คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
กับดักรายได้ปานกลางของไทยเกิดจาก
รายได้ที่มา หรือเรียกได้ว่าความเจริญที่ได้มี หรือรายได้ที่ได้รับ ไม่ได้มาจากการมาเป้นเจ้าของ
หากได้จากทางลัดที่มาจากการส่งเสริมการลงทุนขนานใหญ่เริ่มจากเยอะๆตอน พ.ศ.2520 เป็นต้นมา
ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้ต่างชาติย้านฐานการผลิตที่ต้องการค่าแรงงานตํ่า และต้องการตลาดภายในไทย คนไทยได้คือมีงานทำ มีแรงซื้อในประเทศสูงขึ้น สัดส่วนการลงทุนจะเป็น 51:49
ต่อมาแนวทางนี้เริ่มตัน จึงนำมาสู่ระยะที่ 2 คือการส่งเสริมการผลิตเพื่อส่งออก การลงทุนขนาดใหญ่มาจากการที่ BOI ให้สิทธิพิเศษในการลดภาษี และมีพิธีการส่งออกที่รวดเร็วขึ้น จนสร้างงานทางด้านอุตสาหกรรมได้มหาศาล ครั้งนึงเราหวังจะเป็นนิคส์ หรือเสือตัวที่ 5 ตามไต้หวัน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฮ่องกง
เมื่อหมดแรงส่ง ระยะต่อมาเริ่มส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อให้มีรายได้เข้าประเทศ และมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และต่อพ่วงไปเป็นฮับเป็นประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
สิ่งที่ไทยยังติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางก็คือ
***เทคโนโลยี่ เงินทุน นวัตกรรม ล้วนเป็นของทุนต่างชาติ คนไทยได้ค่าจ้าง เมื่อเขาทำกำไรก็ส่งเงินกลับบริษัทแม่
เราเรียกร้องให้มีการทุ่มงบวิจัยให้ได้มาตรฐานตะวันตกคือ 3-5% ของรายจ่ายซึ่งไม่ได้รับการตอบสนองจากบริษัทขนาดใหญ่ ยิ่งเป็นขนาดกลางและเล็กไม่ต้องพูดถึง ธนาคารก้ยังไม่สนด้วยซํ้า
*** อุตสหกรรมขนาดใหญ่ต้นนํ้าในมือต่างชาติ และบริษัทคนไทยได้ประโยชน์จาการเป็นซัพพลายเชน ทำให้เกิดเงิน เกิดงาน แต่ไม่เกิดนวัตกรรม เป้นการผลิตตามออร์เดอร์ เอาเครื่องจักรเก่า ไลน์เก่าเข้ามาบริหารจัดการ และส่งมอบให้อุตสหกรรมขนาดใหญ่ที่เป็นแบรนด์ระดับโลก ตัวต้นทางรายได้ปานกลาง เงินได้กับเจ้าของคนไทยที่รวยและชาวบ้านมีงานทำรายได้ปานกลางยันเกษียณ
*** คนจบมาทางด้านวิทยาศาสตร์ก็ไม่มีงานทำ ไม่มีงานที่ตรงสาขา ต้องผันได้ด้วยวิทยาศตร์ประยุกต์เกือบทั้งหมด ทำให้ประเทศหยุดนิ่งจากนวัตกรรม ยิ่งเจริญไทยก็เจริญแบบกลวงๆ พัฒนาไปได้ไม่ไกล
*** แน่นอน ไม่มีใครมาวิจัยให้ไทย ของเทือกนี้เป็นหัวใจบริษัท รักษาความลับไว้สุดฤทธิ์ต้องใช้คนของเค๊าไว้ก่อน
฿฿฿ ปัญหาที่ตามมา
1 ความเหลื่อมลำ้รายได้ภาคเกษตรและอุตสาหกรรม รายได้ที่ได้จากอุตสาหกรรม ไม่ได้ถูกนำไปพัฒนาภาคเกษตรให้ตามทันแบบไต้หวัน จึงอยู่ในสภาพเดิม และถูกทิ้ง ต้องอุดหนุนตลอด
2 เมื่อรายได้ขั้นตํ่าเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมที่ต้องแข่งขันค่าแรงและใช้แรงงานมากๆ เริ่มย้ายฐาน ไปตามกลไกล ที่ประเทศไทยเคยได้เปรียบให้เรื่องค่าแรงแม้แต่เป็นเจ้าของไทย ก็ย้ายไปเขมร เวียดนาม หรืออินเดีย บังคลาเทศ
3 อันนี้ทำให้เด็กไทยรุ่นใหม่ๆเริ่มเรียนสูงขึ้นๆ ไม่สามารถแข่งขันเรื่องแรงงานไร้ฝีมือได้อีกแล้ว หรือแม้แต่อุตสาหกรรมขนาดกลางที่ใช้เทคโนโลยีเก่าเริ่มไม่สามารถตอบสนองต่อยุคใหม่ ซึ่งถ้าไม่ศึกษาแนวทางรับมือต่อจากนี้ จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต ตกงานหรือสมองไหลไปต่างประเทศ หรือแม้แต่เป็นผีน้อยไป
4 จำได้ว่ามีการลงทุนตรงจากต่างประเทศ 51:49 ตัว 51 ของไทยล้วนรํ่ารวยมหาศาล แต่ไม่สามารถดึงเอานวัตกรรมหรือสร้างนวัตกรรมได้ หรือส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาได้ ล้วนเป้นความล้มเหลวเรื่องการกระจายรายได้ของไทย
5 เริ่มมีคนพูดถึงแนวทาง EEC ดึงอุตสาหกรรมไฮเทคเข้าไทย ซึ่งก็เป็น ทุนนอก ทุนต่างชาติ คนไทยได้ค่าจ้าง เมื่อเขาทำกำไรก็ส่งเงินกลับบริษัทแม่วนลูป ทำโรงงาน เอาเครื่องจักรในไลน์ใช้แล้วมาตั้ง ภาษีถูก จบ
6 เริ่มมีคนพูดซํ้าเรื่องคลองไทย ซึ่งผมเห็นว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการพัฒนาไทย ออกแนวอสังหามากกว่า เหมือนทำโรงแรมรอให้คนมาพัก ต่างจากสิงคโปร์ที่มีกองเรือระดับโลก
7 ค่าครองชีพในเมืองสูงขึ้นเรื่อยๆ ทะยานอย่างไม่หยุดยั้งและไร้การควบคุม นำไปสู่ปัญหาไม่มีเงินเก็บ ปัญหาเงินชักหน้าไม่ถึงหลัง ความเครียด ปัญหาอาชญากรรมยาเสพติด ยิ่งตกงาน หรือรายได้น้อยไม่พอรายจ่าย
8 คนไทยไม่ทำงานใช้แรงงาน ยิ่งพัฒนาไป เจ้าของกิจการจึงหันพึ่งแรงงานต่างด้าว ซึ่งก็นำปัญหามาอีกแบบ
จุดอ่อนจุดแข็ง
-ไทยมีจุดอ่อนในจุดแข็ง เมื่อสะสมรายได้ปานกลางมากๆเหมือนฟองสบู่ เมื่อมีเงินมากๆแต่ไม่สามารถเอามาลงทุน-นวัตกรรม เพื่อแสวงหาทรัพยกรใหม่ๆได้ก็จะเอามาลง อสังหา บันเทิง เก็งกำไร ความสะดวกสบาย ทิศทางไทยต่อไปนี้น่าสนใจ
-ไทยต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศมากเสียเหลือเกิน
-สัดส่วนคนรวยมีแค่เท่าไรนะ น่าจะ 10% ครอบครองทรัพยสิน 90% ของประเทศ ซึ่งก็จะเป็นคนกำหนดทิศทางการลงทุนไป
สรุปสั้นๆ
คนไทยจำนวนน้อยเป็นเจ้าของทรัพย์สินจำนวนมากหาได้จากการเป็นซัพพลายเชน ตามออร์เดอร์ไม่ได้เป็นต้นทางแบรนด์และสร้างเทคโนโลยี่เอง หากนำเข้าแบบสำเร็จรูป ทำอย่างไรจึงจะอัพเกรดพวกเขาเหล่านี้ให้รวยขึ้นจากการเป็นเจ้าของแบรด์ไฮเทคโลยี่เอง จะตรงๆไปตรงมามาก แล้วนำเงินภาษีไปพัฒนาเกษตรกรรม ซึ่งปัจจุบันกลับกันเป้นรัฐเป็นฝ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็กกะโปรเจ็คซะเป็นส่วนใหญ่
ไฮเทคโนโลยี่ไม่ง่าย มีผู้นำอยู่แล้วในทุกๆด้านแข่งกันเอาเป็นเอาตาย ใช้เงินลงทุนสูง ใช้เวลามาก คาดการณ์ผลลัพธ์ไม่ได้ ก็พยายามกันไป
เหมือนๆบ้านเราจะถัดการค้าการลงทุนที่ผูกขาดกันมากกว่าเพราะไม่ต้องลงทุนนวัตกรรมและกินยาว
รายได้ที่มา หรือเรียกได้ว่าความเจริญที่ได้มี หรือรายได้ที่ได้รับ ไม่ได้มาจากการมาเป้นเจ้าของ
หากได้จากทางลัดที่มาจากการส่งเสริมการลงทุนขนานใหญ่เริ่มจากเยอะๆตอน พ.ศ.2520 เป็นต้นมา
ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้ต่างชาติย้านฐานการผลิตที่ต้องการค่าแรงงานตํ่า และต้องการตลาดภายในไทย คนไทยได้คือมีงานทำ มีแรงซื้อในประเทศสูงขึ้น สัดส่วนการลงทุนจะเป็น 51:49
ต่อมาแนวทางนี้เริ่มตัน จึงนำมาสู่ระยะที่ 2 คือการส่งเสริมการผลิตเพื่อส่งออก การลงทุนขนาดใหญ่มาจากการที่ BOI ให้สิทธิพิเศษในการลดภาษี และมีพิธีการส่งออกที่รวดเร็วขึ้น จนสร้างงานทางด้านอุตสาหกรรมได้มหาศาล ครั้งนึงเราหวังจะเป็นนิคส์ หรือเสือตัวที่ 5 ตามไต้หวัน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฮ่องกง
เมื่อหมดแรงส่ง ระยะต่อมาเริ่มส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อให้มีรายได้เข้าประเทศ และมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และต่อพ่วงไปเป็นฮับเป็นประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
สิ่งที่ไทยยังติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางก็คือ
***เทคโนโลยี่ เงินทุน นวัตกรรม ล้วนเป็นของทุนต่างชาติ คนไทยได้ค่าจ้าง เมื่อเขาทำกำไรก็ส่งเงินกลับบริษัทแม่
เราเรียกร้องให้มีการทุ่มงบวิจัยให้ได้มาตรฐานตะวันตกคือ 3-5% ของรายจ่ายซึ่งไม่ได้รับการตอบสนองจากบริษัทขนาดใหญ่ ยิ่งเป็นขนาดกลางและเล็กไม่ต้องพูดถึง ธนาคารก้ยังไม่สนด้วยซํ้า
*** อุตสหกรรมขนาดใหญ่ต้นนํ้าในมือต่างชาติ และบริษัทคนไทยได้ประโยชน์จาการเป็นซัพพลายเชน ทำให้เกิดเงิน เกิดงาน แต่ไม่เกิดนวัตกรรม เป้นการผลิตตามออร์เดอร์ เอาเครื่องจักรเก่า ไลน์เก่าเข้ามาบริหารจัดการ และส่งมอบให้อุตสหกรรมขนาดใหญ่ที่เป็นแบรนด์ระดับโลก ตัวต้นทางรายได้ปานกลาง เงินได้กับเจ้าของคนไทยที่รวยและชาวบ้านมีงานทำรายได้ปานกลางยันเกษียณ
*** คนจบมาทางด้านวิทยาศาสตร์ก็ไม่มีงานทำ ไม่มีงานที่ตรงสาขา ต้องผันได้ด้วยวิทยาศตร์ประยุกต์เกือบทั้งหมด ทำให้ประเทศหยุดนิ่งจากนวัตกรรม ยิ่งเจริญไทยก็เจริญแบบกลวงๆ พัฒนาไปได้ไม่ไกล
*** แน่นอน ไม่มีใครมาวิจัยให้ไทย ของเทือกนี้เป็นหัวใจบริษัท รักษาความลับไว้สุดฤทธิ์ต้องใช้คนของเค๊าไว้ก่อน
฿฿฿ ปัญหาที่ตามมา
1 ความเหลื่อมลำ้รายได้ภาคเกษตรและอุตสาหกรรม รายได้ที่ได้จากอุตสาหกรรม ไม่ได้ถูกนำไปพัฒนาภาคเกษตรให้ตามทันแบบไต้หวัน จึงอยู่ในสภาพเดิม และถูกทิ้ง ต้องอุดหนุนตลอด
2 เมื่อรายได้ขั้นตํ่าเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมที่ต้องแข่งขันค่าแรงและใช้แรงงานมากๆ เริ่มย้ายฐาน ไปตามกลไกล ที่ประเทศไทยเคยได้เปรียบให้เรื่องค่าแรงแม้แต่เป็นเจ้าของไทย ก็ย้ายไปเขมร เวียดนาม หรืออินเดีย บังคลาเทศ
3 อันนี้ทำให้เด็กไทยรุ่นใหม่ๆเริ่มเรียนสูงขึ้นๆ ไม่สามารถแข่งขันเรื่องแรงงานไร้ฝีมือได้อีกแล้ว หรือแม้แต่อุตสาหกรรมขนาดกลางที่ใช้เทคโนโลยีเก่าเริ่มไม่สามารถตอบสนองต่อยุคใหม่ ซึ่งถ้าไม่ศึกษาแนวทางรับมือต่อจากนี้ จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต ตกงานหรือสมองไหลไปต่างประเทศ หรือแม้แต่เป็นผีน้อยไป
4 จำได้ว่ามีการลงทุนตรงจากต่างประเทศ 51:49 ตัว 51 ของไทยล้วนรํ่ารวยมหาศาล แต่ไม่สามารถดึงเอานวัตกรรมหรือสร้างนวัตกรรมได้ หรือส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาได้ ล้วนเป้นความล้มเหลวเรื่องการกระจายรายได้ของไทย
5 เริ่มมีคนพูดถึงแนวทาง EEC ดึงอุตสาหกรรมไฮเทคเข้าไทย ซึ่งก็เป็น ทุนนอก ทุนต่างชาติ คนไทยได้ค่าจ้าง เมื่อเขาทำกำไรก็ส่งเงินกลับบริษัทแม่วนลูป ทำโรงงาน เอาเครื่องจักรในไลน์ใช้แล้วมาตั้ง ภาษีถูก จบ
6 เริ่มมีคนพูดซํ้าเรื่องคลองไทย ซึ่งผมเห็นว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการพัฒนาไทย ออกแนวอสังหามากกว่า เหมือนทำโรงแรมรอให้คนมาพัก ต่างจากสิงคโปร์ที่มีกองเรือระดับโลก
7 ค่าครองชีพในเมืองสูงขึ้นเรื่อยๆ ทะยานอย่างไม่หยุดยั้งและไร้การควบคุม นำไปสู่ปัญหาไม่มีเงินเก็บ ปัญหาเงินชักหน้าไม่ถึงหลัง ความเครียด ปัญหาอาชญากรรมยาเสพติด ยิ่งตกงาน หรือรายได้น้อยไม่พอรายจ่าย
8 คนไทยไม่ทำงานใช้แรงงาน ยิ่งพัฒนาไป เจ้าของกิจการจึงหันพึ่งแรงงานต่างด้าว ซึ่งก็นำปัญหามาอีกแบบ
จุดอ่อนจุดแข็ง
-ไทยมีจุดอ่อนในจุดแข็ง เมื่อสะสมรายได้ปานกลางมากๆเหมือนฟองสบู่ เมื่อมีเงินมากๆแต่ไม่สามารถเอามาลงทุน-นวัตกรรม เพื่อแสวงหาทรัพยกรใหม่ๆได้ก็จะเอามาลง อสังหา บันเทิง เก็งกำไร ความสะดวกสบาย ทิศทางไทยต่อไปนี้น่าสนใจ
-ไทยต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศมากเสียเหลือเกิน
-สัดส่วนคนรวยมีแค่เท่าไรนะ น่าจะ 10% ครอบครองทรัพยสิน 90% ของประเทศ ซึ่งก็จะเป็นคนกำหนดทิศทางการลงทุนไป
สรุปสั้นๆ
คนไทยจำนวนน้อยเป็นเจ้าของทรัพย์สินจำนวนมากหาได้จากการเป็นซัพพลายเชน ตามออร์เดอร์ไม่ได้เป็นต้นทางแบรนด์และสร้างเทคโนโลยี่เอง หากนำเข้าแบบสำเร็จรูป ทำอย่างไรจึงจะอัพเกรดพวกเขาเหล่านี้ให้รวยขึ้นจากการเป็นเจ้าของแบรด์ไฮเทคโลยี่เอง จะตรงๆไปตรงมามาก แล้วนำเงินภาษีไปพัฒนาเกษตรกรรม ซึ่งปัจจุบันกลับกันเป้นรัฐเป็นฝ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็กกะโปรเจ็คซะเป็นส่วนใหญ่
ไฮเทคโนโลยี่ไม่ง่าย มีผู้นำอยู่แล้วในทุกๆด้านแข่งกันเอาเป็นเอาตาย ใช้เงินลงทุนสูง ใช้เวลามาก คาดการณ์ผลลัพธ์ไม่ได้ ก็พยายามกันไป
เหมือนๆบ้านเราจะถัดการค้าการลงทุนที่ผูกขาดกันมากกว่าเพราะไม่ต้องลงทุนนวัตกรรมและกินยาว
แสดงความคิดเห็น
อยากทราบว่าผมเข้าใจถูกไหมครับกับคำว่า ประเทศกับดักรายได้ปานกลาง
วิธีแก้ปัญหารายได้ปานกลางคือ
-เพิ่มความแข็งแกร่งให้ภาคอุตสหกรรมความหวังประเทศเราจึงเป็น EEC ใช้ไหมครับ เน้นการสร้างนวัตกรรม เน้น R&D
อยากทราบว่าระบบความคิดผมถูกต้องไหมครับ
1.ถ้าประเทศต้องการอุตสหกรรมที่แข็งแรงมากกว่าการเป็นแค่ฐานการผลิตประเทศเราจำเป็นต้องมีนวัตกรรมเป็นของตัวเอง
แปลว่าเราต้องการคนที่เป็น Engineer กับ ปวส(technician) เยอะๆใช้ไหมครับ
2.ถ้าผมอยากเป็นส่วนนึงในการแก้ไขปัญหาประเทศรายได้ปานกลาง ผมที่ตอนนี้เรียนวิศวะปี2 อยู่ตรงมุ่งเข็มไปสาย R&D Engineer
ใช้ไหมครับ?
หากผมเข้าใจอะไรผิดพี่ๆในpantipช่วยอธิบายเพิ่มเติมหน่อยครับ
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นครับ