⚀มาลาริน/ไทยจะได้วัคซีนเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับอียูแล้วละค่ะ..WHOจวกไร้ศีลธรรม!อียูเปิดศึกแย่งชิงวัคซีนควบคุมการส่งออก

อมยิ้ม07WHOจวกไร้ศีลธรรม!อียูเปิดศึกแย่งชิงวัคซีนโควิด-19 ควบคุมส่งออกไปนอกกลุ่ม



องค์การอนามัยโลก(WHO) ในวันเสาร์(30ม.ค.) วิพากษ์วิจารณ์คำแถลงอียู ซึ่งประกาศควบคุมการส่งออกวัคซีนที่ผลิตภายในกลุ่ม ระบุมาตรการดังกล่าวเสี่ยงทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่ยืดเยื้อกว่าเดิมและส่งผลกระทบเลวร้ายต่อประเทศยากจนทั้งหลาย

ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของอียูเมื่อวันศุกร์ (29ม.ค.) อนุมัติใช้วัคซีนของ แอสตราเซเนกา กับวัยผู้ใหญ่ทุกช่วงอายุ โดยเชื่อว่ามันมีความปลอดภัยกับคนสูงวัยด้วยเช่นกัน

คำแถลงของเจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกยังมีขึ้นหลังจากคณะกรรมาธิการยุโรป ระบุว่าพวกเขาเห็นพ้องกับแผนการหนึ่ง สำหรับควบคุมการส่งออกวัคซีนจากสหภาพยุโรป ในนั้นรวมถึงสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่ามีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการเช่นนี้ เพื่อรับประกันว่าจะมีอุปทานเพียงพอสำหรับคนของตนเอง
มาตรการควบคุมการส่งออกวัคซีนต้านโควิด-19ไปนอกกลุ่มอียู มีขึ้นหลังจากอียูมีปัญหาถกเถียงกับแอสตราเซเนกาที่แจ้งกับทางอียูว่าทางบริษัทจะส่งวัคซีนโควิด-19 ให้อียูได้น้อยกว่าที่ทำข้อตกลงกันไว้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรกของปีนี้ เนื่องจากทางแอสตราเซเนกามีปัญหาการผลิตที่โรงงานที่ตั้งอยู่ในเบลเยียมซึ่งเป็นชาติสมาชิกของอียู

อียู ซึ่งบรรดารัฐสมาชิกล้าหลังประเทศต่างๆอย่าง อิสราเอล สหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก ในการแจกจ่ายวัคซีน กำลังดิ้นรนเพื่อให้ได้อุปทานวัคซีนเพิ่มเติม หลังบรรดาผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ของตะวันตกส่งมอบให้ทางกลุ่มล่าช้า เนื่องจากตัดขัดปัญหาด้านการผลิต

"หากเรากักตุนวัคซีนและไม่แบ่งปัน จะมีปัญหาใหญ่ๆ 3 อย่าง อย่างแรกคือ มันจะเป็นความล้มเหลวทางศีลธรรรมขั้นหายนะ อย่างที่ 2 คือมันจะทำให้โรคระบาดใหญ่โหมกระพือต่อไป และสุดท้าย เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวช้ามากๆ" เทดรอส แอดฮานอม เกรเบเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก กล่าวระหว่างแถลงข่าวทางไกล

"เมื่อมันเป็นการเลือกของเรา ผมหวังว่าเราจะเลือกสิ่งที่ถูกต้อง" เขากล่าว เกือบ 1 ปี หลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเกี่ยวกับการปรากฏตัวขึ้นของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ในการแถลงข่าวครั้งนี้มีพยาบาลผดุงครรภ์รายหนึ่งจากยูกันดาและพยาบาลอีกคนจากปากีสถานเข้าร่วมด้วย และทาง ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายโครงการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก ชี้ว่าผู้คนจำเป็นต้องคำนึงถึงและให้ความสำคัญกับผู้ปฏิบัติหน้าที่ในแถวหน้าอย่างเช่นพวกเธอด้วย

เขาคร่ำครวญว่าประเทศต่างๆ "กำลังต่อสู้เพื่อแย่งชิ้นเค้ก" ในขณะที่บรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแถวหน้าในประเทศยากจนทั้งหลาย "ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งเข้าถึงเศษเล็กเศษน้อย"

องค์การอนามัยโลกระบุว่าโลกจำเป็นต้องกระจายห่วงโซ่อุปทานสำหรับผลิตวัคซีนโควิด-19 และทางองค์การอนามัยโลกกำลังมองหาซัพพลายเออร์รายอื่นๆ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว องค์การอนามัยโลกบรรลุข้อตกลงกับไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค ในการจัดซื้อวัคซีน 40 ล้านโดส และน่าจะสามารถเริ่มส่งมอบวัคซีนแก่ประเทศยากจนและมีรายได้ในระดับต่ำถึงกลางในเดือนหน้า ภายใต้โครงการ COVAX

โซเมีย สวามีนาทัน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก แสดงความหวังว่าจะอนุมัติใช้วัคซีนที่ผลิตโดยแอสตราเซเนกาและมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ในกรณีฉุกเฉิน ภายใน 2 สัปดาห์

ขณะเดียวกันทาง มารีแองเจลา ซีเมา ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก ด้านการเข้าถึงยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ บอกกับผู้สื่อข่าวเช่นกันว่า องค์การอนามัยโลกมีคณะทำงานชุดหนึ่งในจีน ที่กำลังตรวจสอบโรงงานวัคซีนต่างๆ พร้อมเผยว่าทางอนามัยโลกได้พบปะกับบรรดาผู้ผลิตวัคซีนของรัสเซียเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว และมีกำหนดพบปะพูดคุยกันอีก ระหว่างรอข้อมูลเพิ่มเติม

(ที่มา:รอยเตอร์)

https://mgronline.com/around/detail/9640000009596

นานาเรียนเปิดแผน 3 ระยะ‘วัคซีน’ ใครฉีดก่อน-หลัง นายกฯย้ำยึดหลักกระจายอย่างเป็นธรรม
วันอาทิตย์ ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2564, 10.26 น.



31 มกราคม 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระโหม มอบแนวทางเกี่ยวกับการบริหารวัคซีนโควิด-19  ยึดหลักให้มีการกระจายวัคซีนอย่างเป็นธรรมและเป็นไปตามมาตรฐานสากล  โดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติจะบริหารแผนการฉีดวัคซีน และกระทรวงสาธารณสุขจะติดตามประเมินผลการฉีดวัคซีนอย่างใกล้ชิด คาดว่าจะเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนคนไทยคนแรกได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้  นายกรัฐมนตรียังวอนให้คนไทยตั้งการ์ดสูง และยังต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง ด้วยการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ไม่ไปในสถานที่เสี่ยงและสถานที่แออัด

นายอนุชา กล่าวด้วยว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 2/2564 ได้มีการรายงานลำดับกลุ่มเป้าหมายการให้วัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย  แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
 
ระยะที่ 1 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณจำกัด ดำเนินการในพื้นที่ที่มีการระบาด เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต รักษาระบบสาธารณสุขของประเทศ จะดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ผู้มีโรคประจำตัว 6 โรคกำหนด คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน และโรคอ้วน  ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย

ระยะที่ 2 ช่วงที่มีวัคซีนเพิ่มขึ้น ขยายพื้นที่ครอบคลุมทั้งประเทศ  เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ โดยกำหนดฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่นอกเหนือจากด่านหน้า  เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสซื้อโควิด 19 ผู้ประกอบอาชีพที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมาก และผู้เกี่ยวข้องกับการเดินทางระหว่างประเทศ

ระยะที่ 3 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณเพียงพอ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากร จะดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อฟื้นฟูให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
 
โฆษกฯยังเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการแผนปฏิบัติงานในทุกมิติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องแผนปฏิบัติการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนแต่ละกลุ่มในรายละเอียด รวมทั้งการขนย้าย การขนส่งและการจัดเก็บวัคซีนเพื่อรักษาประสิทธิภาพวัคซีน ขณะเดียวกันได้มอบให้หน่วยงานต่างๆ เร่งประชาสัมพันธ์ สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชนในพื้นที่ด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ภายในประเทศ โดยกลุ่มที่ก้าวหน้ามากที่สุดมี 3 ชนิด คือ ชนิด mRNA โดยศูนย์วิจัยวัคซีนแห่งจุฬาลงกรณ์ ชนิด Protein subunit (Plant-based) ของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และชนิด DNA โดยบริษัทไบโอเนท เอเชีย อยู่ระหว่างการแสวงหาความร่วมมือ หรือพัฒนาศักยภาพการขยายขนาดการผลิต เพื่อผลิตวัคซีนต้นแบบสำหรับทดสอบในอาสาสมัคร

https://www.naewna.com/politic/549290

อมยิ้ม33นายกฯ ย้ำฉีดวัคซีนโดสแรกไทม์ไลน์เดิม 14 ก.พ. ถ้าต้นทางส่งมาตามที่เจรจา รับข้อจำกัดอียูเป็นอีกเรื่องต้องมาพิจารณา หวังเป็นไปตามแผน



พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) หรือ ศบค. ว่า ส่วนเรื่องของวัคซีนได้มีการพูดคุยกันถึงการจัดหาวัคซีน และยังยืนยันจำนวนวัคซีนที่ได้สั่งจองไปแล้ว แต่สิ่งสำคัญเราต้องดูเรื่องประเทศต้นทางเขาด้วยที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ต่างๆ ซึ่งได้มีการเจรจากันอย่างต่อเนื่อง คาดว่าน่าจะได้รับตามกำหนดเวลา เมื่อได้รับตามกำหนดเวลามาแล้วเราก็จะกำหนดว่าจะฉีดกันอย่างไร จะฉีดใคร แต่ทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงวัคซีน ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนที่จะทยอยเข้ามาตามลำดับ เพราะไม่ใช่เราคนเดียว ต้นทางมาจากนอกประเทศ และมาถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตในประเทศไทย ซึ่งเราทราบดีอยู่แล้ว และวันหน้าอาจจะมีการเพิ่มการผลิต ถ้ามีวัคซีนตัวอื่นเพิ่มมาอีกเราก็จะมีการเจรจาทุกประเทศ สิ่งสำคัญเราต้องปฏิบัติตัวตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ตั้งการ์ดไว้ให้สูง แม้จะมีการฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม ก็ต้องระมัดระวังเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าต้องการจะเพิ่มภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นมาให้ได้ตามจำนวนที่เป็นมาตรฐานของสาธารณสุข
 
นายกฯ กล่าวอีกว่า สำหรับการพัฒนาวัคซีนในประเทศตนได้สนับสนุนให้สถาบันการแพทย์หลายแห่งในขณะนี้มีงบวิจัยและพัฒนา และอยู่ในขั้นตอนที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันรัฐบาลได้เตรียมสนับสนุนบริษัทอื่นๆในการผลิตวัคซีนและคงไม่ใช่เฉพาะวัคซีนโควิด-19 แต่เพื่อประโยชน์วัคซีนอื่นๆในอนาคตด้วย โดยจะมีโรงงานผลิตเอง เพราะวันนี้ยังเข้ามาตรฐานเพียงไม่กี่แห่ง ทุกคนทราบดีอยู่แล้วตนคงไม่ไปพูดถึงตรงนี้

เมื่อถามว่า จากที่กำหนดวันที่ 14 ก.พ.จะฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดสแรกให้คนไทย ยังสามารถทำได้หรือไม่ นายกฯตอบว่า การฉีดวัคซีนโดสแรกหากมาก็ฉีดได้ตามกำหนด ถ้าเขาส่งมาตามที่ได้เจรจากันไว้แล้วเดิม เราก็พร้อมฉีดกันอยู่ตลอด ซึ่งวันนี้ก็ได้ทำแผนในเรื่องของการแจกจ่ายเตรียมแผนการฉีดวัคซีนตามที่เราได้สร้างการรับรู้และเจรจาไว้ ถ้าได้เข้ามาก็ตามนั้น หรืออาจจะมีการปรับแผนบ้างอะไรบ้าง ก็จะมีรายละเอียดอีกครั้ง ตามสถานการณ์ เมื่อถามว่า มีข่าวว่า สหภาพยุโรป(อียู) มีการเตือนการจำกัดการส่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 ออกนอกพื้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ฟังไว้ เป็นเรื่องของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่เราต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะเราก็ทำเต็มที่แล้วในเรื่องของการเจรจา การตกลง ครบถ้วนหมดแล้ว แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับประเทศต้นทาง ตนก็หวังเป็นอย่างย่ิงว่าจะเป็นไปตามแผนที่เราวางไว้

https://siamrath.co.th/n/215787

เรื่องวัคซีนที่ไทยจะได้ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับทางอียูหรือประเทศต้นทาง

ลาว...ได้รับวัคซีนจากจีนซึ่งได้ฉีดไปแล้วรัสเซียกำลังจะส่งให้อีก

พม่า...ได้รับวัคซีนจากอินเดียและได้ฉีดไปแล้ว

สิงคโปร์..สั่งซื้อจากบริษัทไฟเซอร์-ไบออนเทคซึ่งก็ฉีดไปแล้วเช่นกัน

ไทยกำลังรออยู่ค่ะ

ส่วน..ข่าวเกาหลีเหนือใช้วิธีแฮกข้อมูลผลิดวัคซีนของประเทศอื่นไปทำเอง  ต้องติดตามนะคะ

รัฐบาลมีแผนการฉีดวัคซีนพร้อมเรียบร้อย แต่ก็ต้องปรับแผนไปตามสถานการณ์

ถ้ามีใครกดดันอียูได้ ก็ช่วยบอกให้เห็นแก่มนุษยธรรม 

WHO ยังแถลงการตำหนิอียูที่เอาตัวรอดเพื่อกลุ่มของตัวเอง

นับว่ายังดีที่ไทยได้รับการถ่ายทอดให้ผลิตวัคซีนในประเทศของตัวเอง
ยืมจมูกเขาหายใจย่อมไม่สะดวกค่ะ 

หวังว่าเราจะได้วัคซีนในประเทศที่ทำเองจากฝีมือคนไทยในไม่ช้า

สู้ๆนะคะ..พาพันไฟท์ติ้ง

แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ข่าวต้นทาง จาก TPBS

EU ประกาศเริ่มสังเกตการณ์ และควบคุมการส่งออกวัคซีน COVID-19 ซึ่งผลิตจาก EU โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 ม.ค.
ต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 6 สัปดาห์ และอาจจะใช้มาตรการนี้ไปจนถึงปลายเดือน มี.ค.2564

ภายใต้ข้อบังคับดังกล่าว บริษัทที่ตั้งอยู่ใน EU จะต้องยื่นขออนุมัติการส่งออกวัคซีนไปยังประเทศนอก EU
พร้อมทั้งสำแดงบันทึกการส่งออกย้อนหลัง 3 เดือน เว้นการส่งออกไปยังสวิส ประเทศแถบบอลข่าน โมนาโก ไอร์แลนด์เหนือ

https://news.thaipbs.or.th/content/300894


อีกข่าวจาก infoquest

มาตรการควบคุมการส่งออกวัคซีนของ EU จะส่งผลกระทบต่อราว 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงสหราชอาณาจักร, สหรัฐ, แคนาดา และออสเตรเลีย แต่อีกหลายประเทศรวมถึงประเทศที่ยากจนจะได้รับการยกเว้น

EU ยืนยันว่า การควบคุมการส่งออกวัคซีนนั้นเป็นมาตรการเพียงชั่วคราว และไม่ใช่การห้ามส่งออกวัคซีน ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์มาตรการดังกล่าวของ EU โดยระบุว่า มาตรการดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบไปทั่วโลก

https://www.infoquest.co.th/2021/62821
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่