วิกฤตราคาข้าวส่งออก หอมมะลิขายถูกตันละไม่ถึงพันเหรียญ
https://www.prachachat.net/economy/news-604361
การส่งออกข้าวไทยปี 2563 ปิดฉาก 5.72 ล้านตัน หดตัว 24.5% ท่ามกลางปัญหาการแข่งขันดุเดือด ค่าบาทแข็งค่าต่อเนื่อง และปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสถานการณ์ส่งออกข้าวภาพรวมที่ลดลงนั้น หากวิเคราะห์ในรายชนิดข้าวจะพบว่า “ข้าวหอมมะลิ” เป็นข้าวชนิดเดียวที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้น 2.6% จากปี 2562 หรือมีปริมาณถึง 1.447 ล้านตัน ขณะที่ข้าวชนิดอื่นหดตัวทั้งหมด อาทิ ข้าวขาวหดตัว 38.3% ข้าวนึ่งหดตัว 35.4%
นาย
ชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญจากตลาดมีความต้องการนำเข้าข้าวมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งระดับราคาข้าวหอมมะลิไทยก็ลดลงต่ำกว่าตันละ 1,000 เหรียญสหรัฐ เหลือตันละ 900 เหรียญสหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2560
ร.ต.ท.
เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ผู้ที่คร่ำหวอดในแวดวงข้าวหอมมะลิวิเคราะห์ว่า จริงอยู่ที่การส่งออกข้าวหอมมะลิเป็นข้าวชนิดเดียวที่เพิ่มขึ้น แต่ก็เพิ่มขึ้นเพียง 2.6% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นปริมาณไม่มาก ปัจจัยสำคัญมาจากข้าวหอมมะลิพรีเมี่ยมยังไม่มี “
คู่แข่ง” โดยเฉพาะตลาดหลักอย่างสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดอันดับ 1 ของการส่งออกประมาณ 50% หรือ 5 แสนตัน ยังไม่มีข้าวจากประเทศไหนเข้าไปแข่งกับไทยได้ ผู้บริโภคในตลาดสหรัฐเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง
ที่สำคัญเรามีผู้บริโภคหน้าใหม่จากเดิมเราขายให้ชาวเอเชียในสหรัฐ แต่ตอนนี้กลุ่มคนอเมริกันและเม็กซิกันที่หันมาซื้อข้าวไทยจากเดิมที่ใช้ข้าวขาวที่ปลูกในสหรัฐ เพราะเทียบราคาแล้วสูงกว่าเล็กน้อยประมาณถุงละ 10-20 ปอนด์ แต่ข้าวไทยมีคุณภาพความหอม หวาน สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายชนิด ช่องทางการจำหน่ายสามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้นเพราะมีการกระจายเข้าไปจำหน่ายในห้างซูเปอร์มาร์เก็ตเมนสตรีม เช่น วอลมาร์ตมากขึ้น เมื่อมีการล็อกดาวน์ ร้านอาหารปิดก็หันมาซื้อในซูเปอร์มาร์เก็ตไปปรุงเอง
นอกจากนี้ยังมีตลาดแคนาดา ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่เพิ่งเริ่มหันมานิยมซื้อข้าวหอมมะลิไทย จนทำให้ส่งออกไปได้หลายแสนตัน
“ราคาข้าวหอมมะลิปีก่อน จะเห็นว่าช่วงต้นปีสูง ปลายปีราคาลดลง เฉลี่ยแล้วราคาส่งออกตันละ 1,000 เหรียญสหรัฐลดลงจากช่วงที่ราคาเคยขึ้นไปพีกปีก่อน ๆ ถึง 1,200-1,300 เหรียญสหรัฐ แต่นั่นก็เป็นจุดดีที่ทำให้ขายง่ายขึ้น ส่วนหนึ่งที่ราคาลดลง ก็มีการตัดราคากันก็มีส่วนด้วย”
“
ปัจจุบันผู้ส่งออกรายเล็ก-ใหญ่ในไทยมี 300 ราย โรงสีก็เยอะ รัฐต้องปรับให้ทุกรายอยู่ในกฎกติกาเดียวกัน บางคนขายน้อย ไปตั้งราคาต่ำ ก็มีผลกับภาพรวมของราคาส่งออกทั้งหมด ส่วนแนวโน้มราคาปีนี้ คาดว่าตันละ 900 เหรียญสหรัฐ แต่ไปบวกค่าเฟรตต่าง ๆ ก็จะอยู่ที่ 1,000-1,100 เหรียญสหรัฐ”
บาทแข็ง-ตู้ขาด
สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยคาดการณ์ในปี 2564 เฉพาะข้าวหอมมะลิจะส่งออกได้ 1.3-1.4 ล้านตัน จากภาพรวมที่คาดการณ์ไว้ 6 ล้านตัน อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังมากในปี 2564 คืออัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าอย่างมาก
โดยมีการคาดการณ์ว่าค่าบาทจะแข็งไปถึงระดับ 28.50-29.00 บาท จากเดิมที่ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6% ซึ่งนั่นจะทำให้ราคาข้าวหอมมะลิของไทยปรับขึ้นไปตันละ 50 เหรียญสหรัฐ จากราคาเอฟโอบีตันละ 900 เหรียญสหรัฐ เป็น 950 เหรียญสหรัฐ และที่สำคัญคือปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ทำให้ต้นทุนค่าระวางเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากตันละ 100 เป็น 200 เหรียญสหรัฐ
“
ค่าเรือแพงมาก ตู้ 20 ฟุตเคยราคา 2 พันเหรียญสหรัฐ ขึ้นไป 4 พันเหรียญสหรัฐ และถ้าอยากได้เร็วขึ้นไปถึง 9 พันเหรียญสหรัฐ เฉลี่ยขึ้นไปเท่าตัว จากตันละ 100 เป็น 200 เหรียญสหรัฐ และที่สำคัญชิปเมนต์ต่าง ๆ เลื่อนช้าไปหมดสายเรือเลือกลูกค้า พอมีตู้มาจะไปทางจีนก่อน และเหลือแล้วค่อยมาที่ไทยพอมาถึงไทยก็เลือกให้กับผู้ส่งออกสินค้าพวกมูลค่าสูง ๆ ก่อน ข้าวเป็นสินค้าหนักไม่มีใครอยากขนเราจึงได้ตู้เหลือ ๆ เราก็ไม่อยากได้ เพราะบางทีมีกลิ่นหรือมีอะไรต้องระวังด้วย ทีนี้พอบวกค่าระวางที่แพงแล้ว ปลายทางลูกค้าก็ไปปรับราคาขายปลีกให้เท่ากับต้นทุนที่ขึ้น”
ตลาดอียู-จีน พ่ายเวียดนาม
ร.ต.ท.
เจริญกล่าวว่า ประเด็นการแข่งขันส่งออกกับเวียดนามเป็นสิ่งที่น่ากังวลมากว่าในช่วง 2-3 ปีนี้เราจะเสียตลาดให้กับเวียดนามมากขึ้น เพราะนอกจากเวียดนามพัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูงและปริมาณผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นมาแข่งกับเรา เช่น ข้าวขาวพื้นนุ่ม หลายตัว เช่น ST20 ต่าง ๆ ราคาใกล้เคียงกับเรา ค่าเงินเวียดนามนิ่ง เราแข็งค่า ทำให้มีความได้เปรียบราคา เช่น ข้าวขาวพื้นนุ่มมีผลผลิต 1 ตันต่อไร่ ทำให้ต้นทุนและราคาต่ำกว่าไทยไปแล้ว
ที่สำคัญเวียดนามยังสามารถเจาะเข้าไปตลาดส่งออกที่เดิมเป็นของไทย เช่น ตลาดสหภาพยุโรป (อียู) โดยได้ไปทำความตกลงเปิดเขตการค้าเสรีอียู-เวียดนาม (EVFTA) ลดภาษีนำเข้าและยังได้มีการส่งออกข้าวผ่านทางชายแดนไปยังตลาดจีน ซึ่งปริมาณนี้ไม่ได้นับรวมในตัวเลขส่งออกแบบเป็นทางการ ขณะที่กัมพูชาก็ได้โควตาส่งออกข้าวไปจีน 4 แสนตันต่อปี มีการส่งเอกชนเข้าไปปลูกข้าวในกัมพูชาในสายพันธุ์ที่ต้องการเพื่อขายไปจีนด้วย
“
ไทยเองมียุทธศาสตร์แต่การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยังไม่ได้ ส่วนหนึ่งจากการเมือง พอจะแก้ปัญหาโควิดก็มาใหม่อีกระลอก ตอนนี้ไทยส่งออกลดลงเหลือ 5.7 แสนตัน ผมว่าในอีก 1-2 ปี จะมีโอกาสหลุด 5 แสนตัน”
ทางออกข้าวไทย
ร.ต.ท.
เจริญกล่าวว่า การพัฒนาข้าวไทยเป็นเรื่องสำคัญมาก หากราชการมองว่าข้าวหอมมะลิส่งออกดี ไม่ควรพัฒนาพันธุ์ใหม่ ๆ มาแข่งขันชิงตลาดกันเอง อย่างน้อยต้องพัฒนาสายพันธุ์เดิมให้มีผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น จากที่คงที่ 350 กิโลกรัมต่อไร่มาหลายปีแล้ว
ส่วนการพัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่มี 2 ด้าน คือการขึ้นทะเบียนพันธุ์ข้าวที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาแล้ว ซึ่งต้องขึ้นทะเบียนให้เร็วขึ้น ล่าสุดที่เราขึ้นทะเบียนไปคือ ข้าว กข 79 แต่ด้วยระยะเวลาการปลูกยาวนาน 120 วันนานเกินไปไม่ตอบโจทย์ชาวนา ต้องการข้าวที่ปลูกแค่ 90 วันเกี่ยวได้ เพื่อเอาเงินมาใช้ในการครองชีพ
ดังนั้น อีกด้านเราต้องแก้กฎหมายพันธุ์พืช เพื่ออนุญาตให้มีการนำเข้าข้าวเปลือกมาใช้วิจัยและพัฒนาพันธุ์ใหม่ให้ตรงความต้องการของชาวนา
ยี่ปั๊วเก็งกำไร!ดันราคาสลากฯ กลับมาแพงชุด5ใบ900บ.
https://www.dailynews.co.th/economic/822317
ลอตเตอรี่ราคาขยับขึ้น 90-100 บาท หลังยี่ปัวะกลับมาเก็งกำไร เลข 26 มาแรงสุดขายใบ 150 บ. ชุด 5 ใบ 900 บาท ด้านสลากกบไชโย ผีน้อย ยังแรงคอหวยฮิตซื้อทะลุใบ 120 บาท สำหรับการออกรางวัลงวดนี้ กลับมาออกที่สำนักงานสลากฯ สนามบินน้ำ นนทบุรี พร้อมคุมเข้มมาตรการป้องกันโควิด-19
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลก่อนออกรางวัลงวด 1 ก.พ.64 ไม่ค่อยคึกคัก เนื่องจากราคาสลากเริ่มขยับแพงขึ้น หลังจากยี่ปั๊วเริ่มกลับมารับซื้อสลากเก็งกำไรอีกครั้ง โดยรับซื้อเริ่มต้นใบละ 78-86 บาท เพิ่มจากงวดก่อนที่ซื้อขายส่งกัน 65-76 บาท เพราะมองว่าสลากงวดที่แล้วขายดี ประกอบกับสำนักงานสลากฯ ยืนยันว่าจะไม่เลื่อนออกรางวัล จึงกลับมาเก็งกำไรกันใหม่ ส่งผลให้สลากขายปลีกแพงขึ้นมาอยู่ที่ ใบ 90-100 บาท ส่วนสลากชุด 2 ใบขายกันเริ่มต้นคู่ละ 200 บาท
ส่วนบรรยากาศการซื้อขายแม้สลากจะแพงกว่าเดิม แต่ในช่วงท้ายงวดก็เริ่มคึกคัก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิดเริ่มคลี่คลาย หลายพื้นที่กลับมาเดินซื้อขายลอตเตอรี่ไปเป็นปกติ อีกทั้งเดือนนี้ยังมี 31 วันทำให้มีวันขายเยอะ ขณะที่สลากฯรูปภาพผีน้อย กบไชโย ยังได้รับความนิยมจากประชาชนสูง เพราะเชื่อว่ามีโอกาสถูกรางวัลเยอะขึ้น โดยขายกันถึงใบ 120 บาท ถ้าเป็นชุด 2 ใบขาย 250 บาท ส่วนชุด 5 ใบ ราคาขยับไปถึง 700 บาท
สำหรับเลขที่ได้รับความนิยมมากสุดงวดนี้ เป็นเลขดัง 26 สลากฯใบเดียวขาย 150 บาท ส่วนสลากฯชุด 5 ใบขายถึง 900 บาท ขณะที่เลขที่ได้รับความนิยมรองลงมาเป็นเลข 89 ขาย ชุด 5 ใบ 800 บาท เลขที่ได้รับความนิยมเป็นเลขดัง 26, 89, 972, 97, 27 เลขปีใหม่ ค.ศ. 2021 และพ.ศ. 2564 เลขหลวงปู่ประยงค์ ละสังขาร 25, 68 เลข 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์
ขณะที่การออกรางวัลงวดนี้ ได้ย้ายจากการออกรางวัลสลากฯสัญจรที่จังหวัดชุมพร กลับมาออกที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สนามบินน้ำ นนทบุรี เริ่มตั้งแต่ 14.30 น. โดยประชาชนที่สนใจเข้าชมการออกรางวัลได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการฯ ป้องกันการแพร่ระบาดของของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ทั้งการสวมหน้ากาก ตรวจวัดอุณหภูมิ หากไม่สะดวกสามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ และอินเทอร์เน็ตออนไลน์ได้พร้อมกันทั่วประเทศ
JJNY : วิกฤตราคาข้าวส่งออก/สลากฯกลับมาแพงชุด5ใบ900บ./“พท.”เตรียมให้ส.ส.ลงพื้นที่ช่วยเหลือคนแก่/'ศรีสุวรรณ'ฟาด'สิระ'
https://www.prachachat.net/economy/news-604361
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญจากตลาดมีความต้องการนำเข้าข้าวมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งระดับราคาข้าวหอมมะลิไทยก็ลดลงต่ำกว่าตันละ 1,000 เหรียญสหรัฐ เหลือตันละ 900 เหรียญสหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2560
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ผู้ที่คร่ำหวอดในแวดวงข้าวหอมมะลิวิเคราะห์ว่า จริงอยู่ที่การส่งออกข้าวหอมมะลิเป็นข้าวชนิดเดียวที่เพิ่มขึ้น แต่ก็เพิ่มขึ้นเพียง 2.6% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นปริมาณไม่มาก ปัจจัยสำคัญมาจากข้าวหอมมะลิพรีเมี่ยมยังไม่มี “คู่แข่ง” โดยเฉพาะตลาดหลักอย่างสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดอันดับ 1 ของการส่งออกประมาณ 50% หรือ 5 แสนตัน ยังไม่มีข้าวจากประเทศไหนเข้าไปแข่งกับไทยได้ ผู้บริโภคในตลาดสหรัฐเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง
ที่สำคัญเรามีผู้บริโภคหน้าใหม่จากเดิมเราขายให้ชาวเอเชียในสหรัฐ แต่ตอนนี้กลุ่มคนอเมริกันและเม็กซิกันที่หันมาซื้อข้าวไทยจากเดิมที่ใช้ข้าวขาวที่ปลูกในสหรัฐ เพราะเทียบราคาแล้วสูงกว่าเล็กน้อยประมาณถุงละ 10-20 ปอนด์ แต่ข้าวไทยมีคุณภาพความหอม หวาน สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายชนิด ช่องทางการจำหน่ายสามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้นเพราะมีการกระจายเข้าไปจำหน่ายในห้างซูเปอร์มาร์เก็ตเมนสตรีม เช่น วอลมาร์ตมากขึ้น เมื่อมีการล็อกดาวน์ ร้านอาหารปิดก็หันมาซื้อในซูเปอร์มาร์เก็ตไปปรุงเอง
นอกจากนี้ยังมีตลาดแคนาดา ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่เพิ่งเริ่มหันมานิยมซื้อข้าวหอมมะลิไทย จนทำให้ส่งออกไปได้หลายแสนตัน
“ราคาข้าวหอมมะลิปีก่อน จะเห็นว่าช่วงต้นปีสูง ปลายปีราคาลดลง เฉลี่ยแล้วราคาส่งออกตันละ 1,000 เหรียญสหรัฐลดลงจากช่วงที่ราคาเคยขึ้นไปพีกปีก่อน ๆ ถึง 1,200-1,300 เหรียญสหรัฐ แต่นั่นก็เป็นจุดดีที่ทำให้ขายง่ายขึ้น ส่วนหนึ่งที่ราคาลดลง ก็มีการตัดราคากันก็มีส่วนด้วย”
“ปัจจุบันผู้ส่งออกรายเล็ก-ใหญ่ในไทยมี 300 ราย โรงสีก็เยอะ รัฐต้องปรับให้ทุกรายอยู่ในกฎกติกาเดียวกัน บางคนขายน้อย ไปตั้งราคาต่ำ ก็มีผลกับภาพรวมของราคาส่งออกทั้งหมด ส่วนแนวโน้มราคาปีนี้ คาดว่าตันละ 900 เหรียญสหรัฐ แต่ไปบวกค่าเฟรตต่าง ๆ ก็จะอยู่ที่ 1,000-1,100 เหรียญสหรัฐ”
บาทแข็ง-ตู้ขาด
สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยคาดการณ์ในปี 2564 เฉพาะข้าวหอมมะลิจะส่งออกได้ 1.3-1.4 ล้านตัน จากภาพรวมที่คาดการณ์ไว้ 6 ล้านตัน อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังมากในปี 2564 คืออัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าอย่างมาก
โดยมีการคาดการณ์ว่าค่าบาทจะแข็งไปถึงระดับ 28.50-29.00 บาท จากเดิมที่ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6% ซึ่งนั่นจะทำให้ราคาข้าวหอมมะลิของไทยปรับขึ้นไปตันละ 50 เหรียญสหรัฐ จากราคาเอฟโอบีตันละ 900 เหรียญสหรัฐ เป็น 950 เหรียญสหรัฐ และที่สำคัญคือปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ทำให้ต้นทุนค่าระวางเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากตันละ 100 เป็น 200 เหรียญสหรัฐ
“ค่าเรือแพงมาก ตู้ 20 ฟุตเคยราคา 2 พันเหรียญสหรัฐ ขึ้นไป 4 พันเหรียญสหรัฐ และถ้าอยากได้เร็วขึ้นไปถึง 9 พันเหรียญสหรัฐ เฉลี่ยขึ้นไปเท่าตัว จากตันละ 100 เป็น 200 เหรียญสหรัฐ และที่สำคัญชิปเมนต์ต่าง ๆ เลื่อนช้าไปหมดสายเรือเลือกลูกค้า พอมีตู้มาจะไปทางจีนก่อน และเหลือแล้วค่อยมาที่ไทยพอมาถึงไทยก็เลือกให้กับผู้ส่งออกสินค้าพวกมูลค่าสูง ๆ ก่อน ข้าวเป็นสินค้าหนักไม่มีใครอยากขนเราจึงได้ตู้เหลือ ๆ เราก็ไม่อยากได้ เพราะบางทีมีกลิ่นหรือมีอะไรต้องระวังด้วย ทีนี้พอบวกค่าระวางที่แพงแล้ว ปลายทางลูกค้าก็ไปปรับราคาขายปลีกให้เท่ากับต้นทุนที่ขึ้น”
ตลาดอียู-จีน พ่ายเวียดนาม
ร.ต.ท.เจริญกล่าวว่า ประเด็นการแข่งขันส่งออกกับเวียดนามเป็นสิ่งที่น่ากังวลมากว่าในช่วง 2-3 ปีนี้เราจะเสียตลาดให้กับเวียดนามมากขึ้น เพราะนอกจากเวียดนามพัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูงและปริมาณผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นมาแข่งกับเรา เช่น ข้าวขาวพื้นนุ่ม หลายตัว เช่น ST20 ต่าง ๆ ราคาใกล้เคียงกับเรา ค่าเงินเวียดนามนิ่ง เราแข็งค่า ทำให้มีความได้เปรียบราคา เช่น ข้าวขาวพื้นนุ่มมีผลผลิต 1 ตันต่อไร่ ทำให้ต้นทุนและราคาต่ำกว่าไทยไปแล้ว
ที่สำคัญเวียดนามยังสามารถเจาะเข้าไปตลาดส่งออกที่เดิมเป็นของไทย เช่น ตลาดสหภาพยุโรป (อียู) โดยได้ไปทำความตกลงเปิดเขตการค้าเสรีอียู-เวียดนาม (EVFTA) ลดภาษีนำเข้าและยังได้มีการส่งออกข้าวผ่านทางชายแดนไปยังตลาดจีน ซึ่งปริมาณนี้ไม่ได้นับรวมในตัวเลขส่งออกแบบเป็นทางการ ขณะที่กัมพูชาก็ได้โควตาส่งออกข้าวไปจีน 4 แสนตันต่อปี มีการส่งเอกชนเข้าไปปลูกข้าวในกัมพูชาในสายพันธุ์ที่ต้องการเพื่อขายไปจีนด้วย
“ไทยเองมียุทธศาสตร์แต่การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยังไม่ได้ ส่วนหนึ่งจากการเมือง พอจะแก้ปัญหาโควิดก็มาใหม่อีกระลอก ตอนนี้ไทยส่งออกลดลงเหลือ 5.7 แสนตัน ผมว่าในอีก 1-2 ปี จะมีโอกาสหลุด 5 แสนตัน”
ทางออกข้าวไทย
ร.ต.ท.เจริญกล่าวว่า การพัฒนาข้าวไทยเป็นเรื่องสำคัญมาก หากราชการมองว่าข้าวหอมมะลิส่งออกดี ไม่ควรพัฒนาพันธุ์ใหม่ ๆ มาแข่งขันชิงตลาดกันเอง อย่างน้อยต้องพัฒนาสายพันธุ์เดิมให้มีผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น จากที่คงที่ 350 กิโลกรัมต่อไร่มาหลายปีแล้ว
ส่วนการพัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่มี 2 ด้าน คือการขึ้นทะเบียนพันธุ์ข้าวที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาแล้ว ซึ่งต้องขึ้นทะเบียนให้เร็วขึ้น ล่าสุดที่เราขึ้นทะเบียนไปคือ ข้าว กข 79 แต่ด้วยระยะเวลาการปลูกยาวนาน 120 วันนานเกินไปไม่ตอบโจทย์ชาวนา ต้องการข้าวที่ปลูกแค่ 90 วันเกี่ยวได้ เพื่อเอาเงินมาใช้ในการครองชีพ
ดังนั้น อีกด้านเราต้องแก้กฎหมายพันธุ์พืช เพื่ออนุญาตให้มีการนำเข้าข้าวเปลือกมาใช้วิจัยและพัฒนาพันธุ์ใหม่ให้ตรงความต้องการของชาวนา
ยี่ปั๊วเก็งกำไร!ดันราคาสลากฯ กลับมาแพงชุด5ใบ900บ.
https://www.dailynews.co.th/economic/822317
ลอตเตอรี่ราคาขยับขึ้น 90-100 บาท หลังยี่ปัวะกลับมาเก็งกำไร เลข 26 มาแรงสุดขายใบ 150 บ. ชุด 5 ใบ 900 บาท ด้านสลากกบไชโย ผีน้อย ยังแรงคอหวยฮิตซื้อทะลุใบ 120 บาท สำหรับการออกรางวัลงวดนี้ กลับมาออกที่สำนักงานสลากฯ สนามบินน้ำ นนทบุรี พร้อมคุมเข้มมาตรการป้องกันโควิด-19
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลก่อนออกรางวัลงวด 1 ก.พ.64 ไม่ค่อยคึกคัก เนื่องจากราคาสลากเริ่มขยับแพงขึ้น หลังจากยี่ปั๊วเริ่มกลับมารับซื้อสลากเก็งกำไรอีกครั้ง โดยรับซื้อเริ่มต้นใบละ 78-86 บาท เพิ่มจากงวดก่อนที่ซื้อขายส่งกัน 65-76 บาท เพราะมองว่าสลากงวดที่แล้วขายดี ประกอบกับสำนักงานสลากฯ ยืนยันว่าจะไม่เลื่อนออกรางวัล จึงกลับมาเก็งกำไรกันใหม่ ส่งผลให้สลากขายปลีกแพงขึ้นมาอยู่ที่ ใบ 90-100 บาท ส่วนสลากชุด 2 ใบขายกันเริ่มต้นคู่ละ 200 บาท
ส่วนบรรยากาศการซื้อขายแม้สลากจะแพงกว่าเดิม แต่ในช่วงท้ายงวดก็เริ่มคึกคัก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิดเริ่มคลี่คลาย หลายพื้นที่กลับมาเดินซื้อขายลอตเตอรี่ไปเป็นปกติ อีกทั้งเดือนนี้ยังมี 31 วันทำให้มีวันขายเยอะ ขณะที่สลากฯรูปภาพผีน้อย กบไชโย ยังได้รับความนิยมจากประชาชนสูง เพราะเชื่อว่ามีโอกาสถูกรางวัลเยอะขึ้น โดยขายกันถึงใบ 120 บาท ถ้าเป็นชุด 2 ใบขาย 250 บาท ส่วนชุด 5 ใบ ราคาขยับไปถึง 700 บาท
สำหรับเลขที่ได้รับความนิยมมากสุดงวดนี้ เป็นเลขดัง 26 สลากฯใบเดียวขาย 150 บาท ส่วนสลากฯชุด 5 ใบขายถึง 900 บาท ขณะที่เลขที่ได้รับความนิยมรองลงมาเป็นเลข 89 ขาย ชุด 5 ใบ 800 บาท เลขที่ได้รับความนิยมเป็นเลขดัง 26, 89, 972, 97, 27 เลขปีใหม่ ค.ศ. 2021 และพ.ศ. 2564 เลขหลวงปู่ประยงค์ ละสังขาร 25, 68 เลข 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์
ขณะที่การออกรางวัลงวดนี้ ได้ย้ายจากการออกรางวัลสลากฯสัญจรที่จังหวัดชุมพร กลับมาออกที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สนามบินน้ำ นนทบุรี เริ่มตั้งแต่ 14.30 น. โดยประชาชนที่สนใจเข้าชมการออกรางวัลได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการฯ ป้องกันการแพร่ระบาดของของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ทั้งการสวมหน้ากาก ตรวจวัดอุณหภูมิ หากไม่สะดวกสามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ และอินเทอร์เน็ตออนไลน์ได้พร้อมกันทั่วประเทศ