สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
รถสองคันนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนมาก
จุดแรกคือระบบเครื่องยนต์
ตัว M2 ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 1.5L พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ให้กำลัง 105 แรงม้า แรงบิดที่ 250นิวตันเมตร ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อนที่มีความประหยัด และมีความแรงในตัวเอง แต่ก็มีจุดที่ต้องการดูแลรักษามาก เช่น ตัวเทอร์โบแปรผัน ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ที่ต้องระวังมาก เพราะถ้าพังที ค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูง หรือถ้าเปลี่ยนลูกใหม่ ต้องมีค่าใช้จ่ายหลักแสน ส่วนปัญหาเดิมๆของเครื่องดีเซลมาสด้ารุ่นนี้ คือระบบไอเสีย ได้รับการแก้ไขจนเสถียรหรือยัง ต้องลองค้นหาข้อมูลในกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานเครื่องรุ่นนี้อยู่
ตัว City e-HEV : ใช้เครื่องยนต์ไฮบริดแบบเครื่องเบนซินผสมมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว โดยเครื่องเบนซินเป็นแบบสี่สูบ 1.5L จุดระเบิดแบบ Akinson cycle ที่เน้นการบริโภคเชื้อเพลงที่ต่ำมากๆ ( แตกต่างจากเครื่องยนต์เบนซินทั่วไปแบบ Otto cycle ที่เน้นการรีดประสิทธิภาพเครื่องยนต์เป็นหลัก ) โดยให้แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 98 แรงม้า เพื่อใช้ในการปั่นไฟเข้าแบตเตอรี่เป็นหลัก ส่วนการขับเคลื่อนส่วนใหญ่ทั่วไปจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 109 แรงม้า แรงบิดที่ 253 นิวตันเมตร ส่วนมอเตอร์อีกตัวใช้ทำหน้าที่เป็นตัวเจนเนอเรเตอร์ปั่นไฟเท่านั้น ส่วนเกียร์ที่ใช้เป็น e-CVT ซึ่งไม่มีกลไกใดๆทั้งนั้น เป็นแค่การควบคุมการทำงานของมอเตอร์ เพราะเท่าที่เคยดูในคลิปที่ฝรั่งแกะชุดการทำงานไฮบริดของฮอนด้ายุคนี้ออกม้า มันมีแค่เฟืองไม่กี่ตัว มอเตอร์ 2 ตัว และชุดครัชที่ใช้ตัดต่อกำลังเครื่องยนต์เท่านั้น มันไม่มีชุดเกียร์ที่เป็นกลไกในการเปลี่ยนอัตราทดใดๆทั้งสิ้น มันแทบจะเหมือนรถไฟฟ้าเลย มีเพียงตัวเครื่องเบนซินที่ช่วยปั่นไฟเท่านั้น และนานๆที ถึงจะตัดให้เครื่องยนต์ทำหน้าที่ขับเคลื่อน และอุปกรณ์หลักอีกตัวที่สำคัญสำหรับรถไฮบริดคือ แบตเตอรี่ ที่ใช้จ่ายไฟให้มอเตอร์ขับเคลี่อน ที่ทางฮอนด้าบอกว่าเปลี่ยนใหม่ราคาประมาณ 6-7 หมื่นบาท
ดังนั้นข้อแตกต่างของรถทั้งสองคัน คือ ของ M2 จะเน้นการขับขี่ที่มีความสนุก ขับมันกว่า มีพวงมาลัยที่แม่นยำ และช่วงล่างที่หนึบกว่า ส่วน City จะเน้นที่ความประหยัดน้ำมัน โดยเฉพาะการขับขี่ในบริเวณจราจรที่ติดขัด หรือหนาแน่น เพราะใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อน ยิ่งถ้ารถติด มอเตอร์จะไม่หมุน พลังงานก็จะถูกใช้น้อยมาก แต่รถทั้งสองคันก็เคลมในเรื่องความประหยัดที่มากกว่า 20Km/L อยู่แล้ว
ส่วนข้อได้เปรียบของ City คือระบบ Honda sensing ที่ให้ความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ เช่น ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วแปรผันตามรถคันหน้า ระบบควบคุมพวงมาลัยให้รถอยู่ในเลน และยังมีลูกเล่นบางอย่างที่ควรให้มา เช่น ช่องแอร์ผู้โดยสารแถวหลัง ระบบสตาร์ทรถด้วยรีโมต พร้อมเปิดแอร์ ก่อนมานั่งในรถ ( อันนี้ชอบมาก )
ส่วนเรื่องการบำรุงรักษา ใครแพงกว่าใครนั้น ก็ตอบยาก เพราะต่างใช้เครื่องยนต์ทั้งคู่ ถ้าเทียบแล้วเครื่องเทอร์โบดีเซลจะซับซ้อนกว่า และต้องระวังดูแลในส่วนของเกียร์อัตโนมัติให้ดีๆ เพราะถ้ามีปัญหาหรือต้องซ่อมขึ้นมานี่ต้องใช้เงินซ่อมสูงมาก
ถ้าต้องขายต่อยิ่งตอบยาก แต่โดยทั่วไปแล้วแบรนด์ฮอนด้าราคาตกน้อยกว่ามาสด้า แต่สำหรับรุ่น City e-HEV คงตอบตอนนี้ไม่ได้ เพราะเป็นรถที่ออกมาใหม่ด้วยเทคโนโลยี่ไฮบริด และในอนาคตอันใกล้นี้รถที่ใช้เครื่องสันดาปภายในคงเข้าสู่ยุครถไฮบริด โดยเฉพาะรถญี่ปุ่น และราคาแบตเตอรี่ที่คนส่วนใหญ่กลัวว่ามันจะแพงมาก ปัจจุบันราคาก็ลดลงไปเยอะมาก ส่วนตัวคิดว่าค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ขึ้นอยู่กับชิ้นส่วนอะไหล่ที่มักจะเปราะบาง เมื่อเทียบกับรถสมัย 20 กว่าปีที่แล้ว รถสมัยใหม่ มันมีความทันสมัยก็จริง แต่เปราะมาก เดี๋ยวนู่นนี่นั่น พังแบบง่ายๆ แต่ถ้าศูนย์รถยังให้บริการได้ทั้งอะไหล่ และราคาที่สมเหตุสมผล ไม่แพงเวอร์ รถก็ยังจะได้รับความนิยมซื้อขายในตลาด
สรุปแล้ว ถ้าตามโจทย์ของ จขกท ที่มักใช้ในเมือง และเน้นความประหยัด มันก็เป็นตัวเลือกที่ดีทั้งคู่ ถ้าของขับมันๆ สนุกๆ ไป M2 แต่ถ้าเน้นความสะดวกสบาย ลูกเล่นเยอะๆ ชอบเทคโนโลยี่ใหม่ๆ ภายในกว้างขวาง ให้ไป City e-HEV
จุดแรกคือระบบเครื่องยนต์
ตัว M2 ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 1.5L พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ให้กำลัง 105 แรงม้า แรงบิดที่ 250นิวตันเมตร ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อนที่มีความประหยัด และมีความแรงในตัวเอง แต่ก็มีจุดที่ต้องการดูแลรักษามาก เช่น ตัวเทอร์โบแปรผัน ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ที่ต้องระวังมาก เพราะถ้าพังที ค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูง หรือถ้าเปลี่ยนลูกใหม่ ต้องมีค่าใช้จ่ายหลักแสน ส่วนปัญหาเดิมๆของเครื่องดีเซลมาสด้ารุ่นนี้ คือระบบไอเสีย ได้รับการแก้ไขจนเสถียรหรือยัง ต้องลองค้นหาข้อมูลในกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานเครื่องรุ่นนี้อยู่
ตัว City e-HEV : ใช้เครื่องยนต์ไฮบริดแบบเครื่องเบนซินผสมมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว โดยเครื่องเบนซินเป็นแบบสี่สูบ 1.5L จุดระเบิดแบบ Akinson cycle ที่เน้นการบริโภคเชื้อเพลงที่ต่ำมากๆ ( แตกต่างจากเครื่องยนต์เบนซินทั่วไปแบบ Otto cycle ที่เน้นการรีดประสิทธิภาพเครื่องยนต์เป็นหลัก ) โดยให้แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 98 แรงม้า เพื่อใช้ในการปั่นไฟเข้าแบตเตอรี่เป็นหลัก ส่วนการขับเคลื่อนส่วนใหญ่ทั่วไปจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 109 แรงม้า แรงบิดที่ 253 นิวตันเมตร ส่วนมอเตอร์อีกตัวใช้ทำหน้าที่เป็นตัวเจนเนอเรเตอร์ปั่นไฟเท่านั้น ส่วนเกียร์ที่ใช้เป็น e-CVT ซึ่งไม่มีกลไกใดๆทั้งนั้น เป็นแค่การควบคุมการทำงานของมอเตอร์ เพราะเท่าที่เคยดูในคลิปที่ฝรั่งแกะชุดการทำงานไฮบริดของฮอนด้ายุคนี้ออกม้า มันมีแค่เฟืองไม่กี่ตัว มอเตอร์ 2 ตัว และชุดครัชที่ใช้ตัดต่อกำลังเครื่องยนต์เท่านั้น มันไม่มีชุดเกียร์ที่เป็นกลไกในการเปลี่ยนอัตราทดใดๆทั้งสิ้น มันแทบจะเหมือนรถไฟฟ้าเลย มีเพียงตัวเครื่องเบนซินที่ช่วยปั่นไฟเท่านั้น และนานๆที ถึงจะตัดให้เครื่องยนต์ทำหน้าที่ขับเคลื่อน และอุปกรณ์หลักอีกตัวที่สำคัญสำหรับรถไฮบริดคือ แบตเตอรี่ ที่ใช้จ่ายไฟให้มอเตอร์ขับเคลี่อน ที่ทางฮอนด้าบอกว่าเปลี่ยนใหม่ราคาประมาณ 6-7 หมื่นบาท
ดังนั้นข้อแตกต่างของรถทั้งสองคัน คือ ของ M2 จะเน้นการขับขี่ที่มีความสนุก ขับมันกว่า มีพวงมาลัยที่แม่นยำ และช่วงล่างที่หนึบกว่า ส่วน City จะเน้นที่ความประหยัดน้ำมัน โดยเฉพาะการขับขี่ในบริเวณจราจรที่ติดขัด หรือหนาแน่น เพราะใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อน ยิ่งถ้ารถติด มอเตอร์จะไม่หมุน พลังงานก็จะถูกใช้น้อยมาก แต่รถทั้งสองคันก็เคลมในเรื่องความประหยัดที่มากกว่า 20Km/L อยู่แล้ว
ส่วนข้อได้เปรียบของ City คือระบบ Honda sensing ที่ให้ความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ เช่น ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วแปรผันตามรถคันหน้า ระบบควบคุมพวงมาลัยให้รถอยู่ในเลน และยังมีลูกเล่นบางอย่างที่ควรให้มา เช่น ช่องแอร์ผู้โดยสารแถวหลัง ระบบสตาร์ทรถด้วยรีโมต พร้อมเปิดแอร์ ก่อนมานั่งในรถ ( อันนี้ชอบมาก )
ส่วนเรื่องการบำรุงรักษา ใครแพงกว่าใครนั้น ก็ตอบยาก เพราะต่างใช้เครื่องยนต์ทั้งคู่ ถ้าเทียบแล้วเครื่องเทอร์โบดีเซลจะซับซ้อนกว่า และต้องระวังดูแลในส่วนของเกียร์อัตโนมัติให้ดีๆ เพราะถ้ามีปัญหาหรือต้องซ่อมขึ้นมานี่ต้องใช้เงินซ่อมสูงมาก
ถ้าต้องขายต่อยิ่งตอบยาก แต่โดยทั่วไปแล้วแบรนด์ฮอนด้าราคาตกน้อยกว่ามาสด้า แต่สำหรับรุ่น City e-HEV คงตอบตอนนี้ไม่ได้ เพราะเป็นรถที่ออกมาใหม่ด้วยเทคโนโลยี่ไฮบริด และในอนาคตอันใกล้นี้รถที่ใช้เครื่องสันดาปภายในคงเข้าสู่ยุครถไฮบริด โดยเฉพาะรถญี่ปุ่น และราคาแบตเตอรี่ที่คนส่วนใหญ่กลัวว่ามันจะแพงมาก ปัจจุบันราคาก็ลดลงไปเยอะมาก ส่วนตัวคิดว่าค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ขึ้นอยู่กับชิ้นส่วนอะไหล่ที่มักจะเปราะบาง เมื่อเทียบกับรถสมัย 20 กว่าปีที่แล้ว รถสมัยใหม่ มันมีความทันสมัยก็จริง แต่เปราะมาก เดี๋ยวนู่นนี่นั่น พังแบบง่ายๆ แต่ถ้าศูนย์รถยังให้บริการได้ทั้งอะไหล่ และราคาที่สมเหตุสมผล ไม่แพงเวอร์ รถก็ยังจะได้รับความนิยมซื้อขายในตลาด
สรุปแล้ว ถ้าตามโจทย์ของ จขกท ที่มักใช้ในเมือง และเน้นความประหยัด มันก็เป็นตัวเลือกที่ดีทั้งคู่ ถ้าของขับมันๆ สนุกๆ ไป M2 แต่ถ้าเน้นความสะดวกสบาย ลูกเล่นเยอะๆ ชอบเทคโนโลยี่ใหม่ๆ ภายในกว้างขวาง ให้ไป City e-HEV
แสดงความคิดเห็น
กำลังจะซื้อรถ ระหว่าง mazda 2 ตัวtop กับ cit ehev รุ่นไหนดีกว่ากันครับ
ผมกำลังคิดซื้อรถคันแรก ปกติก็ใช้แค่ไปกลับที่ทำงานกับ ที่บ้าน ระยะทางไม่เยอะเท่าไร ขับแต่ในเมือง (ตอนนี้ผมอยู่เชียงใหม่ครับ)
ตอนแรกเล็ง mazda2 ไว้ เพราะคันเล็กดีกับประหยัดน้ำมัน
แต่พอไป motorshow แล้วเจอ honda city ehev เปิดตัวเลยรู้สึกลังเล ว่าจะเอาตัวไหนดี
เลยอยากมาขอคำปรึกษาเพื่อน ๆ ดู เรื่องพวกค่าใช้จ่าย long term ด้วยว่า ค่าอะไหล่ ระหว่างสองตัวนี้อันไหนจะแพงกว่ากัน
แล้วถ้าใช้ไปสัก ห้าปี สิบปี แล้วเอามาขายต่อ รุ่นไหนน่าจะราคาตกเยอะกว่าครับ
ขอบคุณครับ