ซุนนีย์ วะหะบีย์ สลาฟีย์ ชีอะต์ และบรรดาผู้ที่แบ่ง "อิสลามออกเป็นนิกาย" โปรดให้ความสนใจ

                                                                                                                                              
เรื่องนี้ได้ถูกเขียนมาครั้งหนึ่งแล้วว่า บิดอะห์ หรือการนำสิ่งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวของกับศาสนาอิสลามเข้ามาเป็นหลักความศรัทธา(ความเชื่อ) ในศาสนา
อิสลาม เรื่องนี้คือ เรื่องของ หินดำ หรือ อัล หะญะรุ อัล อัสวัด (ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد‎) เรื่องหินดำนี้ ไม่มีกล่าวถึงในอัลกุรอาน เป็นเพียงตำนานบอกเล่า ก่อนศาสนาอิสลามก่อนที่จะได้รับอัลกุรอาน เป็นที่สักการะบูชาของอรับบูชาเจว็ดมาครั้งหนึ่ง เรื่องนี้เป็นที่น่าอับอายสำหรับมุสลิม ที่สักการะพระเจ้าองค์เดียว แต่ด้วยเล่ห์กลของชัยตอน ที่มันหาทางหลอกลวงมุสลิมให้หลงออกนอกแนวทางของ อัลลอฮ์ ตามที่มันได้สัญญาไว้ ชัยตอนมันจะแอบอ้างว่า ทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับความพิศดาร ของหินก้อนนี้ ท่านศาสดามูฮัมมัดเป็นผู้กล่าวถึง โดยอาศัยพระสหายของท่านศาสดาเป็นผู้อ้างอิง ได้แก่ท่านอิบนุ อับบาส
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เพื่อเพื่มความศักสิทธิให้แก่ก้อนหินดำก้อนนี้ ชัยตอนหลอกล่อว่าหินก้อนนี้ พระเจ้าส่งมาจากสวรรค์ โดยอ้างชื่อของท่านอิบนุ อับบาส ดังนี้

1. อิบนฺบอับบาส รายงานว่าท่านศาสดา กล่าวว่า:“ หินดำลงมาจาก สวรรค์ ” (อัต-ติรมิซิ,สุนัน, ฮาดีษเลขที่ 877 และจัดเป็น ฮาดีษ ที่แท้จริง โดยเชคอัล-อัลบานิ ในหนังสือของเขา ซอเฮี๊ยะ, อัต-ติรมิซิ เลขที่ 695)

2.  อิบนุอับบาส รายงานด้วยเช่นกันว่า ท่านศาสดากล่าวว่า : “เมื่อหินดำนี้ตกมาจากสวรรค์ มันขาวกว่าสีของน้ำนม,แต่บาปของลูกหลานอดัม ทำให้มันกลายเป็นสีดำ (อัต-ติรมิซิ,สุนัน)  

3.อิบนุอับบาส กล่าวต่อไปอีกว่า ท่านศาสดากล่าวว่า: ขอสาบานต่ออัลลอฮ์, อัลลอฮ์จะนำหินดำก้อนนี้ มาในวันตัดสิน และมันจะมีสองดวงตา ซึ่งจะทำให้มันมองเห็น และมีลิ้นซึ่งจะทำให้มันพูด และมันจะเป็นพยานในทางที่ดีต่อผู้ที่สัมผัสมัน ด้วยความจริงใจ   .” (อัต-ติรมิซิ,สุนัน)   

ตรงนี้ ถ้าเราใช้การพิจารณาตามที่อัลลกุรอานบัญญัติไว้ ให้มุสลิมใช้สติปัญญา (17:36)  เราจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องอ้างอิงที่โกหก เพราะไม่มีอ้างถึงใน อัล   กุรอาน, อัลลอฮ์เป็นผู้ล่วงรู้การตัดสินไม่ต้องการพยาน  

4.อิบนุ อุมัร  อ้างอิงถึงท่านศาสดาว่า, ท่านศาสดากล่าวว่า ถ้าผู้ใดสัมผัสหินดำ และมุมอัลรุกุน-อัลยามินี الركن اليمني จะเป็นการล้างบาปของผู้นั้น   (อัต-ติรมิซิ, สุนัน  ฮาดีษ หมายเลข 959  ฮาดีษ นี้เป็นฮาดีษหะสัน จัดลำดับโดย อัต-ติรมิซิ, สุนัน, และจัดอยู่ในระดับฮาดีษซอเฮี๊ยะ โดยอัลฮากิม (1/664) (และอัซซะฮะบิ เห็นด้วยกับเขา) 

ข้อนี้ขัดกับหลักศรัทธาของศาสนาอิสลาม อัลลอฮ์เท่านั้นที่จะทรงอภัยโทษให้กับมุสลิมได้

สรุปแล้วถ้ามุสลิมที่ ปฏิญาณว่า:

" لَا إِلٰهَ إِلَّا الله مُحَمَّدٌ رَسُولُ الله
ละอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ มุฮัมมะดุน เราะซูลลุลลอฮ์
"ไม่มีพระเป็นเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์"

มุสลิมทั้งหลายที่ให้คำปฏิญาณดังกล่าวนี้ จะเชื่อในฮาดีษเรื่องหินดำที่กล่าวมานี้ไม่ได้ เพราะเป็น กลลวงของชัยตอนเพื่อจะให้มุสลิมหลงทาง
ทำการสร้างภาคี หรือ ทำ "ชิริก" นั้นเอง
(The aforementioned hadiths were quoted from a fatwa by the prominent Saudi scholar Sheikh Muhammad Salih Al-Munajjid, www.islam-qa.com)The Black Stone: History & Significance Islam Online, Fatwa Bank, January 8, 2003
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่