สวัสดีค่ะ ตอนนี้เรากำลังตัดสินใจที่จะเลิกกับสามี เราแต่งงานมา1 ปี ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและไม่มีลูกค่ะ แต่ความรู้สึกนี้มันเริ่มขึ้นช่วงสี่ห้าเดือนหลังจากแต่งงาน
1.แฟนเราเป็นคนที่ญาติเยอะมากๆ และให้ความใส่ใจญาติตัวเองมาก แต่เฉพาะญาติตัวเองค่ะ ไม่สนใจญาติของฝั่งเรา ไม่ว่าจะงานแต่ง งานวันเกิด งานศพ ให้เราไปด้วยทุกงาน แต่ถ้าเป็นงานของเราเลือกที่จะไม่ไปค่ะ บอกจะดูหมา เป็นแบบนี้หลายครั้งจนเราเอือมละเลือกที่จะไปเองโดยไม่ชวน
2.จากข้อ 1 เวลาที่ไปไหนมักจะเอาลูกพี่ลูกน้องไปด้วย ซึ่งก็ไปเลี้ยงเค้านั่นแหละค่ะ แล้วให้เราช่วยแชร์จ่าย อ้างว่าพี่เค้าช่วยงานตอนงานแต่ง คือพี่ช่วยดูคนจัดงานให้งานออกมาเรียบร้อย กับช่วยห่อของชำร่วย อะไรประมาณนี้ ค่าใช้จ่ายภายในงานที่เกิดขึ้นฝั่งเราออกเองทั้งหมดค่ะ แต่เวลาไปกินข้าวกับเราสองคนคือแชร์กันออกค่ะ แม้กระทั่งหมูกะทะ 199 ก็ออกใครออกมัน คือในความคิดของเค้า เราเงินเดือนเยอะกว่าเค้าประมาณ 1.2 เท่าค่ะ แต่ค่าใช้จ่ายเช่นพาพ่อแม่ หรือญาติเค้าไปทานข้าวหรือไปเที่ยว หารกับเราคนละครึ่งค่ะ แต่กับญาติฝั่งเราถ้าเค้าไปด้วยคือเราออกเองนะคะ เราไม่ได้ซีเรียสนะคะเรื่องที่จะเลี้ยงครอบครัวเค้านะคะแต่เราคิดว่ากับเราควรจะมีน้ำใจเลี้ยงบ้าง
3.ไม่ว่าจะเรื่องของกินหรือไปเที่ยวไหน เค้าจะเอาความเห็นของญาติตัวเองก่อนค่ะ ความเห็นเราจะรั้งท้ายคือไม่มีบทบาทอะไรค่ะ
4.ในขณะที่เงินเดือนเรามากกว่า และเงินเดือนเค้าน้อยกว่า อีกทั้งแม่เค้าไม่มีรายได้ มีแต่พ่อที่หาเงินคนเดียวและเค้ามีน้องสาวที่ไม่ได้ทำงานซึ่งตอนนี้อายุ28แล้ว เนื่องจากมีโรคประจำตัวต้องหาหมอทุกเดือน เราเลยบอกให้เค้าหารายได้เสริมค่ะ เราชวนไปขายของ เราเห็นว่าถ้าพ่อเค้าเกษียณแล้ว ภาระจะตกมาที่เค้าคนเดียว เราว่าเค้าไม่พอใช้แน่ๆ ไหนจะหนี้กยศ.ที่ยังผ่อนไม่หมดอีก และไหนจะต้องเลี้ยงน้องที่ป่วย ต้องบอกก่อนว่าเราแยกกระเป๋าเงินกันใช้นะคะ โดยเราเสนอให้ไปขายของที่ตลาดวันหยุดซึ่งเราไปช่วยค่ะ คือแฟนเราเป็นคนที่ทำอะไรเองคนเดียวไม่เป็น ต้องมีคนคอยนำหรือต้องคอยดึงให้ทำค่ะ ซึ่งบางครั้งก็ได้ผลบางครั้งก็ไม่ได้ผล ขึ้นอยู่กับความขี้เกียจ ณ ตอนนั้นค่ะ เช่น ถ้าเราหยุดแล้วเค้าไม่หยุดเราไปขายคนเดียวได้โดยไม่มีเค้า แต่ถ้าเค้าหยุดแล้วเราไม่หยุด เค้าจะไม่ไปขายค่ะ ซึ่งตอนแรกที่คุยกัน เค้าจะไม่ไปหาเหตุผลมาอ้างร้อยแปด จนเราต้องยื่นคำขาดขู่เรื่องอนาคตที่พ่อแม่จะไม่มีรายได้ เค้าถึงยอมไป โดยพื้นฐานพ่อแม่เค้าถึงไม่รวยแต่ไม่ได้เลี้ยงลูกให้ลำบากอะไร ซึ่งน้องสาวโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ก็ไม่ได้หนักอะไรมากค่ะ แต่แม่ไม่ให้ทำงานบ้านอะไรเลยแม้กระทั่งล้างจาน ส่วนตัวเค้าเองตั้งแต่เรียนจนทำงานก็ไม่ได้ซักผ้าหรือทำอะไรเอง มีแม่คอยทำให้ตลอดค่ะ
5. เรื่องซื้อบ้าน เราทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อยค่ะ เราเมองว่าด้วยเงินเดือนของเค้า ควรจะซื้อแค่ทาวเฮ้าส์ (เราจะช่วยผ่อนครึ่งนึง) อีกทั้งรถยังผ่อนไม่หมด(ผ่อนคนละครึ่ง) แต่เค้าจะเอาบ้านเดี่ยวค่ะ ซึ่งเราก็บอกไปว่าเงินเดือนเค้าสองหมื่นหน่อยๆจะเอาบ้านเดี่ยวหลังละ 4 ล้านมันไม่เกินตัวไปหรอ ซื้อทาวเฮ้าส์ หลังละล้านกว่าสองล้านดีกว่ามั้ย ละเค้าพูดใส่หน้าเรามาว่า ถ้าให้คุณภาพชีวิตเค้าลดลงเค้าไม่เอา คือต้องบอกว่าปัจจุบันเค้าอาศัยอยู่บ้านญาติที่เป็นบ้านเดี่ยวค่ะตัวเค้าอาศัยอยู่กับญาติคนนี้มาตั้งแต่เล็กค่ะ รวมถึงพ่อแม่และน้องสาวด้วยค่ะ และบ้านหลังนั้นที่จะซื้อเป็นบ้านที่ติดกับบ้านน้าค่ะ เรื่องนี้ทำให้เราคิดว่าอนาคตน่าจะไปด้วยกันไม่รอด เพราะเค้าไม่ฟังเหตุผลของเราค่ะ
6.เรื่องของการใช้เงินเกินตัว แฟนเราผ่อนหลายอย่างค่ะ ซึ่งเราบอกให้เค้าเก็บเงินไว้จะได้ช่วยกันดาวน์บ้าน เช่นเค้าผ่อนของเราบอกเค้าว่าไม่ต้องซื้อ แต่ตอนเย็นของสิ่งนั้นที่ไม่อยากให้ซื้อก็ตั้งอยู่บนตู้แล้วค่ะ
ข้อดีของเค้าที่มีคือ ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ และไม่มีคนอื่นค่ะ พ่อแม่เค้าก็นิสัยดีนะคะ เอ็นดูเราและก็ดีกับเรา ซึ่งเราก็เคารพท่านและตอนที่ทะเลาะกันครั้งล่าสุด เราระบายออกไปถึงความอึดอัดที่เราเจอ เราพูดกับเค้าไปแล้วว่าถ้าพ่อแม่เค้าไม่ดีเราเลิกกับเค้าไปนานแล้ว ทุกวันนี้ที่อยู่ด้วยก็เพราะหมาที่เลี้ยงไว้ เค้าบอกว่าจะปรับปรุงค่ะ แต่ท้ายที่สุดทำเหมือนเดิม เรากำลังจะเลิกกับเค้ากลางปีเพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดค่ะ และสงสารความรู้สึกพ่อกับแม่เค้ามากๆ แต่เราปรึกษาหลายๆคนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่เรา เพื่อนเราที่รู้จักเค้า ความเห็นตรงกันว่า นิสัยเค้าเป็นแบบนี้ ถ้าฝืนคบไปมีแต่เราที่เสียเปรียบ มีแต่เราที่พังค่ะ และตอนนี้ทุกวันนี้ที่อยู่ด้วยกันคือไม่คุยกัน นอนหันหลังให้กัน เราไปไหนมาไหนเองคนเดียว ถ้าเราย้ายออกจากบ้านเค้ากลางปี มันจะดูน่าเกลียดไปไหมคะ ที่แต่งกันไม่นานและเลิกกัน
แต่งงานได้ 1 ปีจะเลิกกัน
1.แฟนเราเป็นคนที่ญาติเยอะมากๆ และให้ความใส่ใจญาติตัวเองมาก แต่เฉพาะญาติตัวเองค่ะ ไม่สนใจญาติของฝั่งเรา ไม่ว่าจะงานแต่ง งานวันเกิด งานศพ ให้เราไปด้วยทุกงาน แต่ถ้าเป็นงานของเราเลือกที่จะไม่ไปค่ะ บอกจะดูหมา เป็นแบบนี้หลายครั้งจนเราเอือมละเลือกที่จะไปเองโดยไม่ชวน
2.จากข้อ 1 เวลาที่ไปไหนมักจะเอาลูกพี่ลูกน้องไปด้วย ซึ่งก็ไปเลี้ยงเค้านั่นแหละค่ะ แล้วให้เราช่วยแชร์จ่าย อ้างว่าพี่เค้าช่วยงานตอนงานแต่ง คือพี่ช่วยดูคนจัดงานให้งานออกมาเรียบร้อย กับช่วยห่อของชำร่วย อะไรประมาณนี้ ค่าใช้จ่ายภายในงานที่เกิดขึ้นฝั่งเราออกเองทั้งหมดค่ะ แต่เวลาไปกินข้าวกับเราสองคนคือแชร์กันออกค่ะ แม้กระทั่งหมูกะทะ 199 ก็ออกใครออกมัน คือในความคิดของเค้า เราเงินเดือนเยอะกว่าเค้าประมาณ 1.2 เท่าค่ะ แต่ค่าใช้จ่ายเช่นพาพ่อแม่ หรือญาติเค้าไปทานข้าวหรือไปเที่ยว หารกับเราคนละครึ่งค่ะ แต่กับญาติฝั่งเราถ้าเค้าไปด้วยคือเราออกเองนะคะ เราไม่ได้ซีเรียสนะคะเรื่องที่จะเลี้ยงครอบครัวเค้านะคะแต่เราคิดว่ากับเราควรจะมีน้ำใจเลี้ยงบ้าง
3.ไม่ว่าจะเรื่องของกินหรือไปเที่ยวไหน เค้าจะเอาความเห็นของญาติตัวเองก่อนค่ะ ความเห็นเราจะรั้งท้ายคือไม่มีบทบาทอะไรค่ะ
4.ในขณะที่เงินเดือนเรามากกว่า และเงินเดือนเค้าน้อยกว่า อีกทั้งแม่เค้าไม่มีรายได้ มีแต่พ่อที่หาเงินคนเดียวและเค้ามีน้องสาวที่ไม่ได้ทำงานซึ่งตอนนี้อายุ28แล้ว เนื่องจากมีโรคประจำตัวต้องหาหมอทุกเดือน เราเลยบอกให้เค้าหารายได้เสริมค่ะ เราชวนไปขายของ เราเห็นว่าถ้าพ่อเค้าเกษียณแล้ว ภาระจะตกมาที่เค้าคนเดียว เราว่าเค้าไม่พอใช้แน่ๆ ไหนจะหนี้กยศ.ที่ยังผ่อนไม่หมดอีก และไหนจะต้องเลี้ยงน้องที่ป่วย ต้องบอกก่อนว่าเราแยกกระเป๋าเงินกันใช้นะคะ โดยเราเสนอให้ไปขายของที่ตลาดวันหยุดซึ่งเราไปช่วยค่ะ คือแฟนเราเป็นคนที่ทำอะไรเองคนเดียวไม่เป็น ต้องมีคนคอยนำหรือต้องคอยดึงให้ทำค่ะ ซึ่งบางครั้งก็ได้ผลบางครั้งก็ไม่ได้ผล ขึ้นอยู่กับความขี้เกียจ ณ ตอนนั้นค่ะ เช่น ถ้าเราหยุดแล้วเค้าไม่หยุดเราไปขายคนเดียวได้โดยไม่มีเค้า แต่ถ้าเค้าหยุดแล้วเราไม่หยุด เค้าจะไม่ไปขายค่ะ ซึ่งตอนแรกที่คุยกัน เค้าจะไม่ไปหาเหตุผลมาอ้างร้อยแปด จนเราต้องยื่นคำขาดขู่เรื่องอนาคตที่พ่อแม่จะไม่มีรายได้ เค้าถึงยอมไป โดยพื้นฐานพ่อแม่เค้าถึงไม่รวยแต่ไม่ได้เลี้ยงลูกให้ลำบากอะไร ซึ่งน้องสาวโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ก็ไม่ได้หนักอะไรมากค่ะ แต่แม่ไม่ให้ทำงานบ้านอะไรเลยแม้กระทั่งล้างจาน ส่วนตัวเค้าเองตั้งแต่เรียนจนทำงานก็ไม่ได้ซักผ้าหรือทำอะไรเอง มีแม่คอยทำให้ตลอดค่ะ
5. เรื่องซื้อบ้าน เราทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อยค่ะ เราเมองว่าด้วยเงินเดือนของเค้า ควรจะซื้อแค่ทาวเฮ้าส์ (เราจะช่วยผ่อนครึ่งนึง) อีกทั้งรถยังผ่อนไม่หมด(ผ่อนคนละครึ่ง) แต่เค้าจะเอาบ้านเดี่ยวค่ะ ซึ่งเราก็บอกไปว่าเงินเดือนเค้าสองหมื่นหน่อยๆจะเอาบ้านเดี่ยวหลังละ 4 ล้านมันไม่เกินตัวไปหรอ ซื้อทาวเฮ้าส์ หลังละล้านกว่าสองล้านดีกว่ามั้ย ละเค้าพูดใส่หน้าเรามาว่า ถ้าให้คุณภาพชีวิตเค้าลดลงเค้าไม่เอา คือต้องบอกว่าปัจจุบันเค้าอาศัยอยู่บ้านญาติที่เป็นบ้านเดี่ยวค่ะตัวเค้าอาศัยอยู่กับญาติคนนี้มาตั้งแต่เล็กค่ะ รวมถึงพ่อแม่และน้องสาวด้วยค่ะ และบ้านหลังนั้นที่จะซื้อเป็นบ้านที่ติดกับบ้านน้าค่ะ เรื่องนี้ทำให้เราคิดว่าอนาคตน่าจะไปด้วยกันไม่รอด เพราะเค้าไม่ฟังเหตุผลของเราค่ะ
6.เรื่องของการใช้เงินเกินตัว แฟนเราผ่อนหลายอย่างค่ะ ซึ่งเราบอกให้เค้าเก็บเงินไว้จะได้ช่วยกันดาวน์บ้าน เช่นเค้าผ่อนของเราบอกเค้าว่าไม่ต้องซื้อ แต่ตอนเย็นของสิ่งนั้นที่ไม่อยากให้ซื้อก็ตั้งอยู่บนตู้แล้วค่ะ
ข้อดีของเค้าที่มีคือ ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ และไม่มีคนอื่นค่ะ พ่อแม่เค้าก็นิสัยดีนะคะ เอ็นดูเราและก็ดีกับเรา ซึ่งเราก็เคารพท่านและตอนที่ทะเลาะกันครั้งล่าสุด เราระบายออกไปถึงความอึดอัดที่เราเจอ เราพูดกับเค้าไปแล้วว่าถ้าพ่อแม่เค้าไม่ดีเราเลิกกับเค้าไปนานแล้ว ทุกวันนี้ที่อยู่ด้วยก็เพราะหมาที่เลี้ยงไว้ เค้าบอกว่าจะปรับปรุงค่ะ แต่ท้ายที่สุดทำเหมือนเดิม เรากำลังจะเลิกกับเค้ากลางปีเพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดค่ะ และสงสารความรู้สึกพ่อกับแม่เค้ามากๆ แต่เราปรึกษาหลายๆคนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่เรา เพื่อนเราที่รู้จักเค้า ความเห็นตรงกันว่า นิสัยเค้าเป็นแบบนี้ ถ้าฝืนคบไปมีแต่เราที่เสียเปรียบ มีแต่เราที่พังค่ะ และตอนนี้ทุกวันนี้ที่อยู่ด้วยกันคือไม่คุยกัน นอนหันหลังให้กัน เราไปไหนมาไหนเองคนเดียว ถ้าเราย้ายออกจากบ้านเค้ากลางปี มันจะดูน่าเกลียดไปไหมคะ ที่แต่งกันไม่นานและเลิกกัน