ชีวิตหลังแต่งงาน​และแม่สามี​ คิดอย่างไรกันบ้าง??

แต่งงานมา4ปี​เหมือนแต่งมา6เดือน

เราคบกับแฟนมาหลาย5ปีและก็แต่งงาน​ก่อนอื่นขอเล่าถึงสภาวะระหว่างเรากับแฟน​โดยปกติ​คือรักกัน​แต่ทะเลาะกันบ่อย​แต่ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย​ผ่านมาได้​ แต่พอแต่งมาแล้ว​ เราก็เข้าใจได้ว่ามันเพิ่งเริ่มต้น​เพราะ​มีความคาดหวังของแต่ละคนเพิ่มขึ้นมาด้วย​ กลายเป็นว่าทะเล่ะกันหนักบ่อยแรง​แต่สุดท้าย​ในระยะเวลา6เดือน​ เดือนที่หกก็ไม่ทะเลาะและเริ่มมีความปกติสุขและลงตัว​ โดยเราและสามีอยู่กัน2คน​ซึ่งจะเจอกันอาทิตย์ละ2-3วัน​ เพราะเค้าทำงานอยู่ตจว.​ แต่เราก็โอเคนะ​ เพราะคบกันมานานก็แบบนี้​ ให้แต่ละคนมีเวลาและก็มาใช้เวลาร่วใกันและแต่งงาน​ เป้าหมายคือสร้างครอบครัว​ แต่แล้วเรื่องที่ไม่เคยคาดคิด​ หลังจาก6เดือน​ และสภาวะคงตัวก็กลายเป็นมีการแปรเปลี่ยนไป

คงเข้าใจว่าเป็นเรื่องของการมีมือที่สาม​ แต่ไม่ใช่ค่ะ​ เรื่องมีอยู่ว่า​ เราแต่งงานมาได้แบะสามีก็กลับไปทำงานไปมา​ หลังแต่งไป1-2อาทิตย์แรก​ แม่สามีก็โทรมาทุกอาทิตย์​ชวนไปไหนต่อไหน​ เราก็ไปได้และไม่มีปัญหา​ อันนี้ก็ยังไม่เท่าไหร่​ พอผ่านช่วงปรับตัวใน6เดือนมา​ (แม่สามีอยู่ตจว.​และเข้ามากทม.บ้าง​อยู่บ้านรวมญาติของครอบครัวเค้า)​
เป็นเรื่องปกติที่แม่สามีมากทม.​ก็จะพาไปทานข้าวเดินเล่นทำธุระ​แล้วแต่เลย​ เราได้หมดและไปด้วบกับสามีเสมอ​ รู้ว่าแม่มาเราก็เลยบอกแฟนพาแม่ไปทานร้านนร้มั้ย​ที่ราคาแพงและเคยไปทานกันมาครั้งนึง​ เห็นแม่มาและพาท่านไปทาน  พอทานเสร็จก็ไปส่งท่านที่บ้านรวมและทุกอย่างดูเหมือนปกติ​ แต่ช่วงสายของอีกวัน​น้าของสามีก็โทรมาบอกว่าแม่ผูกคอ  ช็อค   น้ำตาร่วงเลย​และไม่รู้ว่าอะไรทั้งนั้น​สามีก็รีบไปหาแม่พาไปหาหมอทันที​

เราก็คิดทบทวนว่าเกิดจากอะไร​ ย้อนไปวันก่อน​ก็มีคำถามที่​แม่สามีถามเราว่า​ ลูกเค้าพามาทานที่นีบ่อยมั้ย​ เราก็ตอบไปว่าไม่และแม่มาเลยมาทานนี่คือครั้งที่2  และถามอีกว่า​ลูกชายเค้าเป็นคนพามาหรอ​ก็บอกว่าใช่​เค้าเห็นเพื่อนโพสเลยมาลอง​ และผ่านไปสักพักก็ถามอีกว่าลูกเค้าชวนมาพามา​หรอ​ อีกเราก้อตอบไป.. ยังไม่แน่ใจ​ เกี่ยวกันมั้ย​ จนอาทิตย์นึงไป​ระหว่างรอทางโรงพยาบาลว่างให้เข้ารับการรักษาทางจิตเวชนั้น​ เรากะสามีก็ไปหาท่านที่บ้าน​ เมื่อเจอ​ แฟนคงเล่าว่าเราตกใจร้องไห้เลย​  แม่เค้าถามว่า​ รับไม่ได้หรอ.. ซึ่งเราเป็นคนกลัวไรเหล่านี้​  แม่เค้าก็เป้าตาบวมม่วงและรอบคอเป็นรอยม่วง​ เราก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆไป​ 

ในสภาวะนี้เรารู้ว่าสามีเครียดและเป็นห่วงแม่เค้ามาก​และแม่ก็มารักษาตัวในกทม.​ เรารู้ว่าวันเวลาปกติน่วมกันขะหาบไปและต้องให้ความเอาใจใส่กับแม่สามีมากขึ้น​  เราได้แต่บอกว่า​ ดูแลแม่ให้ดีที่สุด​ ใจเราคิดแม่เค้าต่อให้รักไม่เท่าแต่ก็ให้ความเคารพในฐานะเป็นแม่สามีเสมอมา​  แน่นอนว่า​เป็นโรคซึมเศร้า​ แม่ก็ได้เข้ารับการรักษาและในความดูแลของรพ.​ ทุกอาทิตย์​ญาติและทุกคนที่อยู่ก็จะไปเยี่ยม​ หมอก็ถามหาอาการ​ แม่สามีเค้ากลัวไม่รู้จะอยู่กับใคร​ ซึ่งด้วยการที่เราแต่งงานมา​ แต่ก็เหมือนเดิมปกติ​ เราก็คิดว่าเป็นเพราะโรคด้วย​ 

มีบางเหตุการณ์​ที่ชวนให้รู้สึก​ แบะเป็นหลาบๆครั้งที่เราพบเจอ​แม้ไม่ร้าบแรงแต่ก็เป็นเหมือนระลอกคลื่นที่สั่งสมมา   หลังจากรักษามา3อาทิตย์​ ทางครอบครัวสามีจะไปเข็งเม้งกันตจว. จึงขอหมอให้ออก​ และหมอก็ให้​ เราก็ไปด้วยและไปรับแม่และไปสนามบินกัน​ เราก็เกร็งไม่พูดไรมาก​ระหว่างรอสามีไปจอดรถและมาเช็คอินเพื่อเดินทาง​ เราก็คุยกะพี่เลี้ยงของหลานที่บ้าน​ก็เลยเล่าให้แม่ฟังไปเลยว่า​  พี่เลี้ยงเอาไว้เราและสามีมีลูกก็ข่วยเลี้ยง​ ก็แค่นั้นไม่มีไร​  พอตกบ่ายมา​  ก็เกิดสภาวะ​ น้องของแม่ก็ให้ข่วยป้อนข้าวหลานและบอกอีกหน่อยมีหลานจะได้ข่วยเลี้ยง​ เราก็เฉยๆนะได้หมด​ และคำที่แม่เค้าพูดคือ​ เค้าไม่ให้เลี้ยงหรอก​ เค้ามีคนช่วยเลี้ยงอยู่แล้ว​ พอได้ยินจากไม่เคยมีอคติใดๆและเปนปกติมาเสมอเราตกใจและอึ้ง​แต่ก็ทำเฉยๆไป​  และคิดว่าต้องเล่าให้สามีรู้เพรสะอาจเป็นอาการและให้รุ้ว่าคิดอ่านอย่างไร​  แน่นอนทั้งวันนั้นเราก็เจอแนวนี้จสกโดยรอบแบบเรียบๆๆแต่ชัดเจนเน้นย้ำคำว่าเลี้ยงหลาน... คิดในใจท้องก่อนเหอะ​... 
จากนั้นมา​ทุกอาทิตย์​ก็สามีมากทม.และพาไปเจอแม่และพาแม่ไปกินข้าวซื้อของและอื่นๆทุกอาทิตย์และมีน้าและแม่บ้านคอยอัพเดตอาการและสภาวะเสมอ​ เราก็ไม่พูดไรแล้วเงียบดีกว่าอะไรก็ได้​  กังวลแต่ว่าพูดไรไปแล้วแม่สามีจะคิดไปไกลและเป็นเรื่องหรือฆ่าตัวตายขึ้นมาอีก​ ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก​  จริงมั้ยคะ

สภาวะการณ์ต่างๆระหว่างที่ป่วยและรักษาโดยทานยาและอยู่กทม.นี้เรื่อยมา​ มีสิ่งที่เราได้รู้จักแม่สามีมากขึ้นและเห็นและคิดว่าเป็นเพนสะโรคด้วยแต่มันก็ร่วมกะจิตใต้สำนึกที่กังวลหรือกระทบออกมา​ เช่น
- สามียิ้มและพูดถึงเราให้แม่เค้าเสมอ​ และเราก็ไม่รู้หรอกนะแต่ก็เค​ ผลที่ได้คือแม่เค้าเห็นเราทำไรกินไรก็กินตามหมด​ เราคิดว่าเราคิดไปเอง​ลองพิสูจน์​กินอาหารนี้ก็ตักตามเราก็กินไปปกติจนเราตักผักเข้าไป​ เค้าก็ตามและคายออกทันที​ เลยเข้าใจได้​ พอเราใว่เสื้อยืดสีขาวเรียบๆๆเค้าเห็นก็อยากได้​ เราใส่กางเกงอะไรก็อบากได้​  เราก็ไปซื้อให้เค้านะ​ เปนเรื่อยมา​
มีวันนึงเราทะเลาะกะแฟน​แม่เค้าอยู่ในเหตุการณ์​ ตอนอยู่ด้วยกัน​ เค้สพูดง่าเพราะแม่หรอ​ เราก็บอกเปล่า​ แต่พอเค้าอนู่กะสามีเรา​  เค้าบอกว่า​ สามีเรานี่น่าสงสาร​  ไหนจะเรื่องงานไหนจะเรื่องแม่ยังมีปัญหาครอบครัวอีก​  คือเจตนาแบบไหนไม่รู้​  แต่หบังจากนั้นมาก็ทะเลาะกันบ่อยขึ่​น​ สามีเรสก็ไปหาแม่เค้าเอง​ บ้าง​  และเรสก็มีไปบ้าง​ แต่แม่เค้าจะลากลูกเค้าไปนั่งคุยกัน2คน​ และพอจะกลับก็แทบตะกรี้ดว่าจะกลัยแล้วหรอ​เราตกใจมสกกกก​  และเห็นใจ​  เพราะถ้าเปนคนปกติก็จะรู้ได้ว่าลูกรักเค้ามากขนาดไหน​และให้ไเ้ทุกอย่างที่เค้าต้องการ​ แน่นอนก็จะมีแต่เรื่องแนวนี้​ ที่เห็นชัดคือ​  เราและสามีไปเที่ยว​ ญี่ปุ่น​และไต้หวันรวม​15วัน​ มีกลับไทย2วัน​ ก็ให้เค้าไปหาแม่​  ก่อนไปก็ถามว่าแม่เค้าเคหรอ​เรากังวลแทน​ วันท้ายสุดน้าเค้าเล่าว่า​ แม่สามีเดินวนไปมาทั้งคืน​เรียกน้องหาแต่ลูกเค้าว่าจะมาหสเค้ามั้ย​  น้าก็บอกตะไปรอบ้านเค้าเบยมั้ย​นอนบ้านเค้าเลยมั้ยก็ไม่​เดินวนไปมาทั้งคืน​  จากคร่าวๆนี้ก็เข้าใจได้แล้วมั้ยคะ​ ว่าแม่เค้าคิดและกังวลเรื่องไหนและประเด็นคือ​ตัวเรา​ ที่มาแต่งงานกะลูกเค้า​  นี่แหละ​ ที่เราหนักใจและพยายามเปิดใจกว้างๆๆและให้สามีทำหน้าที่ให้ดีที่สุด​ แม่ต้องการเค้าแต่ถ้าเป็นเราน่าจะเป็นแบบที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น​ เราจึงเลือกสละเวลาที่มีกันให้แม่และลูกมีร่วมบ้างและทะเลาะกันบ้างและไปด้วยกันบ้างคบะกันไป​ เป็นเวลา​1ปี​8เดือน​  เราและสามีเริ่มห่างกันบ้างแต่ยังประคับประตอองแบะมีรักกันอยู๋​   พออาการแม่เริ่มดี​ เค้าอยากกลับตจว.​ เราก้อไปกะแฟนเพื่อรับแม่​ และไปด้วยกัน​ แม่สามีซื้อขนมที่แฟนชอบ​(เราชอบ)​มาเยอะในรถ​  แต่แฟนเราไม่กินเราเลยขอกิน​ ถามแม่แม่ก็​ไม่เอาอะ​แบบสะบัดๆไป​  แต่ตอนไปรับ​เจอหน้า​ แม่สามีถามว่า​ไปด้วยหรอ..  มันคือสภาวะที่พบเจอ​เราก็ตอบสั้นๆว่าค่ะ​  ในรถเดินทาง​ เค้าก้อคุยไม่หยุดร่าเริงมาก​และพอสามีคุยกะเรา​ แม่ก็แทรกคั่นกลางมา​ 2-3รอบ​เราเลยนอนดีกว่า​ ซึ่งมันเป็นความอึดอัดเสมอมา​  และเราไม่เคยอะไร​ และจะให้พูดกะสามี​ เค้าจะบอกว่าเรามีปัญหากะแม่เค้าจากยั้นมาเลยเงียบ​ ถามว่าเรามำอะไรผิด​ และแม่เค้ามาถามเราไม่มีลูกกันอีก​ วันเวลาที่เปนมาก็ตะสามปี แต่งงาน​ ก็ให้เวลาไปกับแม่และเรื่อยมา​ ทุกครั้งไปกะนเองสามีและแม่เค้า​ ถ้าทะเลาะกันเค้าจะแรงมากกะเรา​และวันนึงเค้าบอกเราว่าอยู่กับอม่ามสุขกว่าอยู่กับเรา...  นี่แหละชีสิตหลังแต่งงาน​ และไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่าบทสรุปเป็นไง  วันนึงเราก็ทะเลาะกันเรืาอยเค้าลากแม่เค้ามาคุยด้วยและด่าเราให้แม่เค้าฟัง​ คำแรกที่แม่เค้าพูดคือก็เลิกไปสิ​  ทำให้เราคิดภาพออกเลยว่าแม่เค้าเป็นแนวไหนบ้างแต่ก็ไม่ทำไรได้ก็ผ่ายไปจนทุกวันนี้4ปีกว่าแล้ว  สุดท้ายเราก็จบกับแฟน​ แต่เป็นที่คงามห่างเกินกันเรื่อยมาทะเลาะและอื่นๆๆ​ 

ที่มาบอกเล่านี่​อยากถามว่า​มีใครที่ป่วยและคิดมากแบบนี้​ และสภาพที่เจอมา​เราว่าเราทำดีที่สุดแล้วและที่เป็นแต่ก็เจอคำว่าจากสามีว่าเราไม่แบ่งเบาที่แม่เค้าป่วยเลย  ถ้าแบ่งได้ก็แบ่งแบาแต่ก็ตามสภาชพนี้​เราแค่อยากมีชีวิตคู่แบบปกติทั่วไปและแม่สามีที่เราไม่เคยนึกรังเกียจหรือไม่เคยคิดจะมีปัญหาอะไร​ กลับกลายเป็นเรามีชีวิตแต่งงานที่ปกติครึ่งปี​ แต่คบกันมา​5ปีก่อนแต่ง​ และ4ปีแต่งมาก็จบ​ หรือเราทำอะไรไม่ถูก  แต่ก็ผ่านมาแล้ว​ แค่อยากรู้ความคิด​เห็นว่าแบบไหนอย่างไรบ้าง​
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่