ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ๕
[๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน
ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ ๕ ประการ
ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่านิพพานในปัจจุบัน
บัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ ๕ ประการ?
๕๘. (๑) ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
" ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้ เอิบอิ่ม พรั่งพร้อม เพลิดเพลินอยู่ด้วยกามคุณห้า
ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง "
พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพาน ปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.
๕๙. (๒) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า
" ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ
แต่อัตตานี้ ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้.
ข้อนั้นเพราะเหตุ อะไร เพราะเหตุว่า กามทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะ กามทั้งหลายแปรปรวนเป็นอย่างอื่น จึงเกิดความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ โทมนัส และ ความคับใจ
ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบัน อันเป็น ธรรมอย่างยิ่ง "
พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.
๖๐. (๓) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า
" ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้
ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร
เพราะเหตุว่าปฐมฌานนั้น ท่านกล่าวว่าหยาบ ด้วยยังมีวิตกและวิจารอยู่ ท่านผู้เจริญ เพราะ
อัตตานี้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้นเพราะวิตก วิจารสงบไป
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพาน ปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง "
พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.
๖๑. (๔) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า
" ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้
ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร
เพราะเหตุว่า ทุติยฌานนั้น ท่านกล่าวว่าหยาบ ด้วยยังมีปีติเป็นเหตุให้จิตกระเหิมอยู่ เพราะ อัตตานี้มีอุเบกขา
มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า
ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติเสวยสุขอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอัน บรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง "
พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบัน เป็นธรรม อย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.
๖๒. (๕) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า
" ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้
ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร
เพราะเหตุว่า ตติยฌานนั้น ท่านกล่าวว่าหยาบ ด้วยจิตยังคำนึงถึงสุขอยู่ เพราะอัตตานี้บรรลุ จตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์ เพราะละสุข ละทุกข์ และ ดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ
ได้ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง "
พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่านิพพานในปัจจุบัน
ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ ๕ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
https://etipitaka.com/read/thai/9/35/
สรุป..<----ผมอาจจะสรุปไม่ถูกต้องนัก ...ถ้าจะแสดงความเห็น..ก็โปรดแสดงความเห็นในลักษณะที่วิญญูชนพึงกระทำ...ด้วยครับ
1. แบบที่หนึ่ง...ก็พวกกามนิยม... คนโดยส่วนมากผู้ที่เป็น...ปุถุขนที่ไม่เคยสดับทั้งหลาย....ก็เห็นว่าการเสพสุขกามใน
โลกนี่หละยอดเยี่ยมแล้ว สุขในกามที่ตนหามาได้อยู่-เสพอยู่..นี่คือจุดหมาย คือ...นิพพานของ " สัตว์ "...
2. กลุ่มที่ 2 ไม่ออกไปในทางกาม---แต่มองว่า... กามมันไม่เที่ยง--เมื่อมันไม่เที่ยงมันก็ก่อทุกข์
แต่ไปคิดว่า...ความสุขที่ได้จาก " ฌาน "--ระดับต่างๆนี่หละ... คือ " นิพพาน--คือ--เป้าหมายของ สัตว์, แล้ว "---
แต่ที่จริง ฌานทุกระดับ <---มันก็มีความไม่เที่ยงของมันอยู่ มันดับอย่างหนึ่งได้ตามคุณสมบัติขององค์ฌาน...
แต่ในที่สุด...ตัวฌานเองก็คงอยู่ไม่ได้ ...ยังต้องกลับมาเป็นอย่างนี้อีก...
เรามาดูว่า...สมาธิแต่ละดับนั้น...มีอะไร-ดับอะไรไปได้บ้าง..ในแง่ของเวทนา
- ทุกขินทรีย์ ๑ ........(ทุกข์กาย..ดับในปฐมฌาน)
- โทมนัสสินทรีย์ ๑ ..(ทุกข์ใจ....ดับในฌาน2)
- สุขินทรีย์ ๑ ..........(สุขกาย.....ดับในฌาน3)
- โสมนัสสินทรีย์ ๑...(สุขใจ.......ดับในฌาน4)
- อุเปกขินทรีย์ ๑. ....(อุเบกขา...ดับในสัญญาเวทยิตนิโรธ)
3. พระศาสดาท่าน... สมัยเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านได้อรูปสัญญาสมาบัติตอนที่ไปเรียนกับ อาฬารดาบสและอุทกดาบส
ท่านก็พิจารณาในจิตของท่านนะว่า ตอนเข้าสมาบัติมันก็ละกิเลส..และความทุกข์ได้อยู่ แต่ไฉนบอกออกมามันก็ยังมี
ความทุกข์มีกิเลส...อยู่นะ <---ท่านจึงฟันธงว่า " อากิญจัญญายตนสมาบัติ..และ..เนวสัญญานาสัญายตนสมาบัติ "--
ว่ายังไม่ใช่นิพพาน... ท่านจึงออกค้นหาจนเจอ... " ปฏิจจสมุทปปาท " หรือกล่าวโดนรวมก็ " อริยสัจ4 "
.....
ทิฏฐิ62..ตอน-10 : ทิฏฐธรนมนิพพาน---เห็นว่า ๕ อย่างนี้คือ...นิพพานของสัตว์... (จบ)
ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ๕
[๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน
ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ ๕ ประการ
ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่านิพพานในปัจจุบัน
บัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ ๕ ประการ?
๕๘. (๑) ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
" ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้ เอิบอิ่ม พรั่งพร้อม เพลิดเพลินอยู่ด้วยกามคุณห้า
ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง "
พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพาน ปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.
๕๙. (๒) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า
" ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ
แต่อัตตานี้ ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้.
ข้อนั้นเพราะเหตุ อะไร เพราะเหตุว่า กามทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะ กามทั้งหลายแปรปรวนเป็นอย่างอื่น จึงเกิดความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ โทมนัส และ ความคับใจ
ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบัน อันเป็น ธรรมอย่างยิ่ง "
พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.
๖๐. (๓) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า
" ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้
ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร
เพราะเหตุว่าปฐมฌานนั้น ท่านกล่าวว่าหยาบ ด้วยยังมีวิตกและวิจารอยู่ ท่านผู้เจริญ เพราะ
อัตตานี้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้นเพราะวิตก วิจารสงบไป
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพาน ปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง "
พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.
๖๑. (๔) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า
" ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้
ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร
เพราะเหตุว่า ทุติยฌานนั้น ท่านกล่าวว่าหยาบ ด้วยยังมีปีติเป็นเหตุให้จิตกระเหิมอยู่ เพราะ อัตตานี้มีอุเบกขา
มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า
ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติเสวยสุขอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอัน บรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง "
พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบัน เป็นธรรม อย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.
๖๒. (๕) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า
" ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้
ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร
เพราะเหตุว่า ตติยฌานนั้น ท่านกล่าวว่าหยาบ ด้วยจิตยังคำนึงถึงสุขอยู่ เพราะอัตตานี้บรรลุ จตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์ เพราะละสุข ละทุกข์ และ ดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ
ได้ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง "
พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่านิพพานในปัจจุบัน
ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ ๕ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
https://etipitaka.com/read/thai/9/35/
สรุป..<----ผมอาจจะสรุปไม่ถูกต้องนัก ...ถ้าจะแสดงความเห็น..ก็โปรดแสดงความเห็นในลักษณะที่วิญญูชนพึงกระทำ...ด้วยครับ
1. แบบที่หนึ่ง...ก็พวกกามนิยม... คนโดยส่วนมากผู้ที่เป็น...ปุถุขนที่ไม่เคยสดับทั้งหลาย....ก็เห็นว่าการเสพสุขกามใน
โลกนี่หละยอดเยี่ยมแล้ว สุขในกามที่ตนหามาได้อยู่-เสพอยู่..นี่คือจุดหมาย คือ...นิพพานของ " สัตว์ "...
2. กลุ่มที่ 2 ไม่ออกไปในทางกาม---แต่มองว่า... กามมันไม่เที่ยง--เมื่อมันไม่เที่ยงมันก็ก่อทุกข์
แต่ไปคิดว่า...ความสุขที่ได้จาก " ฌาน "--ระดับต่างๆนี่หละ... คือ " นิพพาน--คือ--เป้าหมายของ สัตว์, แล้ว "---
แต่ที่จริง ฌานทุกระดับ <---มันก็มีความไม่เที่ยงของมันอยู่ มันดับอย่างหนึ่งได้ตามคุณสมบัติขององค์ฌาน...
แต่ในที่สุด...ตัวฌานเองก็คงอยู่ไม่ได้ ...ยังต้องกลับมาเป็นอย่างนี้อีก...
เรามาดูว่า...สมาธิแต่ละดับนั้น...มีอะไร-ดับอะไรไปได้บ้าง..ในแง่ของเวทนา
- ทุกขินทรีย์ ๑ ........(ทุกข์กาย..ดับในปฐมฌาน)
- โทมนัสสินทรีย์ ๑ ..(ทุกข์ใจ....ดับในฌาน2)
- สุขินทรีย์ ๑ ..........(สุขกาย.....ดับในฌาน3)
- โสมนัสสินทรีย์ ๑...(สุขใจ.......ดับในฌาน4)
- อุเปกขินทรีย์ ๑. ....(อุเบกขา...ดับในสัญญาเวทยิตนิโรธ)
3. พระศาสดาท่าน... สมัยเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านได้อรูปสัญญาสมาบัติตอนที่ไปเรียนกับ อาฬารดาบสและอุทกดาบส
ท่านก็พิจารณาในจิตของท่านนะว่า ตอนเข้าสมาบัติมันก็ละกิเลส..และความทุกข์ได้อยู่ แต่ไฉนบอกออกมามันก็ยังมี
ความทุกข์มีกิเลส...อยู่นะ <---ท่านจึงฟันธงว่า " อากิญจัญญายตนสมาบัติ..และ..เนวสัญญานาสัญายตนสมาบัติ "--
ว่ายังไม่ใช่นิพพาน... ท่านจึงออกค้นหาจนเจอ... " ปฏิจจสมุทปปาท " หรือกล่าวโดนรวมก็ " อริยสัจ4 "
.....