต้มใดๆทั้งสิ้น
- อาหารทุกอย่างดูไม่สะอาด เพราะความรู้เรื่องโภชนาการของพวกเขายังมีน้อยมาก
- กินอาหารที่มีแมลงวันรุมทึ้งนับร้อยๆตัว
- กินเนื้อวัวทุกวัน วันละ 3 มื้อ (ค่อนข้างใช้ชีวิตยากลำบากสำหรับคนไม่กินเนื้อวัว)
- ห้องส้วมจะมีหน้าต่างบานบะเริ่ม ซึ่งทุกคนสามารถเห็นหน้าของผมตอนกำลังเบ่งบานได้แบบสบายๆ (แรกทำใจลำบากมาก แต่หลังๆเริ่มชิน ฮ่าๆๆ)
- งานหนักมาก 10-12 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเขาบอกผมว่า มันคือวิถีของชาวโนแมตที่ผมอยากเรียนรู้และมันก็คือเรื่องจริง
- เรียนรู้การขี่ม้า ซึ่งชาวโนแมตทุกคนจะต้องขี่ม้าเป็น
- ฝึกและเรียนรู้วิธีการต้อนวัวฝูงใหญ่กลับบ้าน
- และสิ่งท้าทายอื่นๆอีกมากมาย
พูดถึงเรื่องการทำงานที่นี่ เนื้องานจะค่อนข้างหลากหลายมาก เริ่มตั้งแต่กิจวัตรประจำวันคือ การนำวัว 37 ตัวออกจากคอกเพื่อให้พวกมันไปหาหญ้ากินเอง ดูแลรักษาและซ่อมแซมฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ขนฟางมาใส่ในคอกวัวเพื่อให้วัวกินในตอนกลางคืน เก็บขี้วัวและขี้ม้า ปลูกผักสวนครัว ดูแลสุนัขพันธุ์มองโกลตัวบะเริ่ม และงานสุดท้ายของวันคือการต้อนวัวเข้าคอก
ผมขี่มอเตอร์ไซต์คู่ใจออกตามล่าหาฝูงวัวที่มีสัญลักษณ์สีฟ้าตรงหู เมื่อเจอแล้วผมจะต้องนับจำนวนให้ครบ 37 ตัว ซึ่งหากไม่ครบคืองานงอก ต้องไปตามล่าหาให้ครบ วันนั้นจะเป็นวันที่เหนื่อยสุดๆ
สมมุติว่าวัวอยู่ครบฝูง ผมจะต้องขี่มอไซต์ตีวงให้พวกมันเข้ามาอยู่ในขบวนเดียวกัน บีบแตรดังๆ ปี๊ดๆๆๆ เพื่อให้พวกมันรู้ตัวว่า "หยุดกินได้แล้ว กลับบ้านเรา รักรออยู่" ความจริงคือ "ตรูจะได้พักซักที"
เป็นการเรียนรู้ที่สนุกและถูกใจคนบ้าบออย่างผมมาก ทุกๆวันผมจะขี่มอไซต์ไปทั่วทุ่งหญ้าที่ราบกว้างเพื่อชื่นชมธรรมชาติรอบๆ ทักทายชาวโนแมตเพื่อนบ้าน ไปซื้อของที่ร้านค้ากลางหมู่บ้านเพื่อนำมาทำอาหาร ไล่ฝูงม้าและฝูงแกะเล่นๆ บางวันผมก็ขี่รถเที่ยวเล่นไปไกลๆ
- โปรดติดตามตอนต่อไป -