คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 15
***
หลายคนจน ณ บัดนี้ก็ยังไม่มีความเข้าใจในหลายๆเรื่อง ถ้างั้นก่อนทำงานผมจะยกเรื่อง "สมมุติ" ขึ้นมาซักเรื่องนึง แล้วลองคิดตามด้วยตรรกะง่ายๆดู
มีเด็กสาวที่เคยมอบรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสดใสและความสุขให้แก่ผู้คน ซึ่งเธอคนนี้เคยทำงานเป็นพนักงานขายดอกไม้ให้บริษัทแห่งหนึ่ง กับบริษัทขายดอกไม้ต้นสังกัดเดิมที่บริหารงานผิดพลาดเป็นอาจิน สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ลูกค้าตลอดเวลาจนถึงกระทั่งผู้บริหารต้องมาประกาศลาออกเลิกขายดอกไม้ต่อหน้าสื่อ
สมมุติว่าวันดีคืนดีถ้าสองฝั่งนี้มาปะทะวิวาทจนเรื่องถึงโรงถึงศาลกันแล้วไซร้ ความจริงแทบไม่ต้องเดาความเลยว่าคนส่วนใหญ่จะเลือกเทใจเชียร์ใคร
..แต่..
สังเกตุไหมว่าจากที่เรื่อง "สมมุติ" นี้ควรจะเป็นหวยไปออกที่บริษัทดอกไม้ดังกล่าวถูกถล่มก่นด่าจากทั่วสารทิศจนจมดินแทบแทรกปฐพีหนี ทว่าทำไมกลับเสียงแตกมีคนออกมาเห็นใจฝั่งบริษัทและตำหนิฝั่งอดีตเด็กขายดอกไม้คนนั้นแทน
ไม่ใช่เพราะการแสดงความคิดเห็นในเชิง "ตีวัวกระทบคราด" ของ "น้องคนนั้น" หรอกหรือ ไม่ว่าจะต่อที่ทำงานเก่า หรือต่อเพื่อนงาน และยังเลยเถิดไปถึงเรื่องต่างๆ
อีกทั้งประเด็นข้อนึงที่บริษัทดอกไม้หน้าเลือดนั่นสบช่องยกมาฟ้องเธอให้วุ่นวายเล่น (ถ้าคนมองเกมส์กฏหมายออกก็จะรู้ว่ามันไม่ได้กะหวังผลอะไรอยู่แล้ว แต่จงใจยกข้อนี้มาสร้างความวุ่นวายให้แก่จำเลยเพิ่มก็เท่านั้น) มันก็มีต้นเหตุมาจากการโพสต์แสดงความเห็นอย่างไม่รู้จักยั้งคิดและพิจารณาตัดสินจากข้อมูลที่ถูกต้องของ "เด็กคนหนึ่ง" หรอกหรือ
อีกทั้งเมื่อเร็วๆนี้มีใครบางคนออกมาบอกว่ารักเพื่อนร่วมงานเก่ามากๆ แต่ทำไมปีที่แล้วจากกรณีดราม่าของ "น้องคนหนึ่ง" ที่เป็นนางเอกซีรี่ยส์ลอกข้อสอบ "น้องคนนั้น" ก็ยังออกมาโพสต์แสดงความเห็นแนว "ตีวัวกระทบคราด" ชิ่งไปถึงน้องนางเอกจนได้ (ถ้าไม่เชื่อก็ลองไล่กลับไปย้อนดูเอาได้ว่าน้องคนนั้นโพสต์อะไร..ยังไง..)
ดังนั้นหลายคนจึงน่าจะสับสนว่าสิ่งต่างๆที่น้องพูดและพิมพ์ออกมาแบบนี้เป็นเพราะความตั้งใจของตนเอง หรือมีคนแนะนำให้โพสต์แบบนี้ หรือ "ขาดคนแนะนำ" กันแน่
ทั้งที่ความจริงหมากเกมส์นี้ถ้าอดีตลูกจ้างร้านขายดอกไม้อยู่นิ่งๆ เชิดๆ เริ่ดๆ ใช้ยุทธวิธี นิ่งสงบ สยบเคลื่อนไหว ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามครรลองของข้อกฏหมายเสียแต่แรก ก็เรียกว่าสวยมงลงจนแทบจะได้ใจจากคนส่วนใหญ่ไปแบบชิวๆแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจถึงทำให้พิมพ์สิ่งต่างๆออกไปแบบนั้น (ถ้าผมเป็ญาติฝั่งจำเลยคงจะเปลี่ยนทนายชุดใหม่แล้ว)
เชื่อว่าจากการวิวาทกันคนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นใจบริษัทขายดอกไม้อะไรนี่เลยซักนิด แถมชอบใจด้วยซ้ำที่ในที่สุดก็มีคนลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์ของตนเองและงัดข้อกับบริษัทที่สร้างความผิดหวังแก่ลูกค้ามานมนาน แต่ที่คนส่วนใหญ่เขาน่าจะไม่ชอบใจกันมากกว่าก็คือ การโพสต์หรือการวางตัวของเด็กบางคนและผู้ปกครองมากกว่า ถึงได้มีคำเปรียบเปรยว่า พ่อแม่รังแกฉัน ออกมา
เพราะถ้ารักลูกจริงย่อมเห็นอนาคตของลูกสำคัญมากกว่า และมองถึงผลในระยะยาวมากกว่าว่า ถ้าคิดจะเดินต่อไปในวงการบันเทิงแล้วสิ่งที่ต้องปฏิบัติและวางตัวนั้นสมควรจะเป็นเช่นไร เพราะวงการนี้มันอาจจะดูเหมือนใหญ่แต่แท้จริงแล้วแคบนิดเดียว สิ่งที่คุณทำในวันนี้ที่ยังมีกองเชียร์โห่ร้องเป่าปากกระทืบเท้าฝุ่นตลบอยู่ด้านหลัง อาจทำให้ตนเองฮึกเหิมมีพลังนึกว่ากำลังกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปพอฝุ่นควันเริ่มจางและผู้คนที่อยู่เบื้องหลังหนีหายไปหมดสิ้น ตอนนั้นพอมองย้อนกลับมาดีดลูกคิดสะระตะแลกผลได้ผลเสียที่เกิดแล้ว อาจจะต้องมีคนมาสำนึกเสียใจว่าน่าจะยอม "ตัดบัวไม่ให้เหลือเยื่อใย" แล้วเริ่มต้นใหม่ไปตายเอาดาบหน้าเสียแต่แรกน่าจะดีที่สุด
เพราะทองแท้ย่อมมิกลัวไฟลน ถ้าเราเก่งจริงจะไปอยู่ที่ไหน รึจะต้องมาเริ่มนับใหม่จาก0ซักกี่ครั้ง ก็ย่อมมีคนสนับสนุนค้ำจุนอุ้มชูอยู่เสมอ (แต่ถ้าหลอมออกมาแล้วเป็นทองเหลืองชุบก็อีกเรื่อง!)
..สวัสดี..
หลายคนจน ณ บัดนี้ก็ยังไม่มีความเข้าใจในหลายๆเรื่อง ถ้างั้นก่อนทำงานผมจะยกเรื่อง "สมมุติ" ขึ้นมาซักเรื่องนึง แล้วลองคิดตามด้วยตรรกะง่ายๆดู
มีเด็กสาวที่เคยมอบรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสดใสและความสุขให้แก่ผู้คน ซึ่งเธอคนนี้เคยทำงานเป็นพนักงานขายดอกไม้ให้บริษัทแห่งหนึ่ง กับบริษัทขายดอกไม้ต้นสังกัดเดิมที่บริหารงานผิดพลาดเป็นอาจิน สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ลูกค้าตลอดเวลาจนถึงกระทั่งผู้บริหารต้องมาประกาศลาออกเลิกขายดอกไม้ต่อหน้าสื่อ
สมมุติว่าวันดีคืนดีถ้าสองฝั่งนี้มาปะทะวิวาทจนเรื่องถึงโรงถึงศาลกันแล้วไซร้ ความจริงแทบไม่ต้องเดาความเลยว่าคนส่วนใหญ่จะเลือกเทใจเชียร์ใคร
..แต่..
สังเกตุไหมว่าจากที่เรื่อง "สมมุติ" นี้ควรจะเป็นหวยไปออกที่บริษัทดอกไม้ดังกล่าวถูกถล่มก่นด่าจากทั่วสารทิศจนจมดินแทบแทรกปฐพีหนี ทว่าทำไมกลับเสียงแตกมีคนออกมาเห็นใจฝั่งบริษัทและตำหนิฝั่งอดีตเด็กขายดอกไม้คนนั้นแทน
ไม่ใช่เพราะการแสดงความคิดเห็นในเชิง "ตีวัวกระทบคราด" ของ "น้องคนนั้น" หรอกหรือ ไม่ว่าจะต่อที่ทำงานเก่า หรือต่อเพื่อนงาน และยังเลยเถิดไปถึงเรื่องต่างๆ
อีกทั้งประเด็นข้อนึงที่บริษัทดอกไม้หน้าเลือดนั่นสบช่องยกมาฟ้องเธอให้วุ่นวายเล่น (ถ้าคนมองเกมส์กฏหมายออกก็จะรู้ว่ามันไม่ได้กะหวังผลอะไรอยู่แล้ว แต่จงใจยกข้อนี้มาสร้างความวุ่นวายให้แก่จำเลยเพิ่มก็เท่านั้น) มันก็มีต้นเหตุมาจากการโพสต์แสดงความเห็นอย่างไม่รู้จักยั้งคิดและพิจารณาตัดสินจากข้อมูลที่ถูกต้องของ "เด็กคนหนึ่ง" หรอกหรือ
อีกทั้งเมื่อเร็วๆนี้มีใครบางคนออกมาบอกว่ารักเพื่อนร่วมงานเก่ามากๆ แต่ทำไมปีที่แล้วจากกรณีดราม่าของ "น้องคนหนึ่ง" ที่เป็นนางเอกซีรี่ยส์ลอกข้อสอบ "น้องคนนั้น" ก็ยังออกมาโพสต์แสดงความเห็นแนว "ตีวัวกระทบคราด" ชิ่งไปถึงน้องนางเอกจนได้ (ถ้าไม่เชื่อก็ลองไล่กลับไปย้อนดูเอาได้ว่าน้องคนนั้นโพสต์อะไร..ยังไง..)
ดังนั้นหลายคนจึงน่าจะสับสนว่าสิ่งต่างๆที่น้องพูดและพิมพ์ออกมาแบบนี้เป็นเพราะความตั้งใจของตนเอง หรือมีคนแนะนำให้โพสต์แบบนี้ หรือ "ขาดคนแนะนำ" กันแน่
ทั้งที่ความจริงหมากเกมส์นี้ถ้าอดีตลูกจ้างร้านขายดอกไม้อยู่นิ่งๆ เชิดๆ เริ่ดๆ ใช้ยุทธวิธี นิ่งสงบ สยบเคลื่อนไหว ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามครรลองของข้อกฏหมายเสียแต่แรก ก็เรียกว่าสวยมงลงจนแทบจะได้ใจจากคนส่วนใหญ่ไปแบบชิวๆแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจถึงทำให้พิมพ์สิ่งต่างๆออกไปแบบนั้น (ถ้าผมเป็ญาติฝั่งจำเลยคงจะเปลี่ยนทนายชุดใหม่แล้ว)
เชื่อว่าจากการวิวาทกันคนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นใจบริษัทขายดอกไม้อะไรนี่เลยซักนิด แถมชอบใจด้วยซ้ำที่ในที่สุดก็มีคนลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์ของตนเองและงัดข้อกับบริษัทที่สร้างความผิดหวังแก่ลูกค้ามานมนาน แต่ที่คนส่วนใหญ่เขาน่าจะไม่ชอบใจกันมากกว่าก็คือ การโพสต์หรือการวางตัวของเด็กบางคนและผู้ปกครองมากกว่า ถึงได้มีคำเปรียบเปรยว่า พ่อแม่รังแกฉัน ออกมา
เพราะถ้ารักลูกจริงย่อมเห็นอนาคตของลูกสำคัญมากกว่า และมองถึงผลในระยะยาวมากกว่าว่า ถ้าคิดจะเดินต่อไปในวงการบันเทิงแล้วสิ่งที่ต้องปฏิบัติและวางตัวนั้นสมควรจะเป็นเช่นไร เพราะวงการนี้มันอาจจะดูเหมือนใหญ่แต่แท้จริงแล้วแคบนิดเดียว สิ่งที่คุณทำในวันนี้ที่ยังมีกองเชียร์โห่ร้องเป่าปากกระทืบเท้าฝุ่นตลบอยู่ด้านหลัง อาจทำให้ตนเองฮึกเหิมมีพลังนึกว่ากำลังกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปพอฝุ่นควันเริ่มจางและผู้คนที่อยู่เบื้องหลังหนีหายไปหมดสิ้น ตอนนั้นพอมองย้อนกลับมาดีดลูกคิดสะระตะแลกผลได้ผลเสียที่เกิดแล้ว อาจจะต้องมีคนมาสำนึกเสียใจว่าน่าจะยอม "ตัดบัวไม่ให้เหลือเยื่อใย" แล้วเริ่มต้นใหม่ไปตายเอาดาบหน้าเสียแต่แรกน่าจะดีที่สุด
เพราะทองแท้ย่อมมิกลัวไฟลน ถ้าเราเก่งจริงจะไปอยู่ที่ไหน รึจะต้องมาเริ่มนับใหม่จาก0ซักกี่ครั้ง ก็ย่อมมีคนสนับสนุนค้ำจุนอุ้มชูอยู่เสมอ (แต่ถ้าหลอมออกมาแล้วเป็นทองเหลืองชุบก็อีกเรื่อง!)
..สวัสดี..
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 19
เรื่องพวกนี้บางครั้งต้องเจอกับตัวเองถึงจะเข้าใจ ว่าการรักษาสิทธิ์ของตัวเองมีต้นทุน และคนธรรมดาเหนื่อยกว่าบ.ใหญ่เยอะ ไม่ว่าใครผิดมากผิดน้อยกว่ากัน สุดท้ายให้ศาลเป็นผู้ตัดสินตามข้อกฎหมายครับ
การที่หลายคนออกอาการเหมือนไม่ยอมรับคำตัดสินในบางประเด็น ก็ได้แต่แปลกใจ
คำว่าคนก่อนๆจากกันด้วยดีที่หลายคนชอบยกมาเปรียบเทียบ นั่นคือห้ามทำงานในวงการบันเทิงนะครับ....ความตั้งใจในอนาคตของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ทางเดินชีวิตของแต่ละคนก็คงเลือกต่างกัน คนที่เลือกบางเส้นทางอาจจะต้องเรียกร้องเพื่อรักษาเส้นทางของตัวเอง ก็ไม่ได้เป็นความผิดอะไร หรือแปลกจากคนอื่นสักหน่อย
อีกอย่างผมงงกับคำขู่เรื่องว่าถ้าเรียกร้องแล้วจะเสียชื่อในวงการ ก็เห็นมีข่าวดาราศิลปินฟ้องฉีกสัญญากันอยู่ประจำ และก็เห็นเขาทำงานกันต่อได้ แสดงว่า เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นบ่อยๆอยู่แล้ว และบ้านเรามันก็เลยยุคมาเฟียวงการ แบบออกจากสังกัดแล้วข่มขู่คนอื่นห้ามรับงานกันได้ โลกวงการบันเทิงยุคนี้มันโดนdisruptไปเยอะแล้วครับ
ไม่ได้เชียร์ใคร แต่ผมเชียร์ให้คุยกันด้วยข้อกฎหมาย เพราะอคติส่วนตัวมันอาจจะบดบังข้อเท็จจริง
ป.ล.จนถึงกระทู้นี้ก็ยังมีบางคคห.ตอบเหมือนไม่เข้าใจกฎหมายพื้นฐาน
ป.ล.2 เวลาเห็นคนยกศีลธรรมมาเพื่อก่นด่าคนอื่น มักจะแสดงว่าไม่สามารถโต้แย้งอยู่ในกรอบเหตุผลปกติได้แล้ว?
การที่หลายคนออกอาการเหมือนไม่ยอมรับคำตัดสินในบางประเด็น ก็ได้แต่แปลกใจ
คำว่าคนก่อนๆจากกันด้วยดีที่หลายคนชอบยกมาเปรียบเทียบ นั่นคือห้ามทำงานในวงการบันเทิงนะครับ....ความตั้งใจในอนาคตของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ทางเดินชีวิตของแต่ละคนก็คงเลือกต่างกัน คนที่เลือกบางเส้นทางอาจจะต้องเรียกร้องเพื่อรักษาเส้นทางของตัวเอง ก็ไม่ได้เป็นความผิดอะไร หรือแปลกจากคนอื่นสักหน่อย
อีกอย่างผมงงกับคำขู่เรื่องว่าถ้าเรียกร้องแล้วจะเสียชื่อในวงการ ก็เห็นมีข่าวดาราศิลปินฟ้องฉีกสัญญากันอยู่ประจำ และก็เห็นเขาทำงานกันต่อได้ แสดงว่า เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นบ่อยๆอยู่แล้ว และบ้านเรามันก็เลยยุคมาเฟียวงการ แบบออกจากสังกัดแล้วข่มขู่คนอื่นห้ามรับงานกันได้ โลกวงการบันเทิงยุคนี้มันโดนdisruptไปเยอะแล้วครับ
ไม่ได้เชียร์ใคร แต่ผมเชียร์ให้คุยกันด้วยข้อกฎหมาย เพราะอคติส่วนตัวมันอาจจะบดบังข้อเท็จจริง
ป.ล.จนถึงกระทู้นี้ก็ยังมีบางคคห.ตอบเหมือนไม่เข้าใจกฎหมายพื้นฐาน

ป.ล.2 เวลาเห็นคนยกศีลธรรมมาเพื่อก่นด่าคนอื่น มักจะแสดงว่าไม่สามารถโต้แย้งอยู่ในกรอบเหตุผลปกติได้แล้ว?
แสดงความคิดเห็น
**BNK48** วันนี้ใคร่ขอเสนอนิทานธรรมเรื่อง <<พ่อแม่รังแกฉัน>>
วันนี้บรรยากาศดีทำให้ระหว่างนั่งทำงานที่คั่งค้างอยู่จนดึก พาลนึกขึ้นได้ว่าเคยเซฟนิทานธรรมเรื่องนึงเอาไว้อ่านสอนใจ จึงใคร่อยากนำมาเผยแพร่แก่บุคคลทั่วไป โดยนิทานเรื่องนี้มิได้มีเนื้อหาเจาะจง บ่งชี้ หรือมีเป้าหมายเพื่อกล่าวพาดพิงถึงใครทั้งสิ้น...
เล่ากันมาว่า บุตรเศรษฐีคนหนึ่ง เกิดแล้วในตระกูลผู้มีสมบัติ ๘๐ โกฏิในกรุงพาราณสี ครั้งนั้นมารดาบิดาของเขาคิดว่า ในตระกูลของเรามีโภคะสมบัติเป็นอันมาก เราจะมอบโภคะสมบัตินั้นไว้ในมือบุตรของเรา ให้เขาใช้สอยอย่างสบาย ไม่จำเป็นที่จะต้องทำการงานอย่างอื่น ดังนี้แล้วจึงให้เขาศึกษาเพียงศิลปะการฟ้อนรำ ขับร้อง และประโคมดนตรีอย่างเดียว
ในพระนครนั้น มีธิดาคนหนึ่งเกิดแล้วในตระกูลอีกตระกูลหนึ่ง ซึ่งมีสมบัติ ๘๐ โกฏิเช่นกัน บิดามารดาของนางก็คิด อย่างนั้นเหมือนกัน แล้วก็ให้นางศึกษาศิลปะการฟ้อนรำขับร้องและประโคมดนตรีอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเขาทั้งสองเจริญวัย ก็ได้มีการอาวาหวิวาหมงคลกัน ต่อมาภายหลัง มารดาบิดาของคนทั้งสองได้ถึงแก่กรรมลง ทรัพย์ ๑๖๐ โกฏิ ก็ได้รวมอยู่ในเรือนเดียวกันทั้งหมด
บุตรเศรษฐี ย่อมไปสู่ที่บำรุงพระราชาวันหนึ่งถึง ๓ ครั้ง ครั้งหนึ่งพวกนักเลงในพระนครนั้น คิดกันว่า ถ้าบุตรเศรษฐีนี้ กลายเป็นนักเลงสุราความผาสุกก็จะมีแก่พวกเรา เราจะให้เธอเรียนความเป็นนักเลงสุรา. พวกนักเลงนั้นจึงถือเอาสุรา มัดเนื้อสำหรับแกล้ม และก้อนเกลือไว้ที่ชายผ้า ถือหัวผักกาด นั่งแลดูทางของบุตรเศรษฐีนั้น ผู้มาจากราชสกุล เห็นเขากำลังเดินมา จึงดื่มสุรา เอาก้อนเกลือใส่ปาก กัดหัวผักกาด กล่าวว่า จงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปีเถิด นายเศรษฐี พวกผมอาศัยท่าน ก็พึงสามารถในการเคี้ยวและการดื่ม. "
บุตรเศรษฐีฟังคำของพวกนักเลงนั้นแล้ว จึงถามคนใช้สนิทผู้ตามมาข้างหลังว่า
"พวกนั้น ดื่มอะไรกัน ?"
"น้ำดื่มชนิดหนึ่งนาย"
"มีรสชาติอร่อยหรือ ?"
"นาย ธรรมดาน้ำที่ควรดื่ม เช่นกับน้ำดื่มนี้ ไม่มีในโลกที่เป็นอยู่นี้"
บุตรเศรษฐีพูดว่า "เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้เราก็ควรดื่ม"
ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว จึงให้นำมาแต่นิดหน่อยแล้วก็ดื่ม ต่อมาไม่นานนัก นักเลงเหล่านั้นรู้ว่าบุตรเศรษฐีนั้นดื่มแล้ว จึงพากันห้อมล้อมเขา เมื่อกาลล่วงไปก็ได้มีบริวารหมู่ใหญ่ บุตรเศรษฐีนั้นให้นำสุรามาจ่ายทรัพย์ ๑๐๐ บ้าง ๒๐๐ บ้าง ดื่มอยู่ ตั้งกองกหาปณะไว้ในที่นั่งเป็นต้นโดยลำดับ ดื่มสุรากล่าวว่า จงนำเอาดอกไม้มา แล้วจ่ายกหาปณะนี้, จงนำเอาของหอมมา จ่ายกหาปณะนี้, ผู้นี้ฉลาดในการขับร้อง, ผู้นี้ฉลาดในการฟ้อนรำ ผู้นี้ฉลาดในการประโคมดนตรี, จงให้ทรัพย์ ๑ พันแก่ผู้นี้, จงให้ทรัพย์ ๒ พันแก่ผู้นี้, " เมื่อใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายอย่างนั้น เวลาผ่านไปไม่นานนัก ทรัพย์ ๘๐ โกฏิ อันเป็นของตนก็หมดไป
เหรัญญิกเรียนว่า "นาย ทรัพย์ของนายหมดแล้ว"
บุตรเศรษฐีกล่าวว่า "ทรัพย์ของภรรยาของข้าไม่มีหรือ ?"
เขาเรียนว่า "ยังมีอยู่นาย"
บุตรเศรษฐีจึงสั่งว่า "ถ้ากระนั้น จงเอาทรัพย์นั้นมา"
ได้ทำให้ทรัพย์เหล่านั้นหมดสิ้นไปอย่างนั้นเหมือนกัน จากนั้นก็ขายสมบัติของตนทั้งหมดคือนา สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ยานพาหนะ ในที่สุดก็ขายกระทั่งภาชนะเครื่องใช้ เครื่องลาด ผ้าห่ม และผ้าปูนั่งบ้าง โดยลำดับเพื่อนำเงินไปซื้อสุรา
ครั้นในเวลาที่เขาแก่ลง เจ้าของเรือนจึงไล่เขาออกจากเรือน ซึ่งเขาขายเรือนของตัว แต่ยังถืออาศัยอยู่ก่อน, เขาพาภรรยาไปอาศัยฝาเรือนของชนอื่นอยู่ ถือชิ้นกระเบื้องเที่ยวไปขอทานปรารภจะบริโภคภัตที่เป็นเดนของชน ครั้งนั้นพระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเขายืนอยู่ที่ประตูโรงฉัน คอยรับโภชนะที่เป็นเดนอันภิกษุหนุ่มและสามเณรให้ในวันหนึ่ง จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ ลำดับนั้นพระอานนทเถระทูลถามถึงเหตุที่ทรงแย้มกะพระองค์.
พระศาสดา เมื่อจะตรัสบอกเหตุที่ทรงแย้ม จึงตรัสว่า "อานนท์ เธอจงดูบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากผู้นี้ ผลาญทรัพย์เสีย ๑๖๐ โกฏิ พาภรรยาเที่ยวขอทานอยู่ในนครนี้แล: ถ้าบุตรเศรษฐีไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดสิ้น ประกอบการงานในปฐมวัย, จะได้เป็นเศรษฐีชั้นเลิศในนครนี้แล และถ้าจักออกบวช, จะบรรลุอรหัต, แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในอนาคามิผล,ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดไป จักประกอบการงานในมัชฌิมวัย, ก็จักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ ๒, ออกบวช ก็จักได้เป็นอนาคามี, แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในสกทาคามิผล, ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้สิ้นไป ประกอบการงานในปัจฉิมวัย จักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ ๓ แม้ออกบวช ก็จักได้เป็นสกทาคามี,แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แต่เดี๋ยวนี้บุตรเศรษฐีนั่นทั้งเสื่อมแล้วจากโภคะของคฤหัสถ์ ทั้งเสื่อมแล้วจากสามัญผล, ครั้นเสื่อมแล้ว จึงเป็นเหมือนนกกะเรียนในเปือกตมแห้งฉะนั้น ดังนี้แล้วจึงตรัสพระคาถาว่า
"พวกคนเขลา ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้ ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมซบเซาดังนกกะเรียนแก่ ซบเซาอยู่ในเปือกตมที่หมดปลาฉะนั้น พวกคนเขลาไม่ประพฤติพรหมจรรย์ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมนอนทอดถอนถึงทรัพย์เก่าเหมือนลูกศรที่ตกจากแล่งฉะนั้น"
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล
"ดูก่อนคหบดีบุตร มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้าย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ คือ"
๑.ห้ามบุตรจากความชั่ว
๒.ให้บุตรตั้งอยู่ในความดี
๓.ให้ศึกษาศิลปวิทยา
๔. หาภรรยาที่สมควรให้
๕. มอบทรัพย์สมบัติให้ในเวลาที่สมควร