ช่วงนี้มีเวลาว่างเยอะจากสถานการณ์โควิด บ้านก็ยังกลับไม่ได้ ข่าวสารก็เสพไปเรื่อย ทำให้ได้เห็นว่าหลายๆคนในประเทศกำลังมีความทุกข์ยากลำบาก เจ็บป่วย ตกงาน ขาดรายได้ ก็เลยหยิบเอาบทความหนึ่งมา ซึ่งผู้เขียนได้แต่งไว้นานมาแล้ว ซึ่งอยากให้บทความนี้เป็นดั่งกำลังใจ และขอให้ทุกคนต่อสู้ไปด้วยกัน เพราะฟ้าหลังฝนย่อมงดงามกว่าเสมอ
ล้มลุก...คลุกคลาน...
พ.ศ.2540 ในยุคเริ่มต้มยำกุ้ง หรือต้มยำเก้ง ผู้เขียนบอกไม่ถูกหรอกนะครับ และไม่คิดว่ามันจะมากระเทือนซางของผู้เขียนได้อย่างไร เราทำการค้าขายแค่คูหาเดียว แต่ที่ไหนได้มันเล่นเอารวนชวนเซ และล้มในที่สุด นับถอยหลังจากปี2540 ไปอีกสามสิบปี
พ.ศ.2510 ผู้เขียนเริ่มทำงานก่อสร้างเป็นจับกัง จนกระทั่งดูแบบแปลนก่อสร้าง คุมคนงานแทนเจ้านายได้ ทำอยู่สิบปีก็ลาออกมาอยู่โรงกลึงอีกสิบเจ็ดปี ในการทำงานอยู่กับสองเจ้านายเวลาหมดไป 27 ปี ผู้เขียนจึงเอาพวงมาลัย กระเช้าผลไม้ให้กับเจ้าของโรงกลึงพร้อมบอกว่า "ผมจะลาออกไปค้าขาย"
ต้นปี พ.ศ. 2537 เริ่มมีการเปิดร้านขายของชำ หน้าร้านทำเพิงยื่นออกมาเพื่อขายอาหารตามสั่ง ข้าวราดแกงและก๋วยเตี๋ยว ซึ่งขายดีมาก บางวันสี่โมงเย็นยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย บางครั้งก็ปวดฉี่จนท้องน้อยแข็งจนฉี่แทบราด ก็ยังไม่มีเวลาฉี่เลย เวลาล่วงเลยผ่านไปสามปี เมื่อเข้ากลางปี 2540 ผู้เขียนเริ่มรู้สึกว่าลูกค้าประจำสั่งข้าวกล่องน้อยลงลูกค้าตามสั่งเคยสั่งอาหารแทบล้นโต๊ะก็สั่งอาหารเพียงสองถึงสามอย่าง เครื่องดื่มชูกำลัง เหล่าเบียร์ก็ขายได้น้อยลงเรื่อยๆ ผู้เขียนเป็นคนเคร่งครัดเรื่องการเสียภาษีมาก เริ่มตั้งร้านและแจ้งเรื่องการเสียภาษีเหล้าบุหรี่ โรงเรือน ภดง.9 ค่าภาษีปีหนึ่งทำไมมันเสียหลายเด่งเหลือเกิน ผู้เขียนเริ่มคิดลบกับการเสียภาษีเมื่อปี 41-42 เพราะเมื่อไปบอกเจ้าหน้าที่ภาษีที่ว่าการอำเภอว่าเดี๋ยวนี้ขายไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผมต้องถอนเงินที่ออมไว้มาเป็นค่าใช้จ่ายในร้านและเป็นค่าเล่าเรียนลูกสาวทั้งสอง จนเงินที่ออมไว้หมดแล้ว เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อในคำพูดและได้กล่าวว่า "เวลามาเสียภาษีก็มักจะพูดกันแบบนี้ทั้งนั้น ถ้าคุณขายไม่ดีหรือเจ๊ง ป่านนี้คุณคงปิดกิจการร้านไปแล้ว" ผู้เขียนเดินลงจากที่ว่าการอำเภอใจเริ่มคิดลบกับการเสียภาษีมากขึ้น ...เออหนอ...หวังจะเสียภาษีตามความเป็นจริงให้หลวง แต่เวลาเราแย่หลวงกับไม่ฟังเรา...ทีคนอื่นเขายังซิกแซ็กแจ้งเท็จเพื่อให้เสียน้อยกว่าความเป็นจริง ฉะนั้นครั้งที่เสียภาษีคราวต่อไปผู้เขียนจึงไม่ได้ไปเสียภาษี เจ้าหน้าที่ก็ดีใจหาย รีบตามมาทักท้วงถึงร้าน ช่วงนั้นกำลังจนตรอกอยู่พอดี ทางโรงเรียนก็ทวงค่าเทอมของลูกคนโต ก็ไม่กี่พันบาทแต่ก็ไม่มีจะให้ (ต่อมาคุณครูจึงออกค่าเทอมให้ให้เพราะสงสาร) ตอนนั้นลูกคนเล็กก็เกือบจะจบชั้นประถม มีคนมาชวนผู้เขียนไปขายประกันชีวิต ทำธุรกิจขายตรง เพื่อช่วยพยุงกันให้ยืนอยู่ได้ เปิดร้านให้เร็วขึ้น และปิดร้านให้ดึก ทั้งครอบครัวของผู้เขียนสี่ชีวิตนอนกันคนละไม่กี่ชั่วโมง ทั้งเหนื่อยและเครียด ทุ่มเทกับการอยู่รอด เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่เก็บภาษีมาถึงร้าน พูดถึงการไม่ไปเสียภาษี ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเป็นความลับ วางแผนไว้ในใจมันจึงระเบิดพรั่งพรูออกมาจากปากของผู้เขียนว่า "เออ!! คุณลองมองไปรอบๆชั้นที่วางของขายสิ ว่ามันยังมีสินค้าที่ผมจะขายอีกสักกี่ชิ้น ผมบอกว่าผมขายไม่ดีเงินทุนที่ออมไว้ก็หมด คุณก็ไม่เชื่อ แต่ไม่เป็นไรผมจะฆ่าตัวตายใช่หนี้ภาษีหลวงให้" ผู้เขียนพูดได้แค่นี้เจ้าหน้าที่เก็บภาษีสองคนพร้อมกับภรรยาผู้เขียนดูจะตกใจมาก แต่ไหนๆความลับก็ไม่เป็นความลับอยู่ในอกผู้เขียนอีกต่อไปแล้ว ก็เลยคิดว่าจะวางแผนเพื่อจะโกงเอาเงินประกันชีวิตซึ่งทำไว้สองฉบับ และประกันอุบัติเหตุอีกหนึ่งฉบับรวมแล้วล้านกว่า ถ้าฆ่าตัวตายประกันเขาไม่จ่ายอยู่แล้ว แต่ผู้เขียนวางแผนไว้อย่างดี ขับรถชนกับรถที่วิ่งสวนมาคนอื่นก็จะเดือดร้อนไปด้วย หรือถ้าเราไม่ตายแต่พิการลูกเมียคงจะยิ่งเดือดร้อนหนักเข้าไปอีกมีทางเดียวที่มองแล้วเป็นอุบัติเหตุแน่ๆคือขับรถเลียบคลองส่งน้ำซึ่งถนนเป็นหลุมเป็นบ่อมาก (ไปดูสถานที่ตายมาเรียบร้อยแล้ว) ทำเป็นว่าขับรถไปเสียหลักตกหลุมแฉลบลงคลองน้ำลึกขนาดนั้นไม่ออกมาจากรถเดี๋ยวก็ตาย เจ้าหน้าที่เก็บภาษีสองคนเข้ามาปลอบโยน และให้ผู้เขียนแจ้งเลิกกิจการ และก็เลิกกิจการจริง เมื่อแม่บ้านรู้ว่ามีความคิดจะฆ่าตัวตายก็มีการต่อว่าต่อขานอีกมาก พร้อมกับเวรคืนยกเลิกกรมธรรม์ทั้งหมด ผู้เขียนนึกคิดอยู่ในใจ เออชีวิตเราตอนนี้มันมีค่าน้อยกว่าหมูหมาเป็ดไก่ สัตว์พวกนี้ตายลงไม่กินก็ฝังหรือโยนทิ้งไป ถ้าผู้เขียนตายล่ะ มันคงเพิ่มความลำบากให้กับลูกเมียมิใช่น้อย ผู้เขียนเริ่มมีความคิดใหม่ว่าจากนี้ไป เราจะเจ็บไม่ได้ เราจะยังตายไม่ได้
วิบากกรรมยังไม่ได้หมดแค่นั้น ลูกคนโตเข้ามหาวิทยาลัยด้วยเงินกู้ของหลวง (กำลังทยอยผ่อนใช้อยู่) ลูกคนเล็กกำลังเข้า ม.1 แต่ยังเข้าไม่ได้เพราะขาด ป.05 (วุฒิการศึกษา) ซึ่งยังค้างจ่ายค่าเทอมอีกเกือบสี่พัน ผู้เขียนได้เข้าไปกราบท่านผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมขอร้องให้รับลูกผู้เขียนเอาไว้ก่อน ถ้าเปิดเทอมแล้วยังนำใบ ป.05 มาให้ไม่ได้ค่อยไล่ลูกผู้เขียนออกจากโรงเรียน ท่านผู้อำนายการก็ใจดีรับรองอย่างแข็งขัน (ปัจจุบันท่านเกษียณอายุราชการแล้ว พบเจอก็แบ่งกับข้าวให้ท่านทุกครั้ง แต่ดูท่านจะเกรงใจ ผู้เขียนมักจะบอกกับท่านว่าไม่เดือดร้อนกับการให้ท่านหรอกครับ) นอกจากลูกจะได้เรียนต่อ ม.ต้น ผู้เขียนยังได้ขายอาหารในโรงเรียนอีกด้วย เวลาผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ชีวิตมันมีงานทำมากขึ้น ตื่นตีสองมาตลาดเพื่อซื้อของมาทำข้าวแกงขายเด็กนักเรียนทั้งมื้อเช้าและกลางวัน เสร็จเรื่องอาหารขายเด็กนักเรียนก็มาทำกับข้าวขายตลาดนัดตอนเย็น เสาร์อาทิตย์นอกจากขายข้าวแกงก็เพิ่มรายได้ด้วยการปั่นหวานเย็นพอมีรายได้เพิ่มมาอีก ดูเหมือนว่าตอนนี้เรื่องการเงินจะดีขึ้น แต่ต้องจัดสรรแบ่งให้ค่าแชร์ ค่าเช่าบ้าน ค่าเงินกู้นอกระบบดอกร้อยละยี่สิบต่อเดือน ค่างวดรถ ค่าเล่าเรียนของลูก และที่ลืมไม่ได้ที่จะต้องให้คือแม่ อาทิตย์ละหนึ่งร้อยบาทอาหารอีกต่างหาก ผู้เขียนไม่เคยเล่าเรื่องความทุกข์จากการล้มลุกคลุกคลานเพราะพิษเศรษฐกิจให้แม่รับรู้ แต่แม่ก็คงรู้ แม่มักจะบอกกับผู้เขียนเสมอว่า ให้อดทนเหมือนปลาหมอไทยแม้เกร็ดจะแห้ง ดินโครนจะจับตามหัวตามตัว แม้กระทั่งเหงือก จนแทบกระดิกตัวไม่ได้ มันก็ยังพยายามกระ

กระสนไปหาแหล่งน้ำ เพื่อความอยู่รอดของชีวิตมันเกิดเป็นคนต้องสู้นะลูก แม่พูดให้กำลังอยู่เสมอ ท้ายๆขีวิตของแม่ เวลาส่งเงินให้แม่ก็รับและให้พรผู้เขียนกับครอบครัวเสมอมามิได้ขาด แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือ เมื่อแม่รับเงินให้พรเสร็จ แม่จะยื่นเงินคืนมาให้พร้อมกับบอกว่าให้หลานแม่มีแล้ว นั่นคือน้ำใจของแม่ที่มีให้ลูกจนสุดท้ายของชีวิตแม่
เมื่อลูกคนโตเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เป็นความโชคดีของผู้เขียนเป็นอย่างมาก ลูกเรียนไม่เก่งแต่ขยัน ไม่เคยหยุดเรียนนอกจากป่วยขนาดต้องนอนรักษา ช่วยงานบ้านกันเต็มที่ นี่เองคือกำลังใจช่วยฟันฝ่าประคับประคองชีวิตให้อยู่รอดมาได้ เวลาไปเรียนก็จะเก็บกระป๋องน้ำอัดลม ขวดพลาสติกเหยียบให้แฟบแล้วยัดใส่เป้กลับมาบ้านรวมไว้ขายเป็นเงินค่าเดินทางไปเรียน ทำอย่างนี้จนเรียนจบมหาวิทยาลัย จนติดเป็นนิสัยเมื่อเวลาทำงานก็ยังเก็บขวด เก็บกระป๋องเครื่องดื่มมาขายอีก ผู้เขียนเคยขอร้องว่าอย่าเก็บมาเลยให้โอกาสคนอื่นๆบ้าง ส่วนลูกสาวคนเล็กเมื่อเริ่มเข้าเรียน ม.ต้นจนจบม.ปลาย ภารกิจของลูกคือการเรียน แต่เข้าก่อนเข้าเรียนลูกจะมาช่วยขายอาหารจนเกือบหมดเวลา จึงรีบกินข้าวรีบไปเข้าแถวเคารพธงชาติ เวลาพักกลางวันลูกก็จะรีบวิ่งจากห้องเรียนมาช่วยขายอาหาร หลายครั้งที่ลูกวิ่งเสียหลักล้มลุกคลุกคลานจากการรีบมาช่วยขายอาหารที่โรงอาหาร จนเป็นที่ล้อเรียนของเพื่อนๆและอาจารย์ ขนาดไปเรียนต่อวิทยาลัยแล้วอาจารย์เจอผู้เขียนยังเคยถามว่าเดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ของอาจารย์ยังวิ่งหกล้มอยู่รึเปล่า ลูกคนเล็กก็อีกหนึ่งแรงใจ ไม่เคยบังคับว่าจะต้องมาช่วยงานขายข้าวแกง ไม่เคยขอร้องว่าต้องใช้เงินแต่น้อย แต่ลูกจะมาช่วยเพราะความสงสารพ่อแม่ ช่วยงานขายอาหารเสร็จขอเงินค่ารถเดินทางกลับบ้าน และขอเงินค่าขนม 5 บาท เต็มที่ก็ 10 บาท ลูกทำภารกิจอย่างนี้จนจบ ม.ปลาย
วันหนึ่งขณะผู้เขียนกำลังขายกับข้าวอยู่ที่ตลาดนัดนั้น ผู้เขียนรู้สึกร้อนที่ข้างบั้นเอวนึกว่าไฟจากเตาหม้อน้ำซุปต้มจืดพุ่งขึ้นมาโดน ร้อนสะดุ้งรีบหันไปดู ถึงได้รู้ว่าไอ้ที่ร้อนมันไม่ใช่ไฟจากเตาแก๊ส แต่มันร้อนเพราะมีคนเอากระบวยตักน้ำซุปมาราดตัว เขาค่อยๆบรรจงราดมาอย่างช้าๆ ผู้เขียนหันมาเห็นแล้วรู้สึกโกรธมาก อยากจะด่าและต่อยมันสักที แต่ก็ทำไม่ได้ แถมมันยังร้องทักขึ้นว่า "แหม๋ขายกันเพลินเลยนะ" เขาเป็นเจ้าหนี้รายเดือนของผู้เขียนเอง ขาดส่งดอก ผลจึงออกมาเป็นเช่นนี้เอง ก็เลยตดลงกับเจ้าหนี้ว่าส่วนต้นที่เหลือมาเก็บเป็นรายวันก็แล้วกัน เจ้าหนี้พยักหน้าตกลง ผู้เขียนรีบตักต้มจืดกับผัดซี่โครงหมูเป็นการขัดดอก เพื่อเอาใจเจ้าหนี้ไว้ก่อน
พูดถึงตอนขายอาหารให้กับเด็กนักเรียน มีเด็กหลายคนไม่มีเงินซื้ออาหาร อาจารย์เคยถามแม่ค้าว่าร้านไหนที่สามารถจะให้เด็กทานอาหารฟรีได้บ้าง ที่ร้านจะรับไว้อย่างสม่ำเสมอทั้งที่การเงินยังย่ำแย่ แต่เรื่องอาหารจะให้เป็นทานมาตลอด อาจารย์มักจะถามว่าจะให้เด็กล้างจานหรือช่วยงานอย่างอื่นไหม ผู้เขียนกับแม่บ้านมีคำตอบให้กับอาจารย์เหมือนทุกครั้งว่า แค่ตั้งใจเรียนให้ดี คนให้ก็ดีใจแล้ว วันเวลาผ่านไปทุกข์บ้างสุขบ้าง แม่บ้านมักพูดเสมอๆว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้คนไม่รู้ แต่ผีสางเทวดาก็ต้องเห็น
ชีวิตและครอบครัวผู้เขียนปัจจุบันนี้ ลูกๆเรียนจบ ทำงานในอาชีพที่สุจริต เก็บออมไว้ในวันข้างหน้า ฝันว่าจะมีบ้านเป็นของเราสักหลังหนึ่ง หนี้สินที่เคยมีก็หมดไป ถึงจะเลิกขายในโรงเรียนแล้ว แต่ก็มีรายได้จากการขายกับข้าวที่ตลาดนัดช่วยลูกเก็บเงินได้อีกทางหนึ่ง
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นภายนอก และภายในใจเราเอง ผู้เขียนมีความปรารถนาดีขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังล้มลุกคลุกคลาน หรือกำลังจะล้ม ขอให้ท่านมีสติ มีกำลังกายและใจที่เข้มแข็ง ฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อคนที่เรารักและคนที่รักเราอย่าไปสะดุดหรือซวนเซกับแค่คำพูดดูถูกเหยียดหยามที่มันบั่นทอนจิตใจ อย่าเอามาอบกไว้ให้เป็นทุกข์ ขอให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ วันพรุ่งนี้ยังมีโอกาสให้กับทุกๆท่านได้ลุกขึ้นมา ยิ้ม หัวเราะได้อีก นึกย้อนไปถ้าวันนั้นผู้เขียนจบชีวิตลงที่คลองส่งน้ำ วันนี้คงเสียดายเสียงหัวเราะของผู้เขียนเอง ซึ่งมันดังไปหลายคุ้งน้ำจริงๆครับท่าน
Credit นายสุชาติลำลูกกาคลองแปด
แบ่งปันกำลังใจ...ล้มลุก คลุกคลาน
ล้มลุก...คลุกคลาน...
พ.ศ.2540 ในยุคเริ่มต้มยำกุ้ง หรือต้มยำเก้ง ผู้เขียนบอกไม่ถูกหรอกนะครับ และไม่คิดว่ามันจะมากระเทือนซางของผู้เขียนได้อย่างไร เราทำการค้าขายแค่คูหาเดียว แต่ที่ไหนได้มันเล่นเอารวนชวนเซ และล้มในที่สุด นับถอยหลังจากปี2540 ไปอีกสามสิบปี
พ.ศ.2510 ผู้เขียนเริ่มทำงานก่อสร้างเป็นจับกัง จนกระทั่งดูแบบแปลนก่อสร้าง คุมคนงานแทนเจ้านายได้ ทำอยู่สิบปีก็ลาออกมาอยู่โรงกลึงอีกสิบเจ็ดปี ในการทำงานอยู่กับสองเจ้านายเวลาหมดไป 27 ปี ผู้เขียนจึงเอาพวงมาลัย กระเช้าผลไม้ให้กับเจ้าของโรงกลึงพร้อมบอกว่า "ผมจะลาออกไปค้าขาย"
ต้นปี พ.ศ. 2537 เริ่มมีการเปิดร้านขายของชำ หน้าร้านทำเพิงยื่นออกมาเพื่อขายอาหารตามสั่ง ข้าวราดแกงและก๋วยเตี๋ยว ซึ่งขายดีมาก บางวันสี่โมงเย็นยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย บางครั้งก็ปวดฉี่จนท้องน้อยแข็งจนฉี่แทบราด ก็ยังไม่มีเวลาฉี่เลย เวลาล่วงเลยผ่านไปสามปี เมื่อเข้ากลางปี 2540 ผู้เขียนเริ่มรู้สึกว่าลูกค้าประจำสั่งข้าวกล่องน้อยลงลูกค้าตามสั่งเคยสั่งอาหารแทบล้นโต๊ะก็สั่งอาหารเพียงสองถึงสามอย่าง เครื่องดื่มชูกำลัง เหล่าเบียร์ก็ขายได้น้อยลงเรื่อยๆ ผู้เขียนเป็นคนเคร่งครัดเรื่องการเสียภาษีมาก เริ่มตั้งร้านและแจ้งเรื่องการเสียภาษีเหล้าบุหรี่ โรงเรือน ภดง.9 ค่าภาษีปีหนึ่งทำไมมันเสียหลายเด่งเหลือเกิน ผู้เขียนเริ่มคิดลบกับการเสียภาษีเมื่อปี 41-42 เพราะเมื่อไปบอกเจ้าหน้าที่ภาษีที่ว่าการอำเภอว่าเดี๋ยวนี้ขายไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผมต้องถอนเงินที่ออมไว้มาเป็นค่าใช้จ่ายในร้านและเป็นค่าเล่าเรียนลูกสาวทั้งสอง จนเงินที่ออมไว้หมดแล้ว เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อในคำพูดและได้กล่าวว่า "เวลามาเสียภาษีก็มักจะพูดกันแบบนี้ทั้งนั้น ถ้าคุณขายไม่ดีหรือเจ๊ง ป่านนี้คุณคงปิดกิจการร้านไปแล้ว" ผู้เขียนเดินลงจากที่ว่าการอำเภอใจเริ่มคิดลบกับการเสียภาษีมากขึ้น ...เออหนอ...หวังจะเสียภาษีตามความเป็นจริงให้หลวง แต่เวลาเราแย่หลวงกับไม่ฟังเรา...ทีคนอื่นเขายังซิกแซ็กแจ้งเท็จเพื่อให้เสียน้อยกว่าความเป็นจริง ฉะนั้นครั้งที่เสียภาษีคราวต่อไปผู้เขียนจึงไม่ได้ไปเสียภาษี เจ้าหน้าที่ก็ดีใจหาย รีบตามมาทักท้วงถึงร้าน ช่วงนั้นกำลังจนตรอกอยู่พอดี ทางโรงเรียนก็ทวงค่าเทอมของลูกคนโต ก็ไม่กี่พันบาทแต่ก็ไม่มีจะให้ (ต่อมาคุณครูจึงออกค่าเทอมให้ให้เพราะสงสาร) ตอนนั้นลูกคนเล็กก็เกือบจะจบชั้นประถม มีคนมาชวนผู้เขียนไปขายประกันชีวิต ทำธุรกิจขายตรง เพื่อช่วยพยุงกันให้ยืนอยู่ได้ เปิดร้านให้เร็วขึ้น และปิดร้านให้ดึก ทั้งครอบครัวของผู้เขียนสี่ชีวิตนอนกันคนละไม่กี่ชั่วโมง ทั้งเหนื่อยและเครียด ทุ่มเทกับการอยู่รอด เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่เก็บภาษีมาถึงร้าน พูดถึงการไม่ไปเสียภาษี ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเป็นความลับ วางแผนไว้ในใจมันจึงระเบิดพรั่งพรูออกมาจากปากของผู้เขียนว่า "เออ!! คุณลองมองไปรอบๆชั้นที่วางของขายสิ ว่ามันยังมีสินค้าที่ผมจะขายอีกสักกี่ชิ้น ผมบอกว่าผมขายไม่ดีเงินทุนที่ออมไว้ก็หมด คุณก็ไม่เชื่อ แต่ไม่เป็นไรผมจะฆ่าตัวตายใช่หนี้ภาษีหลวงให้" ผู้เขียนพูดได้แค่นี้เจ้าหน้าที่เก็บภาษีสองคนพร้อมกับภรรยาผู้เขียนดูจะตกใจมาก แต่ไหนๆความลับก็ไม่เป็นความลับอยู่ในอกผู้เขียนอีกต่อไปแล้ว ก็เลยคิดว่าจะวางแผนเพื่อจะโกงเอาเงินประกันชีวิตซึ่งทำไว้สองฉบับ และประกันอุบัติเหตุอีกหนึ่งฉบับรวมแล้วล้านกว่า ถ้าฆ่าตัวตายประกันเขาไม่จ่ายอยู่แล้ว แต่ผู้เขียนวางแผนไว้อย่างดี ขับรถชนกับรถที่วิ่งสวนมาคนอื่นก็จะเดือดร้อนไปด้วย หรือถ้าเราไม่ตายแต่พิการลูกเมียคงจะยิ่งเดือดร้อนหนักเข้าไปอีกมีทางเดียวที่มองแล้วเป็นอุบัติเหตุแน่ๆคือขับรถเลียบคลองส่งน้ำซึ่งถนนเป็นหลุมเป็นบ่อมาก (ไปดูสถานที่ตายมาเรียบร้อยแล้ว) ทำเป็นว่าขับรถไปเสียหลักตกหลุมแฉลบลงคลองน้ำลึกขนาดนั้นไม่ออกมาจากรถเดี๋ยวก็ตาย เจ้าหน้าที่เก็บภาษีสองคนเข้ามาปลอบโยน และให้ผู้เขียนแจ้งเลิกกิจการ และก็เลิกกิจการจริง เมื่อแม่บ้านรู้ว่ามีความคิดจะฆ่าตัวตายก็มีการต่อว่าต่อขานอีกมาก พร้อมกับเวรคืนยกเลิกกรมธรรม์ทั้งหมด ผู้เขียนนึกคิดอยู่ในใจ เออชีวิตเราตอนนี้มันมีค่าน้อยกว่าหมูหมาเป็ดไก่ สัตว์พวกนี้ตายลงไม่กินก็ฝังหรือโยนทิ้งไป ถ้าผู้เขียนตายล่ะ มันคงเพิ่มความลำบากให้กับลูกเมียมิใช่น้อย ผู้เขียนเริ่มมีความคิดใหม่ว่าจากนี้ไป เราจะเจ็บไม่ได้ เราจะยังตายไม่ได้
วิบากกรรมยังไม่ได้หมดแค่นั้น ลูกคนโตเข้ามหาวิทยาลัยด้วยเงินกู้ของหลวง (กำลังทยอยผ่อนใช้อยู่) ลูกคนเล็กกำลังเข้า ม.1 แต่ยังเข้าไม่ได้เพราะขาด ป.05 (วุฒิการศึกษา) ซึ่งยังค้างจ่ายค่าเทอมอีกเกือบสี่พัน ผู้เขียนได้เข้าไปกราบท่านผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมขอร้องให้รับลูกผู้เขียนเอาไว้ก่อน ถ้าเปิดเทอมแล้วยังนำใบ ป.05 มาให้ไม่ได้ค่อยไล่ลูกผู้เขียนออกจากโรงเรียน ท่านผู้อำนายการก็ใจดีรับรองอย่างแข็งขัน (ปัจจุบันท่านเกษียณอายุราชการแล้ว พบเจอก็แบ่งกับข้าวให้ท่านทุกครั้ง แต่ดูท่านจะเกรงใจ ผู้เขียนมักจะบอกกับท่านว่าไม่เดือดร้อนกับการให้ท่านหรอกครับ) นอกจากลูกจะได้เรียนต่อ ม.ต้น ผู้เขียนยังได้ขายอาหารในโรงเรียนอีกด้วย เวลาผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ชีวิตมันมีงานทำมากขึ้น ตื่นตีสองมาตลาดเพื่อซื้อของมาทำข้าวแกงขายเด็กนักเรียนทั้งมื้อเช้าและกลางวัน เสร็จเรื่องอาหารขายเด็กนักเรียนก็มาทำกับข้าวขายตลาดนัดตอนเย็น เสาร์อาทิตย์นอกจากขายข้าวแกงก็เพิ่มรายได้ด้วยการปั่นหวานเย็นพอมีรายได้เพิ่มมาอีก ดูเหมือนว่าตอนนี้เรื่องการเงินจะดีขึ้น แต่ต้องจัดสรรแบ่งให้ค่าแชร์ ค่าเช่าบ้าน ค่าเงินกู้นอกระบบดอกร้อยละยี่สิบต่อเดือน ค่างวดรถ ค่าเล่าเรียนของลูก และที่ลืมไม่ได้ที่จะต้องให้คือแม่ อาทิตย์ละหนึ่งร้อยบาทอาหารอีกต่างหาก ผู้เขียนไม่เคยเล่าเรื่องความทุกข์จากการล้มลุกคลุกคลานเพราะพิษเศรษฐกิจให้แม่รับรู้ แต่แม่ก็คงรู้ แม่มักจะบอกกับผู้เขียนเสมอว่า ให้อดทนเหมือนปลาหมอไทยแม้เกร็ดจะแห้ง ดินโครนจะจับตามหัวตามตัว แม้กระทั่งเหงือก จนแทบกระดิกตัวไม่ได้ มันก็ยังพยายามกระ
เมื่อลูกคนโตเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เป็นความโชคดีของผู้เขียนเป็นอย่างมาก ลูกเรียนไม่เก่งแต่ขยัน ไม่เคยหยุดเรียนนอกจากป่วยขนาดต้องนอนรักษา ช่วยงานบ้านกันเต็มที่ นี่เองคือกำลังใจช่วยฟันฝ่าประคับประคองชีวิตให้อยู่รอดมาได้ เวลาไปเรียนก็จะเก็บกระป๋องน้ำอัดลม ขวดพลาสติกเหยียบให้แฟบแล้วยัดใส่เป้กลับมาบ้านรวมไว้ขายเป็นเงินค่าเดินทางไปเรียน ทำอย่างนี้จนเรียนจบมหาวิทยาลัย จนติดเป็นนิสัยเมื่อเวลาทำงานก็ยังเก็บขวด เก็บกระป๋องเครื่องดื่มมาขายอีก ผู้เขียนเคยขอร้องว่าอย่าเก็บมาเลยให้โอกาสคนอื่นๆบ้าง ส่วนลูกสาวคนเล็กเมื่อเริ่มเข้าเรียน ม.ต้นจนจบม.ปลาย ภารกิจของลูกคือการเรียน แต่เข้าก่อนเข้าเรียนลูกจะมาช่วยขายอาหารจนเกือบหมดเวลา จึงรีบกินข้าวรีบไปเข้าแถวเคารพธงชาติ เวลาพักกลางวันลูกก็จะรีบวิ่งจากห้องเรียนมาช่วยขายอาหาร หลายครั้งที่ลูกวิ่งเสียหลักล้มลุกคลุกคลานจากการรีบมาช่วยขายอาหารที่โรงอาหาร จนเป็นที่ล้อเรียนของเพื่อนๆและอาจารย์ ขนาดไปเรียนต่อวิทยาลัยแล้วอาจารย์เจอผู้เขียนยังเคยถามว่าเดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ของอาจารย์ยังวิ่งหกล้มอยู่รึเปล่า ลูกคนเล็กก็อีกหนึ่งแรงใจ ไม่เคยบังคับว่าจะต้องมาช่วยงานขายข้าวแกง ไม่เคยขอร้องว่าต้องใช้เงินแต่น้อย แต่ลูกจะมาช่วยเพราะความสงสารพ่อแม่ ช่วยงานขายอาหารเสร็จขอเงินค่ารถเดินทางกลับบ้าน และขอเงินค่าขนม 5 บาท เต็มที่ก็ 10 บาท ลูกทำภารกิจอย่างนี้จนจบ ม.ปลาย
วันหนึ่งขณะผู้เขียนกำลังขายกับข้าวอยู่ที่ตลาดนัดนั้น ผู้เขียนรู้สึกร้อนที่ข้างบั้นเอวนึกว่าไฟจากเตาหม้อน้ำซุปต้มจืดพุ่งขึ้นมาโดน ร้อนสะดุ้งรีบหันไปดู ถึงได้รู้ว่าไอ้ที่ร้อนมันไม่ใช่ไฟจากเตาแก๊ส แต่มันร้อนเพราะมีคนเอากระบวยตักน้ำซุปมาราดตัว เขาค่อยๆบรรจงราดมาอย่างช้าๆ ผู้เขียนหันมาเห็นแล้วรู้สึกโกรธมาก อยากจะด่าและต่อยมันสักที แต่ก็ทำไม่ได้ แถมมันยังร้องทักขึ้นว่า "แหม๋ขายกันเพลินเลยนะ" เขาเป็นเจ้าหนี้รายเดือนของผู้เขียนเอง ขาดส่งดอก ผลจึงออกมาเป็นเช่นนี้เอง ก็เลยตดลงกับเจ้าหนี้ว่าส่วนต้นที่เหลือมาเก็บเป็นรายวันก็แล้วกัน เจ้าหนี้พยักหน้าตกลง ผู้เขียนรีบตักต้มจืดกับผัดซี่โครงหมูเป็นการขัดดอก เพื่อเอาใจเจ้าหนี้ไว้ก่อน
พูดถึงตอนขายอาหารให้กับเด็กนักเรียน มีเด็กหลายคนไม่มีเงินซื้ออาหาร อาจารย์เคยถามแม่ค้าว่าร้านไหนที่สามารถจะให้เด็กทานอาหารฟรีได้บ้าง ที่ร้านจะรับไว้อย่างสม่ำเสมอทั้งที่การเงินยังย่ำแย่ แต่เรื่องอาหารจะให้เป็นทานมาตลอด อาจารย์มักจะถามว่าจะให้เด็กล้างจานหรือช่วยงานอย่างอื่นไหม ผู้เขียนกับแม่บ้านมีคำตอบให้กับอาจารย์เหมือนทุกครั้งว่า แค่ตั้งใจเรียนให้ดี คนให้ก็ดีใจแล้ว วันเวลาผ่านไปทุกข์บ้างสุขบ้าง แม่บ้านมักพูดเสมอๆว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้คนไม่รู้ แต่ผีสางเทวดาก็ต้องเห็น
ชีวิตและครอบครัวผู้เขียนปัจจุบันนี้ ลูกๆเรียนจบ ทำงานในอาชีพที่สุจริต เก็บออมไว้ในวันข้างหน้า ฝันว่าจะมีบ้านเป็นของเราสักหลังหนึ่ง หนี้สินที่เคยมีก็หมดไป ถึงจะเลิกขายในโรงเรียนแล้ว แต่ก็มีรายได้จากการขายกับข้าวที่ตลาดนัดช่วยลูกเก็บเงินได้อีกทางหนึ่ง
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นภายนอก และภายในใจเราเอง ผู้เขียนมีความปรารถนาดีขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังล้มลุกคลุกคลาน หรือกำลังจะล้ม ขอให้ท่านมีสติ มีกำลังกายและใจที่เข้มแข็ง ฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อคนที่เรารักและคนที่รักเราอย่าไปสะดุดหรือซวนเซกับแค่คำพูดดูถูกเหยียดหยามที่มันบั่นทอนจิตใจ อย่าเอามาอบกไว้ให้เป็นทุกข์ ขอให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ วันพรุ่งนี้ยังมีโอกาสให้กับทุกๆท่านได้ลุกขึ้นมา ยิ้ม หัวเราะได้อีก นึกย้อนไปถ้าวันนั้นผู้เขียนจบชีวิตลงที่คลองส่งน้ำ วันนี้คงเสียดายเสียงหัวเราะของผู้เขียนเอง ซึ่งมันดังไปหลายคุ้งน้ำจริงๆครับท่าน
Credit นายสุชาติลำลูกกาคลองแปด