4 กลยุทธ์ วิธีในการที่คุณจะรับมือกับลูกค้าที่ “หมดไฟช้อป”

4 กลยุทธ์ วิธีในการที่คุณจะรับมือกับลูกค้าที่ “หมดไฟช้อป” 
.
.
 
                 เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์เศรษฐกิจบ้านเมืองที่ตกต่ำเช่นนี้ แถมไม่พอยังต้องมาเจอกับวิกฤตจากโรคไวรัสโคโรน่าเข้ามารุมเร้าในช่วงปีที่ผ่านมานี้ เรียกได้ว่าพอกำลังจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นก็มาเจอกับมรสุมคลื่นลูกใหม่ซัดถาโถมเข้ามาอีก จนทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจหลายคน “ปรับตัว” แทบไม่ทันกันเลย บ้างก็ล้มทั้งยืน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแต่ผู้ประกอบการเท่านั้น ที่ได้รับ “ผลกระทบ” จากสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ แต่ยังส่งผลกระทบไปถึงตัว “ลูกค้า”
ด้วยเหมือนกัน

 
 
            เมื่อต้องเจอกับ “สภาพปัญหา” ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ แบบนี้ ลำพังแค่ว่าประคองชีวิตให้ผ่านพ้นไปได้ในแต่ละวันนั้นก็ถือว่ายากแล้ว  ยังต้องมาตกอยู่ในภาวะแวดล้อมใน “การแข่งขันที่ดุเดือดทางธุรกิจ”  และต่างก็พยายามแย่งชิงลูกค้ากัน ด้วยการสร้างสินค้าออกมาเป็นตัวเลือกมากมาย จึงทำให้เกิดความ “เบื่อหน่ายและถึงจุดอิ่มตัว” จนเกิดเป็นเทรนด์ใหม่ที่เรียกว่า “The Compressionalist” หรือภาวะหมดแรง หมดไฟของลูกค้าที่แม้แต่การเลือกจับจ่ายใช้สอย ก็ยังไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำ เรียกง่ายๆ ว่า หมดไฟช้อปนั่นแหละ  ดังนั้นการมีสินค้าที่หลากหลายอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับลูกค้าในยุคแบบนี้ก็ว่าได้ จะทำอย่างไรเมื่อลูกค้าเปลี่ยนไป SME ลองมาตั้งรับกันดูครับ

 
  love1.ทำน้อย แต่ได้มาก
        เมื่อลูกค้ารู้สึกหมดไฟไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไร แม้แต่ความสนุกในการช้อปปิ้ง สิ่งแรกเลยนะครับ ที่ผู้ประกอบการควรทำเพื่อรับมือ คือ เปลี่ยน “Mind Set หรือ วิธีคิด” ของตัวเองก่อน จากเดิมที่เคยคิดว่ามีสินค้าเท่าไหร่ ก็ใส่ให้เต็มหมด  ยิ่งมีหลากหลายตัวเลือกลูกค้าก็จะยิ่งชอบ ลองเปลี่ยนมาเป็นคัดเฉพาะที่คิดว่ามีคุณภาพ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด 

 
  love2.เลือกให้เลย
       นอกเหนือ จากการเลือกผลิตหรือคัดเลือกแต่เฉพาะสินค้าเท่าที่ “จำเป็น” ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไปแล้ว ผู้ประกอบการยังอาจสามารถสร้างสินค้าดาวเด่นหรือสินค้าแนะนำขึ้นมา เพื่อชูเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ ให้กับลูกค้าด้วยได้เช่นกัน ซึ่งลูกค้าอาจต้องการการเลือกซื้อที่รวดเร็ว ขณะเดียวกันก็คุ้มค่า คุ้มราคา วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้ลุกค้าประหยัดเวลา ไม่ต้องตัดสินใจเลือกเยอะแล้ว ยังอาจเป็นการกระตุ้นยอดขายให้ของที่ขายดีอยู่แล้ว ยิ่งขายดียิ่งขึ้นไปอีก
 
 
  love 3.ง่ายเข้าไว้
       ไม่ใช่แค่การคัดเลือกแต่ผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นเท่านั้น ในการออกแบบช่องทางการเลือกซื้อให้ง่ายและสะดวก สามารถชำระเงินที่หลากหลาย รูปแบบการเลือกซื้อที่ง่ายไม่ว่าออฟไลน์ หรือออนไลน์ ไปจนถึงการออกแบบการในการจัดส่งสินค้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกสบายมากขึ้นให้กับลูกค้าได้ดี และยังช่วยให้ประหยัดเวลา ซึ่งอาจเป็นอีกปัจจัยทางเลือกที่ทำให้ลูกค้า หันมาอุดหนุนซื้อสินค้ามากขึ้นก็ได้ 
 
  love4.อย่าลืมนำข้อมูลมาใช้
       สุดท้ายจริงอยู่ที่การจะรับมือผู้บริโภคแบบ The Compressionalist คือ ต้องทำทุกอย่างให้ง่ายเข้าไว้ครับ เพื่อประหยัดเวลา ลดภาระในการตัดสินใจเลือกให้กับลูกค้า แต่การจะคัดเลือกสิ่งที่คิดว่าลูกค้าต้องการจริงๆ ได้ผู้ประกอบการก็ต้องมีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ด้วย ไม่ใช่การคิดขึ้นมาแบบลอย ๆ โดยอาจอาศัยวิธีจากการสอบถามความต้องการกับลูกค้าโดยตรง ดูจากสถิติยอดขายที่เกิดขึ้น กระแสหรือเทรนด์ที่มาแรง ความต้องการต่างๆ ในขณะนั้นด้วย จากนั้นนำมาใช้วิเคราะห์และเลือกสินค้าให้ตรงกับที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายต้องการ ก็จะทำให้การตัดสินใจดังกล่าวมีความแม่นยำมากขึ้นด้วย
       
      
 
  เมื่อคุณทราบแบบนี้แล้ว การเตรียมรับมือกับพฤติกรรมลูกค้ารูปแบบใหม่นั้น ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ซึ่งหากผู้ประกอบการธุรกิจสามารถเตรียมตัวตั้งรับเอาไว้ก่อนล่วงหน้าได้ คงไม่ยากเกินไปที่จะดำเนินกิจการให้ผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่นอีกปีนะครับ
 
  เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ? สำหรับใครที่คิดว่า การปรับตัว และวางแผนพัฒนาตนเอง เหมาะที่สุดกับการรับมือ  ตอนนี้คุณพอจะมีไอเดียในการจะไปต่อได้แล้วรึยัง ? ซึ่งคุณสามารถแชร์ไอเดียได้นะครับหรือพูดคุยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการกังวลในการรับมือกับลูกค้าหมดไฟช้อป หรือธุรกิจมีแต่แย่ลง
หรืออะไรก็ตามแต่.... คุณสามารถคอมเมนต์มาด้านล่างนี้ได้เลย ผมยินดีรับฟังครับ
เพี้ยนขอบคุณ
วรัทภพ รชตนามวงษ์

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่