JJNY : 5in1 หนี้เสียคาดพุ่ง3.53%/อีไอซีหั่นจีดีพีเหลือ2.2%/เจ๊งอื้อปี63บ.ปิดกว่า2หมื่น/พท.ถามหาBig data/แท็กซี่ขอเยียวยา

หนี้เสีย'63ยอดรวม5.23แสนล. คาดปีนี้พุ่งแตะ3.53%
https://www.dailynews.co.th/economic/821590
    
รายงานข่าวจาก "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ได้คาดการณ์แนวโน้มหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ว่า จากฐานข้อมูลรายงานงบการเงินประจำไตรมาส 4 ปี 63 คาดว่ายอดคงค้างเอ็นพีแอลของระบบธนาคารพาณิชย์จะ ปิดสิ้นปี 63 ยอดรวม 5.23 แสนล้านบาท คิดเป็น 3.16% ของสินเชื่อรวม หรือเพิ่มขึ้นถึง 12.5% จากยอดคงค้างเอ็นพีแอล 4.65 แสนล้านบาทในปี 62 หรือเพิ่ม 58,000 ล้านบาท


  
สำหรับในปี 64 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดเอ็นพีแอลมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กลับต้องมาเจอผลกระทบอีกครั้งจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ในประเทศ แต่จากการผ่อนปรนในเรื่องของเกณฑ์การจัดชั้นหนี้หากมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ รวมถึงการจัดการในเชิงรุกในการดูแลปัญหาหนี้เสียและการตัดหนี้สูญของธนาคารพาณิชย์ ทำให้คาดว่าเอ็นพีแอลในปี 64 จะอยู่ที่ 3.53% อยู่ในกรอบกรอบ 3.40%-3.80% ของสินเชื่อรวม
  
ทั้งนี้ จุดจับตาสำคัญของสัญญาณเอ็นพีแอลมี 2 เรื่อง คือ 
 
1. ยอดภาระหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือผ่านมาตรการต่างๆ ของสถาบันการเงินที่อาจกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในไตรมาสที่ 1 ปี 64 หลังจากที่ลดระดับลงในช่วงครึ่งหลังของปี 63 เพราะลูกหนี้และผู้ประกอบการกลับมาจ่ายคืนหนี้หลังจากหมดมาตรการฯ ซึ่งทำให้สัดส่วนความช่วยเหลือลูกหนี้ทยอยลดลงมาอยู่ที่ 22.7% ของสินเชื่อรวมระบบธนาคารพาณิชย์จากระดับ 31.0% ในไตรมาสที่ 2 ปี 63
  
โดยมีความเป็นไปได้ที่ลูกหนี้จะทยอยกลับมารับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน เนื่องจากคาดว่า การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่กระจายวงกว้างและเศรษฐกิจที่ชะลอเวลาการฟื้นตัวออกไป อาจทำให้กระแสรายได้ของภาคธุรกิจยังคงไม่สม่ำเสมอ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ โดยเฉพาะในกรณีที่การควบคุมการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่กินเวลานาน
 
2. ปัญหาเอ็นพีแอลในปีนี้มีโอกาสกระจายตัวออกไปในหลายกลุ่มธุรกิจมากขึ้น หลังจากในปีที่แล้ว แรงกดดันหลักๆ จะอยู่กับธุรกิจขนส่ง โดยเฉพาะขนส่งทางอากาศ และธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท แม้จะไม่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศกับการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 แต่ระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต้องหยุดชะงักลงในหลายๆ ส่วนและสัญญาณอ่อนแอต่อเนื่องของกำลังซื้อทั้งภายในและต่างประเทศ ย่อมส่งผลทำให้การฟื้นตัวของระดับรายได้ของครัวเรือน และหลายๆ ธุรกิจต้องเลื่อนเวลาออกไป ซึ่งสำหรับธุรกิจที่มีข้อจำกัดหรือมีความยืดหยุ่นน้อยในการปรับลดต้นทุน อาจเผชิญกับปัญหาด้านสภาพคล่องมากขึ้น
 
ดังนั้น นอกจากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมและรีสอร์ท และสินเชื่อรายย่อยแล้ว กลุ่มที่น่าเป็นห่วงเพิ่มเติมในปีนี้ ได้แก่ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ขายส่ง ขายปลีกเอสเอ็มอี ภาคการผลิตทั้งที่รับช่วงผลิตต่อ พึ่งพาตลาดส่งออก อิงกับกำลังซื้อในประเทศ รวมไปถึงธุรกิจให้เช่าอาคารอพาร์ทเม้นท์ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์และที่อยู่อาศัยอื่นๆ เพื่อเช่า
 
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การดูแลคุณภาพหนี้ในพอร์ตจะยังคงเป็นโจทย์สำคัญต่อเนื่องตลอดทั้งปี 64 และอาจข้ามไปในปี 65 เพราะจะมีหนี้บางส่วนที่ต้องกลับมาจ่ายคืนตามเงื่อนไขปกติ (หลังจากพ้นช่วงผ่อนปรนของมาตรการฯ) ในขณะที่ความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้บางกลุ่มยังไม่ดีขึ้น-ฟื้นตัวกลับมาได้อย่างมีนัยสำคัญ
 
นอกจากนี้ คงต้องรอจังหวะให้เศรษฐกิจปรับตัวกลับสู่ระดับปกติก่อนที่สัญญาณจากความเสี่ยงหนี้ตกชั้น หรือสัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพจะลดระดับลง ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ธปท.อาจต้องกลับมาประเมินความจำเป็นของการขยายเวลาผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ให้กับสถาบันการเงิน รวมถึงการเว้นการกันเงินสำรองสำหรับวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้ ซึ่งกำลังจะสิ้นสุดลงในช่วงสิ้นปี 64 หากสถาบันการเงินยังต้องใช้เวลาในการจัดการปัญหาหนี้เสีย และปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
 
อย่างไรก็ดี ระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีความแข็งแกร่ง และธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ทยอยเตรียมความพร้อมเพิ่มความเข้มแข็งให้กับระดับเงินกองทุนและเงินสำรองฯ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนในปีนี้ โดยล่าสุด อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ระดับ 20.15% (ณ พ.ย.63) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำและประเทศที่พัฒนาแล้ว ขณะที่สภาพคล่องในระบบก็ยังอยู่ในระดับที่สูง ทำให้ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินของประเทศยังคงอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าสถาบันการเงินอาจจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เอ็นพีแอลที่ยังขยับขึ้นก็ตาม 
 

 
อีไอซี หั่นจีดีพีปี’64 เหลือ 2.2% จาก 3.8%
https://www.prachachat.net/finance/news-602697
 
อีไอซีปรับประมาณการจีดีพีปี 2564 เหลือ 2.2% จากคาดการณ์เดิม 3.8% จาก 3 ปัจจัยหลัก เหตุจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นช้ากว่าคาดเหลือ 3.7 ล้านคน จาก 8.5 ล้านคน ตามการแจกจ่ายวัคซีน การส่งออกหดตัวเหลือ 4% จากแรงกดดันบาทแข็ง-ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน เผยโควิด-19 ระลอกใหม่กดอุปสงค์ในประเทศชะลอตัว พร้อมเกาะติด 6 ปัจจัยเสี่ยง
 
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทยส่งผลกระทบโดยตรงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2564 โดย EIC ปรับประมาณการจีดีพีปี 2564 จาก 3.8% ลงเหลือ 2.2% จากสาเหตุหลักดังนี้
 
โดย 1.การฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศมีแนวโน้มช้ากว่าที่คาด โดยถึงแม้ว่าจะเริ่มมีการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ในหลายประเทศแล้ว และไทยอาจจะเปิดให้มีผู้ที่ฉีดวัคซีนสามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยลดข้อจำกัดการกักตัวลง แต่การเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนก็ต่อเมื่อประเทศต้นทางต่างมีภาวะภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว
 
โดย EIC ประเมินว่าประเทศพัฒนาแล้วจะทยอยมีภูมิคุ้นกันหมู่ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของปี 2564 ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทยจะทยอยมีภูมิคุ้นกันหมู่ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2564 (เช่นจีน) ไปจนถึงไตรมาสที่ 4/2565 (เช่น CLMV) ซึ่งช้ากว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ EIC จึงปรับประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2564 ลงเหลือ 3.7 ล้านคน จาก 8.5 ล้านคน โดยเป็นการฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะในไตรมาส 4 เป็นหลัก
 
2. ภาคการส่งออกมีแนวโน้มชะลอกว่าคาดในช่วงครึ่งแรกของปีตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง (soft patch) จากการกลับมาระบาดของ COVID-19 รวมถึงปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และการแข็งค่าของเงินบาท อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ถูกนำออกมาใช้ในหลายประเทศ การปิดเมืองแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น และการเร่งฉีดวัคซีนซึ่งจะนำไปสู่การมีภูมิคุ้นกันหมู่ โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว จะทำให้เศรษฐกิจโลก และการส่งออกไทยฟื้นตัวได้ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี โดย EIC คาดมูลค่าการส่งออกจะขยายตัวได้ 4.0% จาก 4.7% ในปีนี้
 
ขณะที่ 3.ในส่วนของอุปสงค์ในประเทศ ข้อมูลเร็วบ่งชี้ว่าการระบาดระลอกใหม่ได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีลักษณะ face-to-face อย่างมาก โดย EIC คาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือนในการควบคุมการระบาดระลอกใหม่ ซึ่งแม้ผลกระทบน่าจะไม่รุนแรงเท่ากับการระบาดระลอกแรก เนื่องจากการปิดเมืองเป็นแบบเฉพาะเจาะจง และมีมาตรการภาครัฐที่ช่วยบรรเทาผลกระทบ แต่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลกระทบซ้ำเติมปัญหาแผลเป็นทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME และแรงงานในธุรกิจด้านบริการที่มีความเปราะบางอยู่แล้ว
 
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น EIC คาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% ต่อเนื่องในปี 2564 เนื่องจาก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเป็นไปอย่างช้า ๆ และไม่ทั่วถึงและมีความไม่แน่นอนสูง อีกทั้งภาระหนี้ของทั้งครัวเรือนและภาคธุรกิจยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังเผชิญวิกฤต ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจะเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่าย และประคับประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง ทั้งนี้ กนง. อาจพิจารณาลดดอกเบี้ยได้อีก 0.25% หากการระบาดยังยืดเยื้อกว่าคาดเป็นเวลานานจนทำให้เศรษฐกิจซบเซาหรือกลับมาหดตัวอีกครั้ง
 
“ในภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มเป็นไปอย่างช้า ๆ เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องจักรสำคัญทั้งในแง่มูลค่าทางเศรษฐกิจและการจ้างงานยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมมีความแตกต่างระหว่างภาคธุรกิจค่อนข้างสูง รวมถึงยังมีความไม่แน่นอนและความเสี่ยงด้านต่ำอยู่มาก”
 
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาในปี 2564 ได้แก่ 
1. ระยะเวลาในการควบคุมการระบาดระลอกใหม่ 
2. ความล่าช้าในการกระจายวัคซีนในไทยอย่างแพร่หลาย 
3. แผลเป็นทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงินผ่านการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น 
4. ปัญหาเสถียรภาพการเมืองในประเทศ ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน 
5. ภัยแล้ง จากระดับน้ำในเขื่อนที่ยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
และ 6. ค่าเงินบาทที่แข็งเร็วกว่าคู่ค้าคู่แข่ง ซึ่งอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคส่งออกและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ
 


ธุรกิจเจ๊งอื้อ พณ.เผยปี63บริษัทปิดตัวกว่า2หมื่นราย สัดส่วน 69% เป็นรายเล็กทุนต่ำกว่าล้าน
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2549150
 
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เดือนธันวาคม 2563 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ จำนวน 3,287 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียน 27,584 ล้านบาท ธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป 320 ราย รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 200 ราย  และอันดับ 3 คือ ธุรกิจบริการด้านอาหารในภัตตาคาร/ร้านอาหาร 116 ราย ธุรกิจจัดตั้งใหม่ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีสัดส่วนถึง 69.46%
 
ทำให้ทั้งปี 2563 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ จำนวน 63,340 ราย ลดลง 8,145 ราย คิดเป็น 11% เมื่อเทียบปี 2562 และลดลง 8,769 ราย คิดเป็น 12% เทียบปี 2561 ธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 6,392 ราย รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,138 ราย และธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้ารวมถึงคนโดยสาร 1,790 ราย มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่รวม 235,272 ล้านบาท ลดลง 92,192 ล้านบาท คิดเป็น 28% เทียบปี 2562 และลดลง 139,012 ล้านบาท คิดเป็น 37% เทียบปี2561 โดยสัดส่วน 73.39% เป็นมีทุนจดทะเบียน
 
นายทศพล กล่าวว่า ธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนธันวาคม 2563 มีจำนวน 6,013 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 16,726 ล้านบาท ธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 508 ราย รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 269 ราย และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 167 ราย ซึ่งช่วงทุนจดทะเบียนที่เลิกมากสุดคือ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดเป็น 69.68%
 
ทำให้ทั้งปี 2563 ธุรกิจเลิกประกอบกิจการ จำนวน 20,920 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 91,859 ล้านบาท ธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 1,830 ราย รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,081 ราย และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 594 ราย โดย 69.01% เป็นธุรกิจทุนไม่เกินไม่เกิน 1 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันมีธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ 769,208 ราย มูลค่าทุน 19.17 ล้านล้านบาท
 
นายทศพล กล่าวว่า การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าว เดือนธันวาคม2563 มีการอนุญาต 32 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ 13 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ 19 ราย มีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 4,646 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น 8 ราย เงินลงทุน 1,103 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ 6 ราย เงินลงทุน 605 ล้านบาท และฮ่องกง 5 ราย เงินลงทุน 1,711 ล้านบาท ทำให้ทั้งปี 2563 มีการอนุญาตให้ค
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่