ทำ AMWAY แล้วรวยจริงไหม ?

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ ชาวพันทิปทุกท่าน วันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์การทำ AMWAY ในแบบที่เราเจอมานะคะ เพื่อน ๆ สามารถคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นกันได้ตามอัธยาศัยเลยค่ะ
         
พอพูดถึง AMWAY ทุกคนก็จะมองภาพว่าเป็น “ธุรกิจขายตรง” บางคนอาจจะเคยโดนตื๊อให้ซื้อของหรือขายของแบบซึ่ง ๆ หน้า แต่ที่เราเจอมามันไม่ใช่แบบขายตรงขนาดนั้นค่ะ มันเริ่มจากที่ว่ามีคนทัก Facebook ส่วนตัวเรามาโดยที่เราก็ไม่รู้จักว่าเขาเป็นใคร แต่พอไปส่องดูแล้วปรากฏว่าเป็นรุ่นพี่ที่อยู่ในคณะเดียวกันและมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเรา ช่วงแรกเราก็ได้มีการพูดคุยเพราะคิดว่าเป็นพี่รหัสหรือป้ารหัสหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ค่ะ เนื่องจากว่าเราเห็นว่าเขาเป็นรุ่นพี่ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน วิทยาเขตเดียวกัน ก็เลยไม่ได้รังเกียจหรือคิดจะปิดกั้นไม่ทำความรู้จักเขาค่ะ ส่วนตัวเรามองว่าถ้าในอนาคตได้สนิทกัน หรือต้องการคำปรึกษาเรื่องเรียน พี่เขาน่าจะคงพอช่วยได้ (หลังจากนี้จะแทนพี่เขาว่าพี่ A แล้วกันนะคะ)
         
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ด้วยความที่เราเป็นคนใช้เงินเก่งและทุ่มเงินไปกับของกินและของจุกจิก ทำให้เรากลายเป็นคนใช้เงินเกินตัว และเราก็ไม่ได้อยากไปขอพ่อแม่เพิ่ม ไม่อยากสร้างภาระให้ที่บ้านเพิ่ม สุดท้ายตัดสินใจทักไปหาพี่ A และถามเขาเรื่องงานเสริม งานพาร์ทไทม์ต่าง ๆ ประมาณว่าถ้ามีแถวมหาวิทยาลัยก็ช่วยแนะนำให้หน่อย แล้วพี่ A ก็พาเราไปรู้จักกับคนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ในคณะของมหาวิทยาลัยเดียวกันอีกนี่แหละ (หลังจากนี้จะเรียกเขาว่าพี่ B) แต่เขาเป็นรุ่นพี่ที่จบปีนี้ เป็นรุ่นพี่ของพี่ A อีกที (พี่ A ยังเรียนไม่จบนะคะ) พี่ A ก็ได้พาเราไปพูดคุยกับพี่ B แล้วปรากฏว่าพี่ B บอกว่าตอนนี้ทำโปรเจ็กต์เกี่ยวกับลดน้ำหนัก ทำ Meal Plan อยู่ แล้วเขาก็เล่าให้เราฟังในส่วนของรายละเอียดของงาน (เราเป็นคนอ้วนที่ไม่คิดจะเข้าคอร์สหรือซื้ออะไรมาใช้ทั้งนั้น) แล้วพอเขาเล่าจบก็ถามเราว่าเรามีงบเท่าไหร่ เราก็บอกไปว่าเราไม่มี พี่ B ก็บอกว่างั้นให้เข้ามาลองศึกษาธุรกิจก่อน เราก็ตกลง เพราะเห็นว่ามันน่าสนใจ แล้วพี่ B ก็ให้ลิ้งค์ YouTube จำนวนหนึ่งมาให้เราดู พอเราไปดูมันก็เป็นเหมือนรายการที่มีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมานั่งพูดคุยกัน บางอันก็เป็นเหมือน Talk Show แบบสร้างแรงบันดาลใจต่าง ๆ นานา พี่ B ก็บอกว่าดูให้จบแล้วมาเจอกันอีกทีวันนี้วันนั้นนะ ก็จะมีการนัดหมายกัน แล้วเหมือนเขาจะคอยดู feedback ตลอดเวลา คือให้พี่ A มาถามเราว่าเป็นยังไง ฟังเข้าใจไหมอะไรทำนองนี้ แล้วสุดท้ายเราก็หลุดเข้าไปอยู่ในวงจรนี้จริง ๆ ค่ะ โดยคำว่า Passive Income กับ Life Balance จนกระทั่งเราศึกษาไปได้ประมาณ 1-2 เดือน เราก็เริ่มรู้แนวทางธุรกิจและรู้แล้วว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจของ AMWAY โดยมีระบบของ Buzzolute (ชื่อปัจจุบันคือ Enhexa) มาเป็นตัวช่วยที่ทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้ โดยวิธีการมีดังนี้
          1. เจาะตลาด หากลุ่มลูกค้า โดยให้เพิ่มเพื่อนไปมั่ว ๆ หรือทักคนไปมั่ว ๆ แต่ต้องเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย (ตอนแรกเราก็เป็นหนึ่งในตลาดของพวกเขา แต่พอเราไม่มีงบ เขาก็เลยดึงเราไปศึกษาธุรกิจแทน)
          2. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับช่องทาง Social Media ของตนเอง (หลัก ๆ จะมี Facebook กับ Instagram)
          3. ดึงดูดความสนใจหรือวิธีการที่คนจะสนใจโดยบอกว่าเป็นโปรเจ็กต์ Meal Plan หรือเป็น Trainner แล้วก็จะโพสต์เรื่องสุขภาพตามช่องทาง Social Media ต่าง ๆ ของตนเอง
          4. พอมีคนมาคอมเมนต์หรือแสดงออกว่ามีท่าทีสนใจในการลดน้ำหนัก ก็จะเริ่มทำการทักส่วนตัวไปทันที แล้วก็ถามข้อมูลต่าง ๆ ถาม background เรื่องการลดน้ำหนัก เช่น อายุ ส่วนสูง เคยลดแบบไหนมาแล้วบ้าง อยากลงกี่กิโลกรัม เป็นต้น จากนั้นก็จะนัดวันเพื่อคุยออนไลน์ เปิดสไลด์ให้ดู สร้างความน่าเชื่อถือ ตบท้ายด้วยการขายของ ซึ่งก็คือคอร์ส 6WNY หรือ Body Key Set (Breakfast) สำหรับคนงบน้อย
         
นี่ก็คือที่มาของรายได้คนที่ทำธุรกิจนี้แบบคร่าว ๆ ความจริงมีให้ขายเครื่องกรองน้ำ เครื่องกรองอากาศอีก คือในมุมมองของเราแค่รู้สึกว่าไม่น่าใช้คำว่า Passive Income หรือ Life Balance ในการพูดขนาดนั้น แต่ก็นั่นแหละ เพื่อการขาย เพื่อเงินอะ ก็พอเข้าใจได้ คือเราหลวมตัวมาทำเพราะคำว่า Passive Income จริง ๆ แล้วสุดท้ายก็มานั่งคิดได้ว่าเราก็ต้องไปลงแรงทำ ไปขายของ หาตลาด หาลูกค้ามาเพื่อให้เขาซื้อของเรา พอเราได้ PV หรือได้ยอดตามที่ระบบของ AMWAY กำหนดแล้วก็จะได้เงินปันผลกลับมา (3% 6% 9% 12% 15% 18% และ 21%) แล้วถ้าเราอยากจะมีเงินเข้าบัญชีแบบ auto running หรือ Passive Income จริง ๆ เราก็ต้องไต่ให้ตัวเองไปอยู่ระดับสูง ๆ เช่น Emerald, Pearl, Crown Ambassador เป็นต้น และต้องหาลูกทีมเยอะ ๆ เพื่อให้เขามาทำหน้าที่แทนเราตรงนี้ พอเขาขายได้ เราก็ได้เงินด้วย มองไปมองมามันก็เหมือนธุรกิจลูกโซ่รูปแบบหนึ่ง แต่แค่มันลงทุนกับตัวเอง ไม่ได้ไปตุนของไว้ขายอะไรแบบนั้น แล้วข้อดีของมันคือเราสามารถศึกษาตัวธุรกิจไปได้แบบไม่ต้องเสียเงิน แต่เราต้องเปลี่ยนตารางเวลาของชีวิตตัวเอง คือระหว่างที่ศึกษาตัวธุรกิจก็จะมีคนคอยสอน คอยช่วย ของเราก็มีพี่ A กับพี่ B คอยช่วยให้คำปรึกษา และพี่ B ก็คืออัพไลน์ของเรา พอเราศึกษาไปสักพัก ทำตามที่พี่ B บอกทุกอย่าง เราก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางเราแล้ว เวลาเข้าประชุมออนไลน์ผ่าน Zoom ก็มาฟังพิธีกรนั่งขายของ ฟังคนสำเร็จพูด ว่าก็ว่าเถอะ เหมือนใช้จิตวิทยาอะไรสักอย่างให้เราเชื่อว่าอยู่กับเขาแล้วเราจะสำเร็จแน่นอน
         
สุดท้ายแล้วเราอยากจะออกจากตรงนี้มาก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ส่วนตัวเราเคยอยากออกมาครั้งหนึ่งแต่เขาก็รั้งเราไว้ด้วยคำพูดและวิธีการต่าง ๆ จนเราใจอ่อนและกลับไปศึกษาตัวธุรกิจเหมือนเดิม คือถ้าเราอยู่แบบนี้เราก็เหมือนเป็นขั้นบันไดให้เขาเหยียบเราขึ้นไปหรือไม่เราก็ต้องเหยียบทุกคนเพื่อขึ้นไปเอง ถ้าอยากประสบความสำเร็จจริง ๆ อะนะ แล้วเราก็เคยพาคนคนหนึ่งเข้ามาคุยกับพี่ B เพราะคนนั้นเห็นว่าเราลดน้ำหนักได้ (โดยที่เราเองก็ไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์อะไรของ AMWAY เลย) สุดท้ายแล้วเขาทักมาหาเราว่า “เขาขายอาหารเสริมนี่นา” คือเรารู้สึกเหมือนไปหลอกให้เขาเข้ามาฟัง หลอกให้เขามาซื้อของกับเรา แล้วก็ไปโบ้ยว่าเขาอยากลดน้ำหนักเอง ทักเรามาเองแบบนี้ แล้วเราเป็นโรคซึมเศร้า คือเราก็คิดมาก เพราะค่อนข้างสนิทกับคนนั้น แบบมันเสียความรู้สึกอะ แล้วเราก็รู้สึกว่าเรา control อารมณ์เราได้ไม่ดีขนาดนั้น บวกกับได้รับแรงกดดันจากพี่ B ในหลาย ๆ ครั้ง เรื่องที่บอกให้เราไปซื้อผลิตภัณฑ์มาใช้ด้วย เราควรจะทำยังไงดี คราวที่แล้วพ่อแม่เราเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก เราก็บอกเขาว่าเราไหว แล้วเขาก็ให้เราเข้าประชุมออนไลน์เหมือนไม่ทีอะไรเกิดขึ้นอะ แล้วเราไม่ได้เข้ามาทำตรงนี้อย่างเดียว เรารับสอนพิเศษด้วย เขาก็บอกให้เราเปลี่ยนเวลาสอนพิเศษ คือยังไงก็ต้องเข้าออนไลน์นะ AMWAY ต้องมาอันดับหนึ่งประมาณนี้ กดดันให้เราดูลิ้งค์เยอะ ๆ เราก็ดูแหละ แต่แบบจดบ้างไม่จดบ้าง เขาบอกว่าฟัง 15 แพ็กจบภายใน 1 ปี เชื่อฟังอัพไลน์ และเข้าประชุมทุกครั้งต้องประสบความสำเร็จแน่นอน คือในมุมมองเรามันไม่มีทางประสบความสำเร็จหรอก ถ้าเราไม่ลงมือหรือลงทุนกับตัวเองอะ แล้วถ้าเราเป็นระดับสูง ๆ ไม่ได้ ก็ต้องขายของไปจนตายอยู่ดีมั้ย

คือมันมีคนประสบความสำเร็จจริง รวยจากธุรกิจนี้จริง แต่เราก็ต้องทำตามเป้า ทำตามยอดอยู่ดี ถ้าเราไม่ไปตื๊อ ไม่ไปหาวิธีลวงคนมาซื้อมันก็ขายไม่ได้ สุดท้ายแล้วพอไม่ได้ยอดมันก็ลบ PV หรือคะแนนสะสมในแต่ละเดือนที่ได้มาไปจนหมดแบบนี้อะ มันไม่ต่างจากการที่เราต้องเริ่มต้นใหม่เกือบตลอดเวลาเลยหรอ สุดท้ายมันก็คือการขาย คือลูกโซ่อีกแบบหนึ่งหรือเปล่า
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 18
ปี 52 น้องชาย (ลูกพี่ลูกน้อง) ซึ่งไม่ได้คุยกันมาเป็นสิบปี จู่ๆ ก็โทร.มาชวนไปกินข้าว ฉันรู้แล้วว่าเขาทำแอมเวย์ เชื่อว่าโดนแน่ๆ แต่ก็มองเหมือนคุณเจ้าของกระทู้แหละค่ะ ไม่มีอะไรเสียหายนี่นา เอาซะหน่อย ถือว่าเป็นญาติใกล้ ฉันเพิ่งทำงานปีแรก ส่วนเจ้าหมอนี่เรียนอยู่ปีสี่

ก็...ค่ะ นั่งร้านเคเอฟซี กินไปขายของไป เขาก็ขอตรงๆ ว่าขอยอดหน่อย ของแอมเวย์มันดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่งหน้าเหรอ ลองเซรั่มฟินิชชิ่งไหม ตัวดังนะ ให้ราคาเท่าที่เขาซื้อเองเลย พันห้า ฉันเพิ่งทำงานปีแรก เตรียมใจมาโดนอยู่แล้ว ก็ถามรายละเอียดเยอะหน่อยเพื่อให้เขาไม่มองว่าขายฉันง่าย แล้วสุดท้ายจึงรับปากว่าเอาค่ะ จ่ายเงินสด ของจะมาทางพัสดุ

ปิดจ๊อบงานขาย ไก่เพิ่งหมดโต๊ะ เขาก็ขอต่อเวลาเพิ่ม อยากแนะนำให้รู้จักธุรกิจแอมเวย์ เขามีกลุ่มค่ะ ชื่ออะไรสักอย่าง ในแอมเวย์จะมีหลายกลุ่ม สร้างโมเดลธุรกิจของตัวเองขึ้นมา เหมือนกันแค่ขายของแอมเวย์ ฉันซึ่งว่างตลอดบ่ายก็อ้ะ อยากพูดไรพูดมา

โมเดลธุรกิจของกลุ่มนี้ อธิบายอย่างรวบรัดก็คือ...แค่หาดาวน์ไลน์ของตัวเองเดือนละ 2 คน เริ่มต้นจะมีค่าสมัคร 900 บาท และฉันจะได้ส่วนแบ่งจากตรงนี้ทันที (จู่ๆ เปิดเรื่องมาแบบนี้ ฉันก็ยิ้มอ่อนสิคะ แชร์ลูกโซ่ 100%) ทำแบบนี้ 10 เดือนโดยคอยกระตุ้นให้ลูกทีมขายของไปด้วย ไม่ต้องรักษายอดอะไร แค่ซื้อบ้างก็พอ ครบปีก็จะได้เลื่อนขั้นเอง บลาๆๆๆๆ (<-- เริ่มไม่ฟังละ) ฉันก็อือออรับทราบเป็นช่วงๆ จนเขาได้พูดจนหมดเปลือก ถามว่ามีอะไรจะถามไหม ฉันก็บอกว่าไม่มี หลังจากนั้นก็มาถึงการโฆษณาสินค้าตัวท็อปๆ ของแอมเวย์ อันนี้แหละที่น่าฟังหน่อย เขาบอกว่า แอมเวย์มีทุกอย่างที่คนคนนึงต้องการ ในราคาถูกกว่าท้องตลาด เปิดคาตาล็อกให้ดู ดูน้ำยาล้างจานนี้สิ ปริมาณเท่านี้ ราคานี้ดูแพงใช่ไหม แต่ความจริงมันเป็นแบบคอนเซนเทรด (เข้มข้น) ต้องผสมน้ำก่อนใช้ ในอัตราส่วนนี้ๆ ผสมน้ำได้จำนวนนี้ ลองหารในปริมาตรเท่าซันไลต์ขวดนึง ดูสิ ถูกกว่าอีก ดังนั้นความจริงแล้วสินค้าของแอมเวย์ราคาถูกกว่าท้องตลาด เหมือนเราซื้อแพ็คใหญ่ทำให้ได้ราคาถูกลง แถมได้แต้ม ได้เลื่อนขั้น มีค่าตอบแทนจากการซื้อด้วยนะ ที่สำคัญคือสินค้าของแอมเวย์มีคุณภาพดีกว่าท้องตลาดอีก เขาจะทดสอบให้ดู

หือ? ทดสอบ?
ว่าแล้วฮีก็ควักบีกเกอร์ออกจากกระเป๋า แท่งคนสาร กลิสเตอร์ (ยาสีฟันแอมเวย์) หลอดนึง ใกล้ชิดหลอดนึง กับทิงเจอร์ไอโอดีน
พี่จำได้ใช่ไหมว่าทิงเจอร์ไอโอดีน ถ้าโดนแป้งจะกลายเป็นสีม่วง แล้วเขาก็บีบใกล้ชิดอย่างเยอะลงในบีกเกอร์ บีบกลิสเตอร์นิดเดียวใส่บีกเกอร์อีกใบโดยบอกว่ากลิสเตอร์ใช้นิดเดียวก็พอ หลังจากนั้นก็ผสมน้ำ คนให้ละลายท่ามกลางกลิ่นยาสีฟันที่โชยไปถึงโต๊ะอื่นที่กำลังแหลกไก่ทอด ให้น้องพนักงานเสิร์ฟมองเคืองเล่นๆ แล้วหยอดทิงเจอร์ไอโอดีน บี๊กเกอร์ของใกล้ชิดก็เปลี่ยนเป็นสีม่วง
เขาสรุปว่า นี่ไง ใกล้ชิดผสมแป้ง แต่กลิสเตอร์ไม่มีแป้ง กลิสเตอร์มีคุณภาพดีกว่า 'สินค้าทั่วไปในท้องตลาด'

ฉันก็อือออตามประสา หมดความสนใจแล้วไง น้องมันคงดูออกก็เลยถามว่ามีอะไรจะถามไหม ไอ้คนซึ่งถูกทำลายความคาดหวังซะย่อยยับอย่างฉันจึงไม่อาจหักห้ามตัวเองอีกต่อไป
ฉันถามว่า โอเค ใกล้ชิดมีแป้ง กลิสเตอร์ไม่มี (ในหัวก็คิดว่า มันยังมีสารอื่นอีกรึเปล่าหว่าที่มีปฏิกิริยากับทิงเจอร์ไอโอดีน แต่ขี้เกียจเถียงละเลยไม่คิด) แต่การจะบอกว่า ใกล้ชิดคือตัวแทน 'สินค้าทั่วไปในท้องตลาด' ก็คงไม่ถูก ฉันถามเขาว่า ใกล้ชิดหลอดใหญ่สุดนี้เขาซื้อมาในราคาเท่าไร เขาตอบว่าห้าสิบกว่าบาท งั้นกลิสเตอร์ซึ่งมีขนาดเล็กกว่านี่ล่ะ เขาตอบว่าสองร้อย
ฉันบอกว่า ถ้าจะจัดคู่ชกนะคะคุณน้อง ต้องซัดกับรุ่นเดียวกัน ควรจะให้กลิสเตอร์ไปตบกับเซนโซดายน์หรือพาโรดอนแท็กซ์ที่ราคาต่อมิลลิลิตรใกล้เคียงกัน ใกล้ชิดมันราคาถูก มีแป้งแล้วยังไง ก็มันเป็นสินค้าราคาถูก นี่ยังไม่พูดถึงเลยนะว่ายาสีฟันผสมแป้งมันผิดตรงไหน ใส่ไว้เป็นสารขัดฟันรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วตอนทดลอง อย่าบีบคนละไซส์ เพราะอาจจะอ้างได้ว่ากลิสเตอร์มีปริมาณน้อยถึงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง ที่จริงแกบีบน้อยเพราะมันแพงใช่ไหมล่ะ ใกล้ชิดมันถูก แกเลยกล้าบีบเยอะ แม้ความจริงทิงเจอร์ไอโอดีนจะทำปฏิกิริยาได้แม้มีแป้งเพียงเล็กน้อยแต่ก็ควรทดสอบให้เท่ากัน คงจำได้ใช่ไหมเรื่องตัวแปรตั้งต้น ตัวแปรควบคุม ตัวแปรตาม อีกอย่าง คนที่บ้าฟอง ชอบครีมยาสีฟัน เขาอยากบีบเยอะๆ เขาก็ไม่เลือกกลิสเตอร์หรอกถ้าแกทดสอบปริมาณเท่าเม็ดถั่วอย่างนี้ อยากดึงลูกค้าทั้งทีต้องบีบอย่างใจถึงหน่อย อย่าคิดว่าทีมจะเทรนมาดีทุกอย่างเพราะลูกค้าบางคนก็ไม่หลงกล โดยเฉพาะไอ้พวกมีกำลังซื้อ พวกนี้มันคิดเป็นและขี้สงสัยด้วยถึงได้ดีในที่ทำงาน ถ้าทำตามที่พี่ว่า มุกแป้งนี่ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น คงมีคนไม่น้อยที่เข้าใจว่ามีแป้งคือไม่ดี ถ้าเขาแพล็มเรื่องสารขัดฟัน ให้บอกไปว่ามีสารชนิดอื่นที่คุณภาพดีกว่าก็พอ

เหมือนน้องแกไม่เคยโดนมุกนี้มาก่อน หน้าอึ้งถึงขีดสุดเลยค่ะ เขาก็อืมแล้วจบไปเงียบๆ
เงียบสักสามวิแหละ แล้วก็ชงเข้าโมเดลธุรกิจต่อ ถ้าพี่สนใจ สัปดาห์นี้มีประชุมทีม มีการให้ความรู้ แนะนำแนวทางการปฏิบัติ จะได้ทำความรู้จักกับอัพไลน์ เนี่ย ทีมเรามีชื่อเสียงมากในแอมเวย์
(กูไม่ไปหรอกสั* เมิงมาคนเดียว ถ้ากูจะหนีกูก็หนีได้ แต่ถ้าถูกจับเข้าห้องประชุม รายล้อมด้วยพวกเมิง กูจะหนียังไงไม่ทราบ)
ฉันก็อ้างไปว่าไม่ถนัดงานขายหรอก แล้วสองคนต่อเดือนก็ยากมากด้วย ฉันจะยอมเป็นดาวน์ไลน์ของแกก็ได้ แต่อาจจะไม่ซื้อของนะถ้าไม่เห็นอะไรที่น่าซื้อ ไม่ขอรับปากว่าจะเป็นดาวน์ไลน์ที่ช่วยทำยอดนะ

แล้วเราก็จากกันไปทั้งอย่างนั้น
(ซึ่งเซรั่มฟินิชชิ่งก็แน่จริงค่ะ เห็นความต่างชัดๆ แม้ทาแป้งกระป๋องโง่ๆ พอมีฟินิชชิ่งแล้วยังกะทาแป้งลอล่า ผิวเนียนโคตร ซึ่งนี่คือฟินิชชิ่งตัวแรกในชีวิตของฉัน เรียกว่าไม่เคยเห็นอิทธิฤทธิ์ของซิลิโคนมาก่อนก็เลยว้าวอยู่สักหน่อย ผ่านไปอีกหลายปีทีเดียวถึงเพิ่งรู้ว่าบักห่*นี่บังอาจแนะนำว่าให้ทาฟินิชชิ่งก่อนนอนด้วย ซึ่งมันผิด มันเอาไว้ทาก่อนแต่งหน้าโว้ยถึงได้ผสมซิลิโคน! หน้าชั้นไม่ต้องการซิลิโคนตอนนอน!!)
ฉันมองว่าผลิตภัณฑ์ของแอมเวย์ไม่ใช่ไม่ดี มันอาจดีพอๆ กับสินค้าในระดับเดียวกันของยี่ห้ออื่น หรืออาจจะดีกว่ายี่ห้ออื่นจริง (สมัยนั้นแอมเวย์อ้างว่าอาหารเสริมของตัวเองมาจากแหล่งผลิตของตัวเอง ควบคุมคุณภาพและทำให้เป็นออแกนิค 100% ได้ ก็ฟังดูดีแหละค่ะ...แค่แพงโคตร) แต่เทคนิคการขายแหละที่เป็นปัญหา จะมาอ้างว่าราคาถูกกว่าเพราะขายตรงไม่ต้องเสียค่าโฆษณาก็ไม่ได้เพราะแม.ร่.ง.มีค่าหัวคิวอยู่ ดีไม่ดีจ่ายค่าโฆษณายังถูกกว่าด้วยซ้ำ

ไอ้ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ ตอนนั้นอยู่ปีสี่แล้ว ก็ธรรมดาใช่ไหมที่ทางบ้านจะตื่นเต้นกับงานรับปริญญา พ่อแม่ก็จี้ถามว่าจัดงานวันไหน เตรียมตัวจะไปร่วมงาน ซื้อพร็อพเตรียมไว้ น้องชายก็ไม่มีคำตอบที่แน่นอนให้ อ้างว่ายังไม่ประกาศ พ่อแม่ก็ถามไม่เลิก
ในที่สุด น้องชายก็ทนแรงกดดันไม่ไหวเมื่อมีข่าวออกทีวีว่ามหาลัยไหนรับปริญญากันแล้ว ก็สารภาพออกมาว่าตั้งแต่เข้าเรียนมาก็ไม่เคยไปเรียนเลย ไม่สอบสักครั้ง ค่าเทอมที่ขอทุกเทอมก็เอามากินอยู่ เขาน่ะขายแอมเวย์มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว มันต้องทำเต็มเวลาจึงไม่ได้ไปเรียน

งานงอกล่ะค่ะ แม่เขามาร้องไห้กับฉันที่ถูกลูกชายหลอก ฉันเห็นใจจนพูดไม่ออกเลย
น้องชายขายแอมเวย์เข้าปีทีสิบก็จัดเซอร์ไพรซ์ใหญ่ให้กับแม่อีกครั้ง ทุกคนนึกว่าเขาขายของได้ มีเงินใช้จ่ายดี เห็นอยู่อย่างอู้ฟู่ระดับนึง แต่ความจริงคือเขามีหนี้ท่วมตัวมูลค่าเฉียด 2 ล้านบาท (เมิงขายยังไงถึงหนี้ท่วมขนาดนี้หือ!!!!!?) เขาบอกว่าเพราะบางเดือนก็ต้องซื้อของเองเพื่อรักษายอด มันก็ทบกันไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ไม่ไหวแล้ว มีหนี้นอกระบบรวมแล้ว 12 เจ้า
ที่บ้านเลยต้องจำใจขายสวนยาง จำนองที่ดินเปล่ากับธนาคาร และกู้ญาติอีกเกือบล้านบาท ให้เขาเอาไปปลดหนี้ ญาติคนนั้นยื่นคำขาดว่าเงินนี้จะให้เปล่าๆ ก็ได้ แต่ต้องเลิกขายแอมเวย์และไปทำงานประจำที่เขาจะหาให้ ห้ามทำตัวนอกลู่นอกทางอีก
ตอนนี้เขาก็ทำงานนั้นได้ดิบได้ดีค่ะ ญาติเป็นผู้บริหารของบริษัทใหญ่ ฝากเข้าทำงานในตำแหน่งเล็กๆ แล้วขุนให้โปรโมตเป็นตำแหน่งใหญ่ขึ้นทุกปี น้องชายฉันก็ไม่ใช่คนโง่อะไร เขาทำงานได้ดีค่ะ เป็นเงินเดือนที่ดูรวยระดับนึงทีเดียวเชียว รวยกว่าฉันอีกอะ

แต่คนที่ได้ดีกับแอมเวย์ ฉันก็เคยเจอในระยะประชิดนะคะ เป็นพี่รหัสของเพื่อนสนิทฉันเอง หลอกเพื่อนฉันว่าจะพาไปเลี้ยงข้าว ที่จริงคือพาไปสัมมนาแอมเวย์ โดนค่าสมัครไปเก้าร้อย แล้วจึงพาไปเลี้ยงข้าวไม่กี่บาท ในสายตาฉัน เขาเป็นเทพด้านการหลอกใช้งานคน สกิลปากชั้นหนึ่งเลย ฉันยังเคยถูกเขาหลอกใช้งานฟรีเลยอะ ทั้งๆ ที่ก็ระวังตัวแล้วนะ 5555 เขาทำแอมเวย์ได้เงินก้อนโตแล้วขายดาวน์ไลน์ตัวเองให้เพื่อนอีกคน หลังจากนั้นก็ลาออกไปทำมาหากินปกติ รวยเละค่ะ

นี่คือประสบการณ์ตรงในระยะประชิดที่ฉันเคยเจอ
ได้ยินว่า ขายแอมเวย์แบบขายตรงธรรมดาๆ ก็ได้ คือซื้อของในราคาสมาชิกแล้วขายให้คนอื่นในราคาปลีก วิธีนี้ไม่ทำให้ใ แต่ก็ไม่ได้หลอกลวงใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
อย่างไรก็ตาม ฉันมองแอมเวย์ไม่ค่อยดีเพราะบริษัทอำนวยให้แชร์ลูกโซ่ บริษัทอ้างว่าสมาชิกทำกันเอง บริษัทไม่เกี่ยว (แต่เสือ*มีระบบอัพไลน์ดาวน์ไลน์ให้เนี่ยนะ?) บริษัทเป็นขายตรงจริงๆ เพราะมีผลิตภัณฑ์จริงที่เน้นคุณภาพเพื่อขายจริงๆ เช่นนี้เขาจึงยังรอดอยู่นาน ไม่เหมือนแชร์ลูกโซ่โง่ๆ ที่ไม่เน้นขายผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ประจักษ์ คัง***เฮงซว*ก็พอกัน มีระบบกินค่าหัวคิวเหมือนแอมเวย์เป๊ะ ไปดูในวารสารประจำเดือนดิ เน้น "ขายแล้วรวย" เน้นหาดาวน์ไลน์ อวดรถหรู ทำยอดแล้วมีโบนัสไปต่างประเทศ โถ สมาชิกก็วิ่งหาดาวน์ไลน์กันวุ่น กระเซ็นมาโดนฉันอีกยี่ห้อ แล้วไอ้พวกนี้มันเน้นขายคนใกล้ตัวล้วนๆ ทำญาติพี่น้องเดือดร้อนไปตามๆ กัน ทำคนอื่นเดือดร้อนยังพอเข้าใจ แต่ทำคนที่รักตัวเองซึ่งยอมซื้อเพราะความรักต้องเดือดร้อน อันนี้ไม่เข้าใจละว่าหัวใจคนขายมันทำด้วยอะไร

ดังนั้น หากใครมีสกิลเรื่องการขายที่ดี โปรดทำมาหากินแบบปกติเถอะค่ะ การหาเงินอย่างสุจริตไม่มีทางลัดหรอก ไอ้ที่ลัดได้คือทางไม่สุจริตทั้งนั้น จะเติบโตประสบความสำเร็จกับแชร์ลูกโซ่ (กินหัวคิวจากค่าสมัครสมาชิก) มีแต่ต้องหลอกลวงคนอื่น ทำร้ายทำลายครอบครัวของคนอื่น และมีแต่พวกหัวๆ เท่านั้นที่ได้ดีจริง ซึ่งวันนึงก็ไม่พ้นคุกหรอก

อ๊ะ แต่น้าของฉันขายแอมเวย์อยู่นะ OwO" พี่แกขายตัวเองคนเดียว ไม่หาดาวน์ไลน์ ถ้าอย่างนี้ก็ฟังดูดีอยู่แหละ

ยินดีกับคุณเจ้าของกระทู้ด้วยนะคะที่รอดมาได้ (ไม่มีหนี้ 2 ล้านด้วยใช่ไหม) แต่คุณขายเก่งเหมือนกันนะ บอกสินค้าราคาได้เสร็จสรรพแบบไม่ต้องถามต่อเลย น้องชายของฉันยังต้องเปิดคาตาล็อกดู ^^
ไม่รู้ว่าอาชีพใหม่คืออะไร แต่ขอให้คุณได้ดีและประสบความสำเร็จอย่างสุจริตค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่