เรื่องนี้ได้ถูกเขียนมาครั้งหนึ่งแล้วว่า บิดอะห์ หรือการนำสิ่งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวของกับศาสนาอิสลามเข้ามาเป็นหลักความศรัทธา(ความเชื่อ) ในศาสนา
อิสลาม เรื่องนี้คือ เรื่องของ หินดำ หรือ อัล หะญะรุ อัล อัสวัด (ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد) เรื่องหินดำนี้ ไม่มีกล่าวถึงในอัลกุรอาน เป็นเพียงตำนานบอกเล่า ก่อนศาสนาอิสลามก่อนที่จะได้รับอัลกุรอาน เป็นที่สักการะบูชาของอรับบูชาเจว็ดมาครั้งหนึ่ง เรื่องนี้เป็นที่น่าอับอายสำหรับมุสลิม ที่สักการะพระเจ้าองค์เดียว แต่ด้วยเล่ห์กลของชัยตอน ที่มันหาทางหลอกลวงมุสลิมให้หลงออกนอกแนวทางของ อัลลอฮ์ ตามที่มันได้สัญญาไว้ ชัยตอนมันจะแอบอ้างว่า ทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับความพิศดาร ของหินก้อนนี้ ท่านศาสดามูฮัมมัดเป็นผู้กล่าวถึง โดยอาศัยพระสหายของท่านศาสดาเป็นผู้อ้างอิง ได้แก่ท่านอิบนุ อับบาส
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Abd Allah ibn Abbas (Arabic: عَبْد ٱللَّٰه ٱبْن عَبَّاس; c. 619– 687), also known simply as Ibn Abbas, was the son of Abbas ibn Abd al-Muttalib, an uncle of the Islamic prophet Muhammad, and a nephew of Maymunah bint al-Harith, who later became Muhammad's wife. He was one of Muhammad's cousins and one of the early Qur'an scholars.[7][8]
เพื่อเพื่มความศักสิทธิให้แก่ก้อนหินดำก้อนนี้ ชัยตอนหลอกล่อว่าหินก้อนนี้ พระเจ้าส่งมาจากสวรรค์ โดยอ้างชื่อของท่านอิบนุ อับบาส ดังนี้
1. อิบนฺบอับบาส รายงานว่าท่านศาสดา กล่าวว่า:“ หินดำลงมาจาก สวรรค์ ” (อัต-ติรมิซิ,สุนัน, ฮาดีษเลขที่ 877 และจัดเป็น ฮาดีษ ที่แท้จริง โดยเชคอัล-อัลบานิ ในหนังสือของเขา ซอเฮี๊ยะ, อัต-ติรมิซิ เลขที่ 695)
2. อิบนุอับบาส รายงานด้วยเช่นกันว่า ท่านศาสดากล่าวว่า : “เมื่อหินดำนี้ตกมาจากสวรรค์ มันขาวกว่าสีของน้ำนม,แต่บาปของลูกหลานอดัม ทำให้มันกลายเป็นสีดำ (อัต-ติรมิซิ,สุนัน)
3.อิบนุอับบาส กล่าวต่อไปอีกว่า ท่านศาสดากล่าวว่า: ขอสาบานต่ออัลลอฮ์, อัลลอฮ์จะนำหินดำก้อนนี้ มาในวันตัดสิน และมันจะมีสองดวงตา ซึ่งจะทำให้มันมองเห็น และมีลิ้นซึ่งจะทำให้มันพูด และมันจะเป็นพยานในทางที่ดีต่อผู้ที่สัมผัสมัน ด้วยความจริงใจ .” (อัต-ติรมิซิ,สุนัน)
ตรงนี้ ถ้าเราใช้การพิจารณาตามที่อัลลกุรอานบัญญัติไว้ ให้มุสลิมใช้สติปัญญา (17:36) เราจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องอ้างอิงที่โกหก เพราะไม่มีอ้างถึงใน อัล กุรอาน, อัลลอฮ์เป็นผู้ล่วงรู้การตัดสินไม่ต้องการพยาน
4.อิบนุ อุมัร อ้างอิงถึงท่านศาสดาว่า, ท่านศาสดากล่าวว่า ถ้าผู้ใดสัมผัสหินดำ และมุมอัลรุกุน-อัลยามินี الركن اليمني จะเป็นการล้างบาปของผู้นั้น (อัต-ติรมิซิ, สุนัน ฮาดีษ หมายเลข 959 ฮาดีษ นี้เป็นฮาดีษหะสัน จัดลำดับโดย อัต-ติรมิซิ, สุนัน, และจัดอยู่ในระดับฮาดีษซอเฮี๊ยะ โดยอัลฮากิม (1/664) (และอัซซะฮะบิ เห็นด้วยกับเขา)
ข้อนี้ขัดกับหลักศรัทธาของศาสนาอิสลาม อัลลอฮ์เท่านั้นที่จะทรงอภัยโทษให้กับมุสลิมได้
สรุปแล้วถ้ามุสลิมที่ ปฏิญาณว่า:
" لَا إِلٰهَ إِلَّا الله مُحَمَّدٌ رَسُولُ الله
ละอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ มุฮัมมะดุน เราะซูลลุลลอฮ์
"ไม่มีพระเป็นเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์"
มุสลิมทั้งหลายที่ให้คำปฏิญาณดังกล่าวนี้ จะเชื่อในฮาดีษเรื่องหินดำที่กล่าวมานี้ไม่ได้ เพราะเป็น กลลวงของชัยตอนเพื่อจะให้มุสลิมหลงทาง
ทำการสร้างภาคี หรือ ทำ "ชิริก" นั้นเอง
(The aforementioned hadiths were quoted from a fatwa by the prominent Saudi scholar Sheikh Muhammad Salih Al-Munajjid, www.islam-qa.com)The Black Stone: History & Significance Islam Online, Fatwa Bank, January 8, 2003
ซุนนีย์ วะหะบีย์ สลาฟีย์ ชีอะต์ และบรรดาผู้ที่แบ่ง "อิสลามออกเป็นนิกาย" โปรดให้ความสนใจ
อิสลาม เรื่องนี้คือ เรื่องของ หินดำ หรือ อัล หะญะรุ อัล อัสวัด (ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد) เรื่องหินดำนี้ ไม่มีกล่าวถึงในอัลกุรอาน เป็นเพียงตำนานบอกเล่า ก่อนศาสนาอิสลามก่อนที่จะได้รับอัลกุรอาน เป็นที่สักการะบูชาของอรับบูชาเจว็ดมาครั้งหนึ่ง เรื่องนี้เป็นที่น่าอับอายสำหรับมุสลิม ที่สักการะพระเจ้าองค์เดียว แต่ด้วยเล่ห์กลของชัยตอน ที่มันหาทางหลอกลวงมุสลิมให้หลงออกนอกแนวทางของ อัลลอฮ์ ตามที่มันได้สัญญาไว้ ชัยตอนมันจะแอบอ้างว่า ทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับความพิศดาร ของหินก้อนนี้ ท่านศาสดามูฮัมมัดเป็นผู้กล่าวถึง โดยอาศัยพระสหายของท่านศาสดาเป็นผู้อ้างอิง ได้แก่ท่านอิบนุ อับบาส
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เพื่อเพื่มความศักสิทธิให้แก่ก้อนหินดำก้อนนี้ ชัยตอนหลอกล่อว่าหินก้อนนี้ พระเจ้าส่งมาจากสวรรค์ โดยอ้างชื่อของท่านอิบนุ อับบาส ดังนี้
1. อิบนฺบอับบาส รายงานว่าท่านศาสดา กล่าวว่า:“ หินดำลงมาจาก สวรรค์ ” (อัต-ติรมิซิ,สุนัน, ฮาดีษเลขที่ 877 และจัดเป็น ฮาดีษ ที่แท้จริง โดยเชคอัล-อัลบานิ ในหนังสือของเขา ซอเฮี๊ยะ, อัต-ติรมิซิ เลขที่ 695)
2. อิบนุอับบาส รายงานด้วยเช่นกันว่า ท่านศาสดากล่าวว่า : “เมื่อหินดำนี้ตกมาจากสวรรค์ มันขาวกว่าสีของน้ำนม,แต่บาปของลูกหลานอดัม ทำให้มันกลายเป็นสีดำ (อัต-ติรมิซิ,สุนัน)
3.อิบนุอับบาส กล่าวต่อไปอีกว่า ท่านศาสดากล่าวว่า: ขอสาบานต่ออัลลอฮ์, อัลลอฮ์จะนำหินดำก้อนนี้ มาในวันตัดสิน และมันจะมีสองดวงตา ซึ่งจะทำให้มันมองเห็น และมีลิ้นซึ่งจะทำให้มันพูด และมันจะเป็นพยานในทางที่ดีต่อผู้ที่สัมผัสมัน ด้วยความจริงใจ .” (อัต-ติรมิซิ,สุนัน)
ตรงนี้ ถ้าเราใช้การพิจารณาตามที่อัลลกุรอานบัญญัติไว้ ให้มุสลิมใช้สติปัญญา (17:36) เราจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องอ้างอิงที่โกหก เพราะไม่มีอ้างถึงใน อัล กุรอาน, อัลลอฮ์เป็นผู้ล่วงรู้การตัดสินไม่ต้องการพยาน
4.อิบนุ อุมัร อ้างอิงถึงท่านศาสดาว่า, ท่านศาสดากล่าวว่า ถ้าผู้ใดสัมผัสหินดำ และมุมอัลรุกุน-อัลยามินี الركن اليمني จะเป็นการล้างบาปของผู้นั้น (อัต-ติรมิซิ, สุนัน ฮาดีษ หมายเลข 959 ฮาดีษ นี้เป็นฮาดีษหะสัน จัดลำดับโดย อัต-ติรมิซิ, สุนัน, และจัดอยู่ในระดับฮาดีษซอเฮี๊ยะ โดยอัลฮากิม (1/664) (และอัซซะฮะบิ เห็นด้วยกับเขา)
ข้อนี้ขัดกับหลักศรัทธาของศาสนาอิสลาม อัลลอฮ์เท่านั้นที่จะทรงอภัยโทษให้กับมุสลิมได้
สรุปแล้วถ้ามุสลิมที่ ปฏิญาณว่า: